บทที่ 194 ความรักหลบซ่อน ขี่ม้าด้วยกัน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 194 ความรักหลบซ่อน ขี่ม้าด้วยกัน
“คนบ้า” เฟิ่งชิงเฉินผงะไปและเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของตี๋ตงหมิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“นั่งดีๆ ข้าจะไม่ล่วงเกินเจ้า สารรูปของเจ้าข้าชอบไม่ลง” ตี๋ตงหมิงควบม้าทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เขาจับเฟิ่งชิงเฉินไว้ด้วยมือข้างเดียวด้วยท่าทางที่ยากจะพรรณนา
หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ที่แคว้นตงหลิงโดยใช้ประโยชน์จากความวุ่นวาย ซีหลิงเทียนเหล่ยและซีหลิงเหยาหวาเพิ่งติดต่อกับคนที่เหลือของจูเซียง ตกลงผลประโยชน์กันได้ไม่น้อย สองพี่น้องอารมณ์ดีไม่เบา ในขณะที่กำลังปรึกษากันว่าจะมาแคว้นตงหลิงอย่างเปิดตัวเมื่อใดอยู่นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นภาพของเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงที่ขี่ม้าด้วยกัน
“สตรีผู้นี้ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงคำนินทาหรืออย่างไร นางยังเสียชื่อไม่พออีกหรือ” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงดูเหมาะสมกันเช่นนี้แล้วก็อดรู้สึกว่าภาพนั้นทิ่มแทงสายตาอยู่ไม่น้อย
“พี่ใหญ่ อวี่เหวินหยวนฮั่วไปแล้ว นางย่อมต้องหาที่พึ่งใหม่โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นดูจากความสามารถในการสร้างศัตรูทุกที่ที่นางไปแล้ว ไม่รู้เลยว่านางจะมีจุดจบเช่นไร
แม้จะบอกว่านางจะมีมิตรภาพอันดีกับตงหลิงจิ่วและหลานจิ่วชิง แต่ตงหลิงจิ่วคือใครกัน เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร สำหรับหลานจิ่วชิงนั้น วิทยายุทธ์ของเขายอดเยี่ยมไม่เบา แต่เขาไม่ใช่คนในราชวงศ์จึงช่วยนางไม่ได้ ซู่ชินอ๋องซื่อจื่อนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”
ซีหลิงเหยาหวาที่เป็นผู้หญิงด้วยกันเข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังทำอะไร แต่ที่มากกว่านั้นคือความอิจฉา สตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินนั้น เหตุใดจึงได้รู้จักแต่บุรุษที่คนธรรมดาอาจเอื้อมไม่ถึงและที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาเหล่านั้นล้วนเคารพนางและไม่มีท่าทางดูหมิ่นนางแม้แต่น้อย
ซีหลิงเหยาหวาเข้าใจได้ว่าทำไมองค์หญิงอันผิงถึงได้อยากกำจัดเฟิ่งชิงเฉินมากถึงเพียงนั้น เพราะนางเองก็เหมือนกับองค์หญิงอันผิง นางก็ต้องการกำจัดเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน
เสียง “เพล้ง” ดังขึ้น ซีหลิงเทียนเหล่ยบีบถ้วยในมือของเขาจนแตก ชิ้นส่วนที่แตกบาดนิ้วเขาและเลือดก็ไหลออกมาตามง่ามนิ้ว
“ท่านพี่…” ซีหลิงเหยาหวารีบลุกขึ้นยืนและพันผ้าพันแผลที่บาดแผลของซีหลิงเทียนเหล่ยด้วยผ้าเช็ดหน้า ซีหลิงเทียนเหล่ยหน้าบึ้งตึงและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงมองดูร่างของเฟิ่งชิงเฉินที่จากไป
จวนอ๋องเก้า
เมื่อตงหลิงจิ่วได้ยินข่าวนี้เข้าก็พยักหน้าแสดงการรับรู้ หลังจากที่ผู้รายงานข่าวออกไป รอยยิ้มแสดงความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา นางฉลาดจริงๆ มิเสียแรงที่เขาไปถึงจวนนางด้วยตนเอง เฟิ่งชิงเฉินเป็นเสมือนลาที่ดื้อรั้น ถ้าไม่ตีก็ไม่เดินต่อ
ห้องทรงพระอักษร
“ซู่ชินอ๋องซื่อจื่อ? เฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถจริงๆ และก็กลัวความตายไม่น้อย” จักรพรรดิโบกมือและส่งสัญญาณให้สายลับออกไป
เขาไม่ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในสายตา สิ่งที่เขาสนใจก็คือนางมีประโยชน์หรือไม่
คิดไม่ถึงเลย เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่จำเป็นต้องให้ตงหลิงจิ่วออกหน้าก็สามารถแก้ไขวิกฤติในทันทีด้วยตัวเองได้
ผู้หญิงเช่นนี้บางทีอาจมีประโยชน์กับเขาก็เป็นได้
วังหลัง
“เข้าบอกว่าซู่ชินอ๋องซื่อจื่อและเฟิ่งชิงเฉินขี่ม้าด้วยกันบนท้องถนนงั้นหรือ?” ดวงตาของฮองเฮาดูเคร่งขรึมแต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“ทูลฮองเฮา ใช่แล้วเพคะ หลายคนก็เห็น ซู่ชินอ๋องซื่อจื่อลากตัวนางขึ้นบนหลังม้าไป” นางกำนัลคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่กล้าหายใจ
“ลากนางไป? เฟิ่งชิงเฉิน หรือว่าผู้บัญชาการทหารองครักษ์ล้วนถูกแต่งตั้งขึ้นให้นาง อวี่เหวินหยวนฮั่วไปเสียคนหนึ่งแล้วก็ยังมีตี๋ตงหมิงอีก ข้าเคยคิดว่าตี๋ตงหมิงผู้นี้จะดีเสียอีก คิดไม่ถึงเลย…” ฮองเฮาตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยหยกกระเด้งขึ้นและถูกแขนเสื้อกว้างๆ กวาดตกลงบนพื้น
โชคดีที่พรมใต้เท้าหนาพอ ไม่เช่นนั้นถ้วยหยกอันวิจิตรงดงามจะแตกเป็นเสี่ยง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮองเฮาจะโกรธมาก ต้องรู้ว่าตี๋ตงหมิงเป็นผู้ที่นางต้องการให้มาเป็นลูกเขยในอนาคตและกำลังจะถูกคัดเลือกให้เป็นราชบุตรเขย
แม้ว่าซู่ชินอ๋องจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่สถานะของเขาในตงหลิงก็สำคัญมาก เขาเป็นน้องชายบุญธรรมของอดีตจักรพรรดิ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากซู่ชินอ๋อง
หากตี๋ตงหมิงแต่งงานกับอันผิง เช่นนั้นการขึ้นครองบัลลังก์ของตงหลิงจื่อลั่วก็เป็นเพียงไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น
เสียดายที่ตระกูลตี๋ไม่มีบุตรี มิเช่นนั้นฮองเฮาคงจะให้ตงหลิงจื่อลั่วแต่งงานไปเสียนานแล้ว
จวนลั่วอ๋อง
หนึ่งร้อยวันหลังจากได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บที่เท้าของตงหลิงจื่อลั่วยังไม่หายดี แต่อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก เพียงแต่เมื่อได้ข่าวสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ตี๋ตงหมิง เขาไม่รู้หรือว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงของข้า? บอกหมอหลวงว่าหลังจากนี้สามวันข้าจะลุกจากเตียง” ระยะนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไป แม้ว่าเขาจะเลี่ยงอันตรายไปได้เล็กน้อย แต่ก็พลาดโอกาสบางอย่างไปด้วยเช่นกัน
ข้ารับใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “พ่ะย่ะค่ะ” เขารู้ดีว่าเมื่อลั่วอ๋องตัดสินใจแล้วคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก
จวนเจิ้นกั๋วกง
กั๋วกงฮูหยินไม่รู้สึกไม่มีความสุขแม้แต่น้อย นางกลับหัวเราะออกมา “นับเป็นคนที่ใจเย็นยิ่งนัก ดูเหมือนว่าหากจะทำให้นางโกรธจนมาที่จวนกั๋วกงคงจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไป นำเทียบเชิญของจวนกั๋วกงไปที่จวนเฟิ่ง บอกว่ามีคุณหนูในจวนไม่สบาย เชิญให้นางมา”
ปีนี้กั๋วกงฮูหยินอายุได้สามสิบปี นางเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลเจิ้งแห่งหรงหยาง เรื่องอำนาจของตระกูลนางนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย อีกทั้งอำนาจของฝั่งสามีนั้นก็นับว่าเป็นลำดับหนึ่งลำดับสองในแคว้นตงหลิง ดูแล้วหญิงที่ทำให้นางขุ่นเคืองใจได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
นางไม่เคยเสียเปรียบหรือเสียหน้ามาก่อน แต่เฟิ่งชิงเฉิน…
เพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของเฟิ่งชิงเฉินได้ทำลายองค์หญิงอู่อันผู้เป็นบุตรสามของนาง ฝ่าบาทไม่เพียงยึดคืนบรรดาศักดิ์ของนางเท่านั้น แต่ยังลงโทษจวนกั๋วกง ทำให้ไม่มีที่อยู่อาศัย
ต้องรู้ว่าองค์หญิงอู่อันเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในจวนเจิ้นกั๋วกงที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก องค์หญิงอู่อันก็ต้องตาไทเฮาเข้า ไทเฮาจึงได้ขอให้ เดิมนี่เป็นเรื่องมีเกียรติยิ่งนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
กั๋วกงฮูหยินคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเฟิ่งชิงเฉิน หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินแล้ว อู่อันจะถูกริบบรรดาศักดิ์ได้อย่างไรและลูกสาวของจวนเจิ้นกั๋วกงจะถูกดูแคลนได้อย่างไร
เนื่องจากข่าวลือเรื่องการผิดประเวณีก่อนแต่งงานขององค์หญิงอู่อันถูกแพร่ออกไป ธิดาของเจิ้นกั๋วกงจึงขายไม่ออก เรื่องแต่งงานที่เจรจาไว้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปจนสิ้น
อย่างไรการแต่งงานต้องแต่งกับภรรยาผู้มีคุณธรรม ส่วนหากจะแต่งอนุนั่นก็ด้วยรูปโฉม
คุณธรรมของภรรยาไม่เพียงแต่ต้องมีศักดิ์ศรีสง่างามเท่านั้น แต่ยังต้องมีชื่อเสียงว่ามีคุณธรรมด้วย สตรีที่ชื่อเสียงถูกทำลายจนป่นปี้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครต้องการ แต่ยังทำให้มัวหมองไปถึงวงศ์ตระกูล นำความอับอายมาสู่ผู้คนในตระกูลทั้งหมด
ในราชวงศ์ตงหลิง สตรีเช่นนี้มีอยู่สองคน คนหนึ่งคือเฟิ่งชิงเฉินและอีกคนหนึ่งก็คือองค์หญิงอู่อัน โดยเฉพาะองค์หญิงอู่อัน ตอนนี้นางเหลือเพียงชื่อที่สวยงามเท่านั้น
เมื่อเหล่าผู้ดีในเมืองหลวงกล่าวถึงธิดาของเจิ้นกั๋วกงก็จะรู้สึกว่ามีเมฆสีเขียวอยู่เหนือหัว ใครก็ตามที่อยากจะแต่งงานกับนางก็จะต้องถูกสวมเขา
ตระกูลหนึ่งมีลูกสาวและมีผู้มาสู้ขอหลายร้อยคน แต่ด้วยคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ลูกสาวทั้งเจ็ดที่กำลังรอแต่งงานและลูกสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีกหกคนล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งตระกูลสายรองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าออกหน้ารับแรงกดดัน คงต้องส่งพวกนางกลับไปยังบ้านเกิดและหาคนที่นั่นแต่งงานด้วยเป็นแน่
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร นั่นหมายความว่าเจิ้นกั๋วกงสูญเสียโอกาสในการแต่งงานกว่าหลายสิบครั้ง
ต้องรู้ว่าครอบครัวของชนชั้นสูงล้วนชอบอาศัยแต่งงานระหว่างกันเพื่อเชื่อไมตรี ตระกูลเจ้าแต่งงานกับลูกสาวข้า ลูกสาวข้าแต่งเข้าตระกูลเจ้า ไปๆ มาๆ ทุกครอบครัวก็ล้วนเป็นญาติกันหมด หากเกิดเรื่องขึ้นทุกคนก็จะช่วยกัน