ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 24 เรื่องนี้ต้องถามสวรรค์ (12)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ความอดทนจงหมิ่นเหยียนถึงที่สุดในวันที่สาม จิ้งจอกม่วงฟื้นแล้ว วาจาแรกก็คือ “มารดาย่ายายมันสิ ถึงกับกล้ากัดมารดามัน!”

 

พอลืมตาขึ้นมองก็พบกว่ารอบๆ มีคนมุงดู พากันจ้องมองนาง ทำเอานางตกใจแทบกระโดดขึ้น ถิงหนูรีบกดนางตัวไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

จิ้งจอกม่วงเบะปาก หน้าตาเศร้าสลด กล่าวน้ำเสียงอัดอั้นว่า “นางกัดไหนไม่กัด…จะต้องมากัดตรงนี้ด้วย…โอย…ปวดมาก!”

 

กล่าวจบก็ก้มมอง ดังคาด ใต้หางนางมีผ้าพันแผลไว้ นางถูกปีศาจงูกัดที่บั้นท้าย ทุกคนพากันอดหัวเราะไม่ได้ เล่าเรื่องที่ช่วยถิงหนูออกมาให้ฟังรอบหนึ่ง จิ้งจอกม่วงพึงพอใจแกว่งหางไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ช่วยออกมาแล้วก็ดี! ข้าก็วางใจแล้ว!”

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “ช่วยคนออกมาแล้ว เจ้าก็ควรทำตามสัญญา พาพวกเราไปเขาปู้โจวซาน!”

 

จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ “ข้าย่อมไม่ลืมเรื่องนี้ แต่พิษปีศาจงูร้ายกาจจริง มือเท้าข้าอ่อนแรงไปหมด ไม่อาจเดินทางไกลได้ ก่อนขจัดพิษที่ยังค้างอยู่ ก็จะเดินทางไม่ได้”

 

เขาได้ฟังก็ร้อนใจ กำลังจะโต้เถียงกับนางก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ พลางกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “จริงๆ แล้วขอเพียงเจ้านำทางพวกเรา เรื่องอื่นไม่ต้องลำบากเจ้า ส่วนเรื่องช่วยหลิงหลง ก็ยิ่งไม่ต้องให้เจ้าออกแรง”

 

จิ้งจอกม่วงงึมงัมกล่าวว่า “วาจาแม้กล่าวเช่นนี้…หรือว่าข้าจะเอาแต่ยืนมองอยู่เฉยได้กัน?”

 

ทุกคนอยู่ร่วมกับนางมาระยะหนึ่ง กำแพงที่เคยกางกั้นก็เริ่มหายไป รู้ดีว่านางเป็นพวกปากร้ายใจดี แม้ว่านางเป็นปีศาจ นางแปลงกายเป็นจิ้งจอกร่วมเดินทางมากับพวกเขา แต่ในใจพวกเขา นางเริ่มค่อยๆ กลายเป็นดังสหายแล้ว ฟังนางกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง

 

จงหมิ่นเหยียนขยี้จมูก กล่าวว่า “อย่างนั้น…เจ้าก็ดูเฉยๆ ละกัน! เรื่องนี้เร่งด่วนจริง ไม่อาจรอช้า ได้แต่ลำบากเจ้าแล้ว”

 

จิ้งจอกม่วงกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็พยักหน้า “ตกลง เช่นนั้นพวกเจ้าไปเก็บของ พวกเราออกเดินทางได้ทันที”

 

ทุกคนฮือกันออกไปอย่างดีใจ ถิงหนูลูบขนจิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรจริงหรือ ถึงเขาปู้โจวซานก็อย่าฝืน”

 

จิ้งจอกม่วงพลันหน้าตาจริงจังกล่าวว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ร้อนใจอยากไป แม้ว่าเจ้าไม่ยอมบอกข้าสักที แต่ตอนนี้ข้าเดาออกแล้ว”

 

ถิงหนูอดอึ้งไปไม่ได้ จิ้งจอกม่วงเสียงดังกล่าวว่า “เขาถูกขังอยู่ที่แดนปรภพใช่ไหม?! เจ้ารู้อยู่ แต่กลับไม่บอกข้า! ไปครั้งนี้ข้าจะช่วยเขาออกมา!”

 

ถิงหนูเงียบอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “อย่าเหลวไหล เจ้าไปทำอะไรได้? ปีศาจใหญ่ร้ายกาจกว่าเจ้าตั้งเท่าไรก็ล้วนช่วยเขาออกมาไม่ได้ เจ้าช่วยอย่างไร? อย่าว่าแต่ไปแดนปรภพ เกรงแต่ว่าแม้แต่ประตูใหญ่ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ถูกเซินซูและอวี้ลวี่สังหารทิ้งแล้ว”

 

จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “ข้าจะไปช่วย! ปีศาจพวกนั้นช่วยออกมาไม่ได้เพราะพวกเขาไม่จริงใจ! ใต้หล้ายังมีคนที่จริงใจกับเขามากกว่าข้าอีกหรือ? แม้ต้องตายแหลกสลายเป็นผุยผง ข้าก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้!”

 

ถิงหนูอดเงียบลงไม่ได้ เป็นนานก่อนจะเข็นเก้าอี้ออกจากห้องไป พลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าไม่ใช่ปีศาจน้อยไร้เดียงสาเช่นเมื่อก่อนแล้ว ตนเองก็ความคิดเป็นของตนเอง ข้าไม่อาจรั้งไว้ แต่ผลที่เกิดขึ้นทุกสิ่ง เจ้าต้องรับเอง”

 

กล่าวจบก็ปิดประตูลง

 

เนื่องจากจิ้งจอกม่วงยังมีพิษหลงเหลือในร่าง มือเท้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก เสวียนจีจึงยัดนางไว้ในอกเสื้อ ให้โผล่ศีรษะออกมานำทางให้พวกนาง

 

ถิงหนูเข็นรถเข็นออกมาส่งพวกเขาจนถึงพื้นที่ป่านอกเมือง มองไปไกลๆ เห็นคนนั่งอยู่ในดงต้นไม้ พอเข้าไปใกล้จึงได้กลิ่นเหล้าหึ่งโชยมา อวี่ซือเฟิ่งทั้งตกใจและดีใจรีบวิ่งเข้าไป ดังคาด ได้ยินเสียงคนผู้นั้นหัวเราะดังลั่น กระโดดผึงขึ้นมา ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ เป็นหลิ่วอี้ฮวน

 

“พี่หลิ่ว! ท่าน…” เปลี่ยนใจจะเดินทางไปเขาปู้โจวซานกับพวกเขา? อวี่ซือเฟิ่งมองเขาเต็มไปด้วยความหวัง

 

หลิ่วอี้ฮวนโซซัดโซเซเข้ามาใกล้ ยันไหล่เขาไว้ พยายามยกมือโบกไปมา หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ข้ามาส่งเฟิ่งหวงน้อย…ไปครั้งนี้…อันตรายมาก ระวังให้มาก…ข้ายังรอเจ้ากลับเมืองชิ่งหยางเป็นเพื่อนดื่มสุรากับข้านะ!”

 

อวี่ซือเฟิ่งอยากร้องไห้ก็ไม่ออก อยากหัวเราะก็ไม่ได้ ได้แต่พยักหน้า เขาคว้าคอตนเองไว้กระซิบข้างหูแผ่วเบาว่า “มีอันใดไม่ถูกต้องก็รีบกลับมา อย่าเอาแต่คิดต่อสู้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

 

อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองเขา ในใจพลันวูบไหว เขากลับหัวเราะดัง ตบบ่าเขาก่อนจะหันหลังจากไป

 

“จิ้งจอกน้อย~~~จิ้งจอกน้อยล่ะ” หลิ่วอี้ฮวนตะโกนราวกับเรียกวิญญาณ หันกลับมามอง ในที่สุดก็เห็นจิ้งจอกม่วงขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเสวียนจี ยามนั้นเขายิ้มฟันขาว ส่งยิ้มประหลาดเดินเข้ามา

 

“เจ้าทำอะไร” จิ้งจอกม่วงถลึงตาใส่เขาอย่างระวังตัว รู้สึกเพียงว่าเขายื่นมือมาจะดึงนางออกมา กลิ่นเหล้าโชยมาแตะจมูก ทำเอานางส่งเสียงร้องดังลั่น

 

“ให้ข้าดูเจ้าหน่อย…วันหน้ายากจะได้เห็นแล้ว!” หลิ่วอี้ฮวนกล่าวพลันจูบไปบนใบหน้านางที่มีขนปุกปุยทีหนึ่ง ทำนางตกใจตัวแข็งค้าง

 

“อืม เด็กผู้หญิงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี” เขาปล่อยมือ ปล่อยจิ้งจอกม่วงตัวแข็งค้างคืนให้เสวียนจี ยิ้มให้นาง “อย่างไรก็ต้องช่วยคนกลับมาได้ อย่าใจร้อนไป”

 

เสวียนจีพยักหน้างุนงง เห็นเขาเดินไปทางจงหมิ่นเหยียน จงหมิ่นเหยียนแต่ไรมาชักสีหน้าใส่เขาตลอด เห็นเขาเดินส่ายอาดๆ มา ก็พลันนึกรังเกียจคิดจะจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าเขาแค่เงยหน้ามองหัวเราะเยียบเย็นไม่กล่าวอันใด จากนั้นก็ไปเวียนวนอยู่ทางรั่วอวี้

 

“อืม อย่างไรก็เป็นเจ้าที่ฉลาด” หลิ่วอี้ฮวนตบบ่ารั่วอวี้ ยิ้มน่าประหลาดอยู่บ้าง “คนฉลาดไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายนะ…”

 

รั่วอวี้ยิ้มบาง ประสานมือกล่าวว่า “พี่หลิ่วกล่าวหนักไปแล้ว”

 

“เจ้าพอได้หรือยังนี่…”จงหมิ่นเหยียนส่งเสียงรำคาญ หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ เสียงดังกล่าวว่า “ขี้เกียจจะพูดกับไอ้คนโง่เง่าอย่างเจ้าแล้ว! ไอ้คนโง่เง่าที่น่าสงสารไม่ใช่เพราะเขาโง่เง่า แต่เพราะตนเองโง่เง่าเห็นๆ อยู่ แต่กลับยังคิดว่าตนเองฉลาด! เจ้ามันไอ้งั่ง!”

 

ในยามนั้นจงหมิ่นเหยียนโมโหสุดขีดจนหน้าแดงคิดจะโต้เถียงกับเขา หลิ่วอี้ฮวนกลับโบกมือ หันกายเข็นถิงหนูจากไป ก่อนหันมากล่าวว่า “รักษาตนเองให้ดี! มีเวลากลับมาเมืองชิ่งหยาง ข้าจะเลี้ยงสุราบุปผาพวกเจ้า”

 

“คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจจริง!” จงหมิ่นเหยียนโมโหจนเหินกระบี่ไปก่อน รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “พี่หลิ่วเองก็หวังดี หมิ่นเหยียนอย่าเคืองไป” กล่าวจบก็เหินตามไป

 

ที่พื้นเหลือเพียงเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งจ้องหน้ากัน จิ้งจอกม่วงแสร้งทำหลับอย่างรู้งาน ไม่ส่งเสียงสักคำ เป็นนานอวี่ซือเฟิ่งจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ไปกันเถอะ” เสวียนจีรีบเข้าไปดึงเสื้อเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เดี๋ยว! ซือเฟิ่ง…เจ้า…เจ้า ครั้งก่อนที่เจ้าพูดกับข้า ข้ายังไม่เข้าใจ!”

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด นางกล่าวอีกว่า “ข้า…ข้าไม่คิดแยกจากเจ้า! แต่เหตุใดเจ้าจึงพูดถึง ‘เด็ดขาด’ อะไรพวกนั้นด้วย…ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าหมายความอย่างไร! ซือเฟิ่ง เจ้าตัดสินใจกลับตำหนักหลีเจ๋อหรือ? วันหน้าพวกเราจะไม่ได้พบกันอีกหรือ”

 

คิดถึงวันหน้าเขาต้องกลับตำหนักหลีเจ๋อ บางทีอาจจะไม่ได้พบหน้ากันแปดปีสิบปี ในใจนางพลันรู้สึกปวดแปลบอย่างหาที่สุดมิได้ หากเป็นผู้อื่นบีบคั้นนาง นางย่อมไม่ลังเลที่จะก้าวออกมา แย่งชิงเขากลับมา ไม่ว่าต้องเผชิญอันตรายอันใด นางก็ไม่สน แต่หากเป็นเขาต้องการไปเองเล่า? จะทำอย่างไรจึงจะรั้งเขาไว้ได้? อย่างไร…จึงจะทำให้เขารู้ว่าตนเองหวังให้เขาอยู่ต่อเพียงใด?

 

ขนตาอวี่ซือเฟิ่งไหวเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คนที่ไม่เข้าใจแท้จริง ควรเป็นข้า”

 

เสวียนจีมองเขาหันกายจะจากไป อดเข้าไปกอดเขาเบื้องหน้าไว้ไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าไป! เจ้า…เจ้าฟังข้ากล่าวให้จบก่อน!”

 

จิ้งจอกม่วงถูกเขาสองคนบีบจนแทบเป็นลม รีบส่งเสียงร้องดังลั่นว่า “ปล่อยข้าลงไปก่อนได้ไหม พวกเจ้าสองคนจะคุยเรื่องรักเรื่องใคร่อันใด หรือว่าต้องหาคนที่สามมาฟังด้วย?!”

 

ทั้งสองพากันตะลึงงัน เห็นจิ้งจอกม่วงตะกายออกจากอ้อมแขนนางอย่างยากลำบาก เดินเขยกสองสามก้าวไปหมอบลงอยู่ข้างพุ่มไม้หนึ่ง หันกลับมากล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “จะไปกันตอนไหน…ค่อยมาเรียกข้า ตอนนี้…พวกเจ้าตามสบาย คิดว่าข้าไม่อยู่ก็แล้วกัน”

 

ถูกนางขัดเช่นนี้ ทั้งสองยังมีสิ่งใดกล่าวได้อีก อึ้งไปครู่หนึ่ง เสวียนจีพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุด ขอบตาร้อนผ่าว วาจาที่อัดแน่นภายในไม่รู้ควรกล่าวอย่างไร ได้แต่ก้มลงคว้าจิ้งจอกม่วงเดินจากไป

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันส่งเสียงดังขึ้นด้านหลังแผ่วเบาว่า “ได้ ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ต่อ”

 

นางรีบหันหน้ากลับมาทันที เห็นสีหน้าจริงจังของเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอเพียงข้าอยู่ต่อ วันหน้าก็จะไม่ไปอีกแล้ว เจ้าอย่าได้นึกเสียใจภายหลัง”

 

เสวียนจีจ้องมองนิ่งอึ้ง เขาเดินเข้ามา ยกมือเชยคางนางขึ้น สองตาจ้องมองนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แม้เจ้าจะนึกเสียใจภายหลัง ข้าก็ไม่ไปไหนแล้ว”

 

เสวียนจีค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา สองตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ใบหน้าแย้มยิ้มราวบุปผาบาน คนเรามักจะบรรยายสตรีมีคราบน้ำตานองหน้าว่าราวกับดอกลูกแพรหลังฝน ตอนนี้เขาจึงเข้าใจว่าเป็นความงามระดับใด พลันนิ่งอึ้งไป

 

“ผู้ใด ผู้ใดว่าข้าจะนึกเสียใจภายหลัง! ข้าดีใจแทบไม่ทันต่างหาก!” นางปาดน้ำตา คว้ามือเขาไว้อย่างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย ร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ไปแล้วจริงๆ หรือ ไม่หลอกใช่ไหม!”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง เคาะหน้าผากนางเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่หลอก ไม่ไปเด็ดขาด”

 

ยามนี้เสวียนจีจึงได้รู้สึกพอใจ แทบอยากจะบินไปเขาปู้โจวซานช่วยหลิงหลงกลับมาทันที จากนี้ก็จะได้โลดแล่นอิสระเสรี ไม่มีเรื่องกังวลใจอันใดอีก