“พวกเจ้า…ทำไมคิดไปเขาปู้โจวซาน ที่นั่นไม่ใช่ที่มนุษย์ธรรมดาจะไปกันได้ตามใจ”
กลับถึงโรงเตี๊ยม ถิงหนูไม่สนใจจะพักผ่อน วาจาแรกก็ถามเช่นนี้ทันที
“เรื่องนี้คือว่า…พูดไปแล้วก็ยุ่งยากสักหน่อย…” จงหมิ่นเหยียนยิ้มเฝื่อนครู่หนึ่ง เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเขาเกาซื่อซานอย่างคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง
สีหน้าถิงหนูค่อยๆ ผ่อนคลายลง สุดท้ายกล่าวเบาๆ ว่า “นั่นเรียกว่าคาถาเรียกจิตญาณ ขอเพียงเรียกจิตญาณกลับมา ข้าก็ร่ายคาถาพาหลิงหลงกลับคืนสภาพเดิมได้”
ทุกคนล้วนตกตะลึง เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ถิงหนู เจ้าใช้คาถานี้เป็น?!”
ถิงหนูพยักหน้า “คาถานี้เมื่อก่อนเคยเรียนมา แม้ว่าไม่ชำนาญเหมือนมารปีศาจ แต่ช่วยหลิงหลงกลับมาก็คงพอได้”
ทุกคนล้วนดีใจอย่างที่สุด พวกเขาเดิมคิดไว้ว่าจะไปจับตัวคนที่ดึงจิตสองญาณหกของหลิงหลงออกไปผู้นั้นกลับมา บีบบังคับให้เขาร่ายคาถาช่วยหลิงหลงกลับมา จะสำเร็จหรือไม่ก็ยังต้องดูบัญชาสวรรค์ ตอนนี้พอมาได้ยินว่ามีคนข้างตัวใช้คาถานี้ได้ หมายความว่าขอเพียงนำจิตญาณกลับคืนมาได้ก็พอ บางทีแม้แต่การต่อสู้ก็ไม่ต้องแล้ว ความเป็นไปได้ของความสำเร็จก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
จงหมิ่นเหยียนดีใจจนหุบปากไม่ลง กล่าวแทบไม่หายใจว่า “ดังคาด ช่วยถิงหนูออกมาก่อนไม่ผิดเลย!” ดีที่ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธคำขอร้องของจิ้งจอกม่วง ชะตาเล่นกล ดูท่าเรื่องมนุษย์ยากคาดเดาและมีสวรรค์ค่อยช่วยเหลือจริงๆ!
หลิ่วอี้ฮวนตบบ่าเขา ท่าทางเหมือนมีความในใจกล่าวว่า “ไปเขาปู้โจวซานครั้งนี้ เจ้าก็ต้องระวังหน่อย จำไว้ๆ”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป “พี่หลิ่วเป็นห่วงข้า?” เขายิ้มเซ่อซ่า อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกดีกับบุคคลที่ไม่ยี่หระสิ่งใดในโลกผู้นี้ขึ้นมาหน่อย เขารู้จักใส่ใจสหาย
หลิ่วอี้ฮวนเพียงยิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวมากความกับเขาอีก ตบมือดังตะโกนว่า “พวกเด็กน้อยนี่เงียบก่อน ฟังข้าพูด”
ทุกคนกำลังดีใจส่งเสียงจ้อกแจ้กไม่หยุด เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็พากันเงียบลง หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “เขาปู้โจวซานนี่นะ พวกเจ้าไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้ ได้แต่รอข่าวพวกเจ้าอยู่เมืองชิ่งหยางนี่แล้ว” กล่าวจบก็มองถิงหนู กล่าวอีกว่า “เงือกก็ต้องอยู่นี่ เขานั่นอันตรายมาก เจ้านั่งรถเข็น หรือว่าเข็นขึ้นไปได้กัน? ให้พวกเด็กน้อยไปฝึกฝนตนเถอะ พวกเราคนแก่อยู่บ้านรอก็พอ”
ทุกคนได้ยินก็อึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่ว…ท่าน ไม่ไปกับพวกเราจริงหรือ”
ตอนหลิ่วอี้ฮวนยังหนุ่มแน่นไปมาหลายแห่ง ใต้หล้าราวกับไม่มีที่ที่เขาไม่รู้จัก กอปรกับมีดวงตาสวรรค์คอยช่วย สำหรับพวกเขาแล้วเรียกได้ว่าพยัคฆ์ติดปีก อวี่ซือเฟิ่งมาเมืองชิ่งหยางหาเขาก่อน เดิมคิดว่าจะขอให้เขาไปช่วย ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ เขาบอกว่าไม่ไป แค่พวกเขาห้าคนจะไปหาเขาปู้โจวซานพบได้อย่างไร จะชิงจิตญาณหลิงหลงกลับมาได้อย่างไร
หลิ่วอี้ฮวนวางท่าทางเป็นการเป็นงานพยักหน้า “อืม ข้าไม่ไป ครั้งนี้ล้วนเปิดดวงตาสวรรค์เพื่อเจ้าแล้ว เฟิ่งหวงน้อยไม่อาจไม่รู้จักพอนะ”
อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าอย่างรู้สึกละอายใจ ในใจเองก็รู้สึกตนเองเกินไปสักหน่อยแล้ว หลิ่วอี้ฮวนท่าทางมีสิ่งใดในใจ คว้าไหล่เขามาขยี้ใบหน้าเขาไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ทำไม เสียใจหรือ ตัดใจจากพี่หลิ่วไปไม่ได้? เจ้านี่ เจ้านี่…ยังเหมือนตอนเด็กเลยนะ…”
เห็นชัดว่าที่เหมือนเมื่อก่อนควรเป็นเขาถึงจะถูก เขายังคงเป็นคนสำมะเลเทเมาไม่เอาไหนเหมือนเดิม อวี่ซือเฟิ่งได้แต่ผลักเขาออกอย่างเสียไม่ได้ กล่าวหน้าตาจริงจังว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่ใหญ่บอกทางพวกเราไปเขาปู้โจวซานด้วย”
หลิ่วอี้ฮวนยักไหล่ “ไม่ต้องให้ข้าบอกทาง พวกเจ้านำจิ้งจอกม่วงไปก็พอ นางจำได้ เที่ยวเล่นแต่เล็กจนโตนี่!”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นเขาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมช่วยอีก ตนเองก็ไม่อาจกล่าวอีก จึงได้แต่ยินยอม
*******
เรื่องเซียนหลิ่วกำจัดปีศาจจวนตระกูลโจว คืนเดียวก็แพร่ไปทั่วเมืองชิ่งหยาง เป็นครั้งแรกที่รังสุนัขในตรอกหมาเจ่าของเขามีคนมากมายนับไม่ถ้วนมาชม น่าเสียดายท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ทุกคืนสถิตยังหอเจียวหงแล้ว แม่เล้านั่นถึงกับรู้งาน พอรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ธรรมดา ไหนเลยจะสนใจเรียกเงินทองจากเขา แทบจะอัญเชิญให้เขามาอยู่ในหอเจียวหงเสียเลย คนมากมายเท่าไรมาหอเจียวหงและไม่ยอมจากไปเพราะต้องการดูเขาสักแวบ นี่เป็นตัวเรียกการค้าชัดๆ
หลิ่วอี้ฮวนเสพสุขในหอคณิกาทั้งวันทั้งคืนไม่เห็นแม้เงา พวกอวี่ซือเฟิ่งที่อยู่โรงเตี๊ยมเริ่มร้อนใจราวไฟแผดเผา จิ้งจอกม่วงโดนพิษงู เอาแต่หลับใหลไม่ได้สติมาตลอด จะหวังให้นางนำทางไปเขาปู้โจวซานได้อีกหรือ เสวียนจีอดแล่นไปถามถิงหนูว่ารู้เส้นทางไปหรือไม่ไม่ได้ เขากลับส่ายหน้า เลียนแบบหลิ่วอี้ฮวนควรตายนั่น ทำเป็นแกล้งใบ้
เรื่องนี้ทำให้รู้สึกประหลาดมาก ราวกับหลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูรู้อันใด แต่กลับไม่พูดสักคำ เห็นชัดว่าแค่ไม่กี่คำก็บอกทางไปได้ พวกเขากลับต้องการรอให้จิ้งจอกม่วงฟื้นมานำทาง
“ถิงหนู เขาปู้โจวซานนั่น ได้ยินว่าเป็นรังมารปีศาจกลุ่มที่ทำลายโซ่หมุดทะเลพวกนั้น เจ้า…เจ้าไม่คิดไปดูหน่อยหรือ”
ขอร้องไม่ได้ ก็ล่อลวงเสียเลย ตอนนี้เสวียนจีกำลังเท้าคางนั่งอยู่ตรงข้ามถิงหนู สองตาเป็นประกายมองเขาไม่หยุด
ในมือถิงหนูถือแก้วชากระเบื้องเคลือบลายคราม ใบหน้าสงบนิ่งราวสายน้ำ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่คิดไป ระหว่างทางพวกเจ้าต้องระวังให้ดี อย่าปะทะกับพวกเขาโดยตรง ขโมยจิตญาณหลิงหลงกลับมาได้ก็ดีที่สุด หากขโมยกลับมาไม่ได้ ครั้งหน้ายังมีโอกาส ความสามารถพวกเจ้าตอนนี้ หากปะทะกับพวกเขาก็ย่อมรนหาที่ตาย”
เสวียนจีไม่คิดเช่นนั้น ยิ้มกล่าวว่า “ข้าสังหารปีศาจที่เกาะฝูอวี้เลยนะ! ไหนเลยร้ายกาจดังที่เจ้าว่ากัน!”
ถิงหนูกล่าวด้วยหน้าตาจริงจังว่า “นั่นเพราะพวกเขายอมอ่อนให้ ไม่คิดปะทะเป็นตายกับสำนักใหญ่บำเพ็ญเซียนเช่นพวกเจ้า หากเผชิญกับมารปีศาจโหดเ**้ยมเช่นที่เขาเกาซื่อซานกลุ่มนั้น อย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ท่านพ่อเจ้าก็ใช่ว่าจะรับมือได้”
วาจาเขาฟังแล้วทำไมเหมือนมีอันใดแอบแฝง เสวียนจีไม่เข้าใจอย่างยิ่ง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ความหมายเจ้าคือ…มารปีศาจพวกนั้นก็มีแบ่งพวกกันหรือ มีบางพวกยอมอ่อนให้ มีบางพวกใช้กำลังรุนแรงหรือ”
ในใจนาง ปีศาจก็คือปีศาจ หลากหลายจำพวกมารวมตัวกัน พอคิดว่าพวกเขาบางทีก็เหมือนมนุษย์ธรรมดา มีแบ่งแยกพรรคพวก ปฏิบัติการมีขั้นตอน นางก็แทบไม่อยากจะเชื่อ
ถิงหนูถอนหายใจ กล่าวเบาๆ ว่า “อันใดก็ไม่รู้ ยังคิดจะบุกไปเช่นนี้ เท่ากับไปรนหาที่ตาย…เจ้าฟังให้ดีนะ เขาปู้โจวซานแม้ว่าเป็นรังพวกเขา แต่ปฏิบัติการทำลายโซ่หมุดทะเลเป็นการรวมพลังของหลากหลายกลุ่มแยกกันลงมือ แบ่งง่ายๆ ก็คือ พวกจิตกุศลกับพวกโหดเ**้ยม พวกจิตกุศลพวกนั้นขอเพียงทำลายโซ่หมุดได้ก็พอ ไม่คิดจะปะทะอันใดกับพวกมนุษย์ธรรมดา แต่พวกโหดเ**้ยมนั้นไม่เหมือนกัน ตามความเห็นข้า พวกที่ดึงจิตญาณหลิงหลงไปต้องเป็นพวกโหดเ**้ยมทำแน่ ดังนั้นการไปครานี้ ต้องเน้นขโมยจิตญาณกลับมาเป็นหลัก อย่าได้ปะทะเด็ดขาด เข้าใจไหม”
เสวียนจีอึ้งมองเขา พึมพำกล่าวว่า “ถิงหนู…ทำไมเจ้ารู้มากมายเช่นนี้…”
ถิงหนูหุบปากทันที เป็นนานจึงกล่าวเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนนานมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มรวบรวมกำลังแล้ว แผนการนี้ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้น”
เขาเห็นเสวียนจีเอาแต่จับจ้องตน ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มลูบศีรษะนางทีหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “การไปครานี้ระวังตัวให้ดี อย่าได้วู่วาม ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่เมืองชิ่งหยาง”
ถิงหนูราวกับรู้หลายเรื่อง เสวียนจีกุมศีรษะที่ถูกลูบ ผลักประตูเดินออกไป
หวนคิดถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่ได้รู้จักกับเขา มองดูตอนนี้ ราวกับต่างไปจากเงือกซีดขาวที่ไม่อาจช่วยตัวเองได้ตัวนั้นสิ้นเชิง ในเมื่อข้างกายเขามีชิงเกิงกับตังคังคอยปกป้อง ทำไมจึงได้ถูกคนจับไปทำร้ายได้เพียงนั้นกัน? หรือว่า การได้รู้จักกันครั้งนั้น เป็นกำหนดแห่งชะตากัน?
เลี้ยวมาก็เห็นคนเดินมาคนหนึ่ง เป็นอวี่ซือเฟิ่งที่นางคิดหลบก็ไม่พ้น ในใจเสวียนจีเต้นโครมคราม หันหลังคิดหนี ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็เดินเข้ามาถึงตัว คว้าข้อมือนางลากนางเข้าห้องไปไม่พูดสักคำ
นางตกใจมาก สมองวุ่นวายไปหมด พอถูกเขากดลงนั่งบนเก้าอี้ ตากลมโตว่านอนสอนง่ายก็จ้องมอง ในใจราวกับมีกระต่ายน้อยซ่อนอยู่ตัวหนึ่ง กระโดดไปมาไม่หยุด
เขา…โมโหแล้วหรือ? จะด่านาง?
อวี่ซือเฟิ่งควักเอาถุงกระดาษออกจากอกเสื้อ ยัดใส่มือนาง กล่าวเบาๆ ว่า “ตั้งแต่เช้าถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ นี่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ”
เสวียนจีค่อยเปิดถุงออก ด้านในมีขนมแป้งนึ่งเพิ่งออกจากเตาสองชิ้น ไอร้อนยังคงลอยกรุ่น เห็นชัดว่าเขาเพิ่งซื้อกลับมา เขายังจำได้ว่านางชอบกินขนมแป้งนึ่ง ตอนนั้นที่หมู่บ้านลู่ไถ…
เสวียนจีก้มหน้ากัดปากไว้ ในใจชาหนึบไปหมด อวี่ซือเฟิ่งเทน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง วางตรงหน้านาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ค่อยๆ กิน ระวังติดคอ”
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นจะจากไป เสวียนจีร้อนใจตะโกนเรียกดัง “เจ้า…เจ้าจะไปไหน”
นางผุดลุกขึ้นทำเอาน้ำชาบนโต๊ะหกราดไปทั้งโต๊ะ แขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งถูกนางคว้าไว้อย่างร้อนใจ ราวกับมีวาจานับพันหมื่นจะกล่าว เขาเองก็ตกใจอยู่สักหน่อย หันกลับไปมองนาง รู้สึกเพียงใบหน้านางอยู่ๆ พลันแดงก่ำ งามราวแสงอรุณ
“เจ้า…เจ้าเองก็กินด้วยกันสิ…” นางกล่าวติดอ่างจบ แทบอยากจะกัดลิ้นตนเองขาด
เขายิ้ม “ข้ากินแล้ว ตอนนี้ว่าจะไปหาหมิ่นเหยียนหารือเรื่องไปเขาปู้โจวซาน เจ้าไปหาอะไรเที่ยวเล่นเองแล้วกัน”
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน!” อีกมือนางดึงแขนเสื้อเขาไว้ ขนมแป้งนึ่งร่วงลงพื้น
อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองนางนิ่ง ราวกับกำลังถามนางต้องการกล่าวอันใด
เสวียนจีอึกอักเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง กัดริมฝีปาก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าคิดแล้ว หลังจากพวกเราช่วยหลิงหลงกลับมา เราก็ไปหาที่เหมือนเกาะฝูอวี้สักแห่ง อยู่ด้วยกัน…ด้วยกัน…ไม่แยกจากกันอีก ดีไหม”
รออยู่เป็นนาน เขาไม่พูดสักคำ ในใจเสวียนจีก็เริ่มร้อนใจ กล่าวมั่วซั่วไปหมดว่า “คือว่า…ยังมีพี่หลิ่ว…ถิงหนู…ไม่เป็นไร ยังกลับเส้าหยางไปเยี่ยมหลิงหลงกับศิษย์พี่หก…ค่อยไปตำหนักหลีเจ๋อ…เยี่ยมอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ้า…”
มือนางพลันถูกกุมไว้ วาจาติดอ่างก็หยุดลงทันที เสวียนจีอึ้งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขาเข้ามาใกล้ แนบใบหูนางกระซิบแผ่วเบาว่า “ในใจเจ้า…คิดเช่นนี้จริงหรือ”
นางพลันอึ้งไปทันที อดปล่อยมือที่คว้าแขนเสื้อเขาไว้ไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งลุกขึ้นยืน ค่อยๆ หันไปมองหมอกหนาด้านนอกหน้าต่าง กล่าวเบาๆ ว่า “เสวียนจี ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ก่อนที่จะได้อย่างเด็ดขาดทั้งหมด อันใดข้าก็ไม่เชื่อทั้งนั้น”
เด็ดขาด…เด็ดขาดอันใด นางสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองเขานิ่งเงียบ เขายิ้มอีก ลูบริมฝีปากนางแผ่วเบา หันกายจากไป
เสวียนจีนั่งอยู่ในห้องคนเดียวอยู่นาน นั่งอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจ