ตอนที่1346 โชคดี

 

“ผู้อาวุโสเฟิ้งเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านหลอมกลั่นออกมาได้หรือไม่?”

คนที่เอ่ยถามขึ้นมีนามว่า ห่านเทียนแห่งหอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง และชายชราที่อยู่ตรงข้ามเขาคือหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ จอมเทพโอสถสามดาว,เซียวเฟิ้ง

 

เซียวเฟิ้งส่ายหัว คลี่ยิ้มขื่นกล่าวว่า

“เราชายชราเองก็ศึกษาศาสตร์แห่งโอสถมานับหลายหมื่นปี แต่กลับไม่คิดไม่ฝันมาก่อน แม้แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางก็ยังไม่มีปัญญาหลอมกลั่น!”

 

ห่านเทียนตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น เขากล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า

“ไม่ได้เลยงั้นรึ? นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง แม้แต่ท่านที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาวก็ยังหลอมกลั่นไม่ได้จริงๆ?”

 

ครึ่งเดือนก่อน ห่านเทียนได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมาจากหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง

ด้วยหัวคิดทางด้านธุรกิจอันฉลาดหลักแหลมของหยางรุย หลังจากที่ได้รับสูตรโอสถของเย่หยวน เขาก็เริ่มคิดต่อยอดสร้างโอกาสเพื่ออนาคตทันที

ซึ่งหลังจากที่ส่งถึงมือห่านเทียนแล้ว เขาจึงเร่งระดมเหล่านักหลอมโอสถของเมืองหลวงหวูเมิ่งทันที เพื่อหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณตามสูตรที่ได้มา

แต่เขากลับตระหนักได้ทันทีในเวลาต่อมา เขาคิดง่ายเกินไป!

 

แม้หอมหาสมบัติในอาณาเขตเมืองหลวงหวูเมิ่งจะมีขุมพลังอ่อนแอที่สุด แต่ในจำนวนเหล่านั้นก็มีจอมเทพโอสถสองดาวไม่น้อยเช่นกัน

ทว่าเหล่าจอมเทพโอสถสองดาวกลับไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณสำเร็จเลยสักคน!

 

ในท้ายที่สุดนี้ ห่านเทียนไร้ซึ่งทางเลือกอื่นจนต้องเชื้อเชิญจอมเทพโอสถสามดาวอย่างเซียวเฟิ้งให้ออกโรง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ห่านเทียนประหลาดใจหนักเลยก็คือ แม้แต่เซียวเฟิ้งก็ยังล้มเหลว!

 

โอสถบ่มเพาะปราณมันไม่หลอมกลั่นยากเกินไปหน่อยรึ?

 

เซียวเฟิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“สูตรโอสถชนิดนี้คือผลงานชิ้นเอกของมหาพิภพถงเทียน หากปราศจากความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถในระดับลึกซึ้ง ก็ไม่มีทางหลอมกลั่นมันได้เลย เราชายชรา…ยังขาดตกไปหนึ่งส่วน!”

แท้ที่จริง เซียวเฟิ้งก็เกือบจะหลอมกลั่นได้สำเร็จแล้วเช่นกัน เพียงว่าในขั้นตอยสุดท้ายดูเหมือนว่าความเข้าใจของเขายังลึกซึ้งไม่พอ

 

ได้ยินวาจาคำกล่าวแบบนี้ ห่านเทียนถึงกับสะท้านขวัญจิตใจร่วงวูบ

ตอนที่เขาได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมา เขาดีใจเป็นบ้าเป็นหลังประดุจได้ขุมสมบัติชิ้นโต แต่ยามนี้หากปราศจากผู้คู่ควรกลับแทบไม่มีค่าอันใด

หากไม่สามารถหลอมกลั่นออกมาได้ นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษแผ่นหนึ่งจริงหรือไม่?

 

“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า นี่จะเป็นการตักน้ำใส่ตะแกรง สวรรค์เล่นตลกแล้ว…เฮ้ออ…”

ห่านเทียนกล่าวขึ้นอย่างหดหู่ใจ

 

เซียวเฟิ้งลูบเครายาวไปพลาง ครุ่นคิดพินิจถึงเรื่องนี้ครู่ใหญ่ก่อนกล่าวว่า

“ท่านประมุขหอ ข้ามีความคิดดีๆแล้ว!”

 

ห่านเทียนโพล่งกล่าวตอบสนองทันควัน

“ผู้อาวุโสเฟิ้งคิดเห็นอย่างไร โปรดอย่าลังเลที่จะกล่าว!”

 

เซียวเฟิ้งกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“ข้าไปเมืองกุยฉางสักเที่ยวนึง!”

 

ห่านเทียนตัวแข็งทื่ฉับพลัน รีบเร่งส่ายหัวอานกล่าวว่า

“ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักจริงหรือไม่? ผู้อาวุโสเฟิ้ง,สถานะของท่านสูงส่ง จะให้เดินทางไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้นได้อย่างไร? หากท่านต้องการเข้าพบอาคันตุกะนักหลอมโอสถนามว่า เย่หยวน ให้ข้าเชิญเขาเข้ามาพบท่านที่นี่ดีกว่า”

 

ในสายตาของพวกเขา เมืองกุยฉางกลับมิใช่สถานที่ที่คุ้มค่าจะเดินทางไปเท่าไหร่

 

แต่เซียวเฟิ้งกลับส่ายหัวและกล่าวว่า

“ไม่ถูกต้องท่านประมุขหอ! อายุกลับไม่เกี่ยว ใครบรรลุก่อนผู้นั้นมีคุณสมบัติ เนื่องจากเย่หยวนผู้นี้สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้ นี่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ศาสตร์แห่งโอสถของเขาลึกล้ำเหนือกว่าเราชายชราไปแล้ว! อย่างน้อยที่สุดในบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมด ข้ายังอ่อนด้อยกว่าเขานัก! อัจฉริยะมากพรสวรรค์แบบนี้ ในภายภาคหน้าย่อมก้าวล้ำเหนือกว่าเราชายชราแน่นอน! บุคคลทรงคุณค่าควรธำรงรักษาให้มั่น! ในอนาคตเขาจะกลายมาเป็นเสาหลักของหอมหาสมบัติ!”

 

ห่านเทียนพินิจตามไปและพยักหน้ารัวเห็นด้วยสุดใจ

“ผู้อาวุโสเฟิ้งกล่าวถูกต้องแล้ว! เช่นนั้น…การเดินทางครานี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว และหากเป็นไปได้…นำเขากลับมาเมืองหลวงหวูเมิ่งด้วยจะเป็นการดีที่สุด!”

 

 

เสี่ยวเฟิ้งกล่าวตอบว่า

“หุหุ มิได้เป็นการรบกวนเลย! ข้ารู้สึกว่าบางที…การเดินทางครั้งนี้อาจเป็นโชคดีของข้าด้วยซ้ำ!”

 

 

 

……………………………..

 

 

ชั่วพริบตาครึ่งปีผ่านไป หลังจากที่หอมหาสมบัติเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณ

ในช่วงครึ่งปีมานี้ร้านค้าของตระกูลหวัง, ตระกูลหลินและตระกูลหลู่ยังคงรกร้างไร้ซึ่งผู้คน

ตระกูลหลินกับตระกูลหลู่ยังพอทำเนา แต่ตระกูลหวังกล่าวได้ว่าขาดทุนป่นปี้ไม่เหลือดี

 

ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกิดปัญหาระหว่างหอมหาสมบัติด้วยกันเอง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นจริงเลย

 

ครึ่งปีมานี้ เย่หยวนใช้ชีวิตอย่างผาสุกสำราญใจ

 

หลังจากจะต้องหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณในทุกๆวัน เวลาที่ว่างเขามักจะเข้าไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เพื่อขัดเกลาเต๋าให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น

 

ช่วงเวลาดังกล่าว หยางรุยนับเงินคำนวณผลกำไรไม่หยุดหย่อนด้วยความปีติปลื้มใจ

หากให้บรรยายถึงสถานการณ์ตอนนี้ของหอมหาสมบัติ กล่าวได้ว่า เพชรชุบทอง!

ในทุกๆวันที่ผ่านไป หยางรุยยังคงจมลึกท่ามกลางความตื่นตะลึง

ผลึกปราณเทวะที่หอมหาสมบัติได้รับมาในช่วงครึ่งปีให้หลังนี้ มันแทบจะเทียบเท่าธุรกิจใหญ่ๆในเมืองหมิงหยางได้แล้ว

 

ท้ายที่สุดนี้ ตระกูลหวังก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

 

ณ ตำหนักเจ้าเมืองกุยฉาง หวังซูเร่งเข้าพบท่านเจ้าเมืองเป็นการด่วน

 

“หุหุ น้องชายหวังซูมิใช่รึนั้น? เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าหวังซ่ง,พี่ชายของเจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายแล้วใช่หรือไม่?”

เจ้าเมือง,เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

 

หวังซูยิ้มตอบพร้อมกล่าวว่า

“ไม่มีข่าวใดที่ท่านพี่เฉินมิทราบจริงๆ! เขาเพิ่งทะลวงขึ้นไปได้เมื่อไม่นานมานี้”

 

เฉินหย่งหนานเค้นหัวร่อเล็กน้อย พลางกล่าวส่อสายตาสะท้อนแววอิจฉาออกมา

“พรสวรรค์ของหวังซ่งถือได้ว่าสูงมาก แถมยังมีตระกูลหวังคอยหนุนหลังอยู่อีก ต่างจากพวกเราที่วันๆต้องจัดการกับเรื่องทางโลกยวุ่นวายไม่เว้นวัน!”

 

หวังซูกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“ท่านพี่เฉินเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง มีอำนาจมากมายอยู่ในมือ ใครๆต่างต้องอิจฉาเช่นกัน!”

 

เฉินหย่งหนานหรี่ตาแคบเล็กน้อยและกล่าวว่า

“น้องชายหวังซู มาเยี่ยมเยือนครานี้คงมีเรื่องราวความเป็นมากระมัง?”

 

หวังซูลอบเร้นสาปแช่งจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้อยู่ในใจอย่างลับๆ แต่พื้นผิวภายนอกยังคงประดับยิ้มอยู่เช่นเดิม ขณะกล่าวไปว่า

“ถูกต้องแล้วท่าน แต่…เรื่องการบ่มเพาะพลังของท่านพี่เฉินอย่าได้กังวลไป ตราบใดที่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางผงาดขึ้นอีกครั้ง ทรัพยากรการบ่มเพาะทั้งหมดของท่านพี่เฉิน ข้าจะให้ผู้อาวุโสอวีเซียงเป็นคนจัดการดูแลเอง! เช่นนี้…ท่าน…ท่านเห็นด้วยรึไหม?”

 

หวังอวีเซียงที่อยู่ข้างๆเร่งกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว! ในอดีตตระกูลหวังมิอาจช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองได้เต็มที่เท่าที่ควร หวังว่าท่านเจ้าเมืองโปรดใจกว้างให้อภัย ซึ่งครั้งนี้เอง พวกเราตระกูลหวังก็เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆแทนคำขอโทษ”

 

ขั้วหัวใจของหวังอวีเซียงประดุจถูกมีดคมบาดลึกจนเลือดสดไหลหลั่ง แม้ว่าตระกูลหวังจะตกต่ำถึงขีดสุดเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องเจียดเนื้อส่วนหนึ่งมาเป็นเครื่องบรรณนาการให้เฉินหย่งหนาน

 

ตอนหวังซูกับหวังซวนเฟย เขาก็ใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลมากแล้ว มาครั้งนี้ยังต้องตัดเนื้อตัดเลือดแบ่งให้กับเฉินหย่งหนานอีก ค่าใช้จ่ายของตระกูลหวังในระยะนี้ค่อนข้างเกินงบไปไกลแล้ว

เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้ายังพอทำใจได้ แต่สำหรับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเฉกเช่นหวังซวนเฟยหรือเฉินหย่งหนาน กลับต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง ค่าใช้จ่ายย่อมขยายสูงขึ้นตาม

ถึงกระนั่นเอง เมื่อเทียบกับตระกูลหวังที่ต้องล่มสลายลง เห็นได้ชัดว่าเขายังพอกัดฟันทำใจยอมรับได้

 

ความหายนะทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดขึ้นจากไอ้บัดซบน้อยเย่หยวน

หวังอวีเซียงรังเกียจเย่หยวนจนเข้ากระดูกดำมาเนินนานแล้ว

 

ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง มีสถานศึกษาหวูเมิ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังก่อตั้งอยู่

เหล่าเยาวชนที่จบการศึกษาจากที่แห่งนี้ โดยส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นคนใหญ่คนโต หรือเป็นแม้กระทั้งเจ้าเมืองเฝ้าปกครองเขตเมืองต่างๆในอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง

หลังจากที่เฉินหย่งหนานและหวังซ่งจบการศึกษาไป คนหนึ่งได้ขึ้นกลายเป็นเจ้างเมืองกุยฉาง ในขณะที่อีกคนได้กลายมาเป็นรองเจ้าเมืองหมิงหยาง

 

แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นเจ้าเมืองและอีกคนคือรองเจ้าเมือง ทว่าอย่างลืมเสีย อำนาจอิทธิพลระหว่างสองเมืองนี้ต่างกันอย่างมาก กลับเป็นเฉินหย่งหนานที่มีสถานะต่ำกว่าหวังซ่งอยู่หนึ่งขั้น

หวังซ่งเป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง แถมยังมีตระกูลหวังซึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ภายในเมืองค้อนหนุนหลังอยู่ตลอด ทั้งอำนาจและอิทธิพลเหนือกว่าเฉิงหย่งหนานอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ หวังซ่งยังทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายได้ก่อนเขาอีก ในอนาคตต่อไป หวังซ่งจะถูกผลัดดันขึ้นสู่ตำแหน่งหน้าที่สำคัญในเมืองหลวงหวู่เมิ่งแน่นอน

ในอีกด้าน เฉินหย่งหนานยังคงย่ำอยู่กับที่และเฝ้าอิจฉาแหงนมองอีกฝ่ายเท่านั้น

 

สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน หอมหาสมบัติและตระกูลหวังขับเคี่ยวกันมาหลายสิบปี เขามีหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกลโดยธรรมชาติ และรอเวลาให้ตระกูลหวังคลานมาพบเขาเอง

เพราะตอนนี้ตระกูลหวังไม่สามารถต่อกรได้ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

แม้เขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่เขาและทางฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองเองก็มีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกันให้แก่เบื้องบน หากสถานการณ์ยังคงเลวร้ายหนักไม่สามารถประคองรักษาได้ เขาจะสูญเสียรายได้จากช่องทางภาษีของเหล่าตระกูลใหญ่เป็นจำนวนมากจนน่ากลัว

ดังนั้นยามเห็นตระกูลหวังถ่อมาหาขนาดนี้ เขาจึงได้ความคิด ให้อีกฝ่ายจ่ายส่วยโดยส่วนตัวเข้าตัวเขาเอง

 

คนพวกนี้จะช่วยเติมเงินในกระเป๋าของเขาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

 

“หึหึ ผู้อาวุโสอวีเซียง เกรงใจแล้ว ที่พวกท่านมาในคราวนี้คงมิใช่เพราะเรื่องของหอมหาสมบัติ?”

ได้รับคำการันตีเกี่ยวกับแรงสนับสนุน ยามนี้เฉินหย่งหนานเปิดไพ่ขึ้นกลางโต๊ะทันที