ตอนที่1347 หากท่านไม่กล่าว ข้าคงตรัสรู้ทราบเองได้?

 

“งานเลี้ยงในคราวนี้มีภัยร้ายซ่อนอยู่! เย่หยวน เจ้าห้ามไปงานเลี้ยงเด็ดขาด!”

หยางรุยกล่าวสีหน้าเคร่งเครียด

ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หยางรุยกับเย่หยวน ทั้งคู่ต่างได้รับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงถึงมือ

ซึ่งคำเชิญทั้งสองใบนี้ออกโดยท่านเจ้าเมือง

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มอิทธิพลทั้งสี่สู้รบปรบมือมาแสนนาน ทว่าฝ่ายเจ้าเมืองยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง

แต่ครั้งนี้ในที่สุด ฝ่ายเจ้าเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

ทว่าเย่หยวนกลับได้รับคำเชื่อจากเขาด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้หยางรุยไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

 

เย่หยวยยิ้มและกล่าวว่า

“แน่นอนว่าควรไป เหตุใดข้าถึงจะไม่ไปกัน? เป้าหมายของพวกนั้นคงหนีไม่พ้นโอสถบ่มเพาะปราณ หากข้าไม่ไป เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่มีวันจบ”

 

หยางรุยทราบโดตธรรมาชาติว่า จุดประสงค์ของคนพวกนั้นคือโอสถบ่มเพาะปราณ แต่หากเย่หยวนยังคงยืนยันที่จะไป นี่มิวิตกกังวลมิได้เลยจริงๆ

ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ เขาคนเดียวไม่สามารถปกป้องเย่หยวนได้แน่

 

“ข้าทราบ แต่…ข้ากลัวว่าคำเชื้อนี้กลับเป็นกับดัก!”

หยางรุยกล่าว

 

“ไม่มีทาง? ต่อให้เจ้าเมืองเชื้อเชิญข้าเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขาจะใจกล้าลงมือเบ็ดเสร็จกับข้าเลยกระมัง? กลการณ์ทางการเมืองหาได้ทางตรงเช่นนั้น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”

เย่หยวนเอ่ยถามพลางฉงนใจ

 

หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

‘เจ้าไม่รู้อะไร พี่ชายของหวังซูที่มาจากตระกูลหลักจบจากสถานศึกษาหวูเมิ่งที่เดียวกับเจ้าเมืองเฉินหย่งหนาน ก่อนที่เจ้าจะออกจากการเก็บตัวครั้งล่าสุดเอง เจ้าเมืองก็ใช้เล่ห์กลขัดขวางเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นเจตนาที่เชิญเจ้าในคราวนี้ค่อนข้างชัดเจนพอแล้ว”

 

เย่หยวนขมวดคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยิน กล่าวตอบว่า

“หรือท่านกำลังจะบอกว่า พวกมันทั้งหมดล้วนสมรู้ร่วมคิดกัน? โดยมุ่งเป้าหมายมาทางเรา?”

 

หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า

“หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียก่อน ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแน่! เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ควรไปเด็ดขาด!”

ความซับซ้อนของสถานการณ์ภายในเมืองกุยฉางในยามนี้ ค่อนข้างเกินความคาดหม่ายของเย่หยวนนัก

อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งนี้กลับไม่สามารถทำให้เย่หยวนตกใจได้แม้แต่น้อย

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ในเมื่อพวกมันขี่หัวเราอยู่แล้วก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน ต่อให้ไม่ไปวันนี้ วันหน้าพวกมันก็จะกลับมาและก่อปัญหาให้อีกในภายหลัง แทนที่จะรอให้เป็นแบบนั้น สู้ใช้โอกาสเผชิญหน้ากลางโต๊ะไปเลยดีเสียกว่า”

 

หยางรุยกล่าวสวนด้วยสีหน้าเปี่ยมวิตกยิ่ง

“สวรรค์ ไฉนเจ้าถึงหัวรั้นแบบนี้กัน? เจ้าเมืองเฉินหย่งหนานเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แถมยังมีพวกลิ่วล้ออีกสามตระกูลใหญ่ค่อยสนับสนุน หากพวกมันทั้งหมดลงมือพร้อมกัน ข้าก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เช่นกัน!”

 

เย่หยวนเอ่ยหัวร่อคิกคักและกล่าวว่า

“ท่านประมุขหอกังวลเกินไปแล้ว แม้สายสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีอยู่บ้าง แต่ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเมืองไม่มีทางเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามขนาดนั้นแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งของเขากลับมิได้เล็กน้อยเลย ทำอะไรไม่คิดกลับเสี่ยงเกินไป”

 

 

……………………….

 

 

เมื่อเกลี้ยกล่อมเย่หยวนไม่สำเร็จ หยางรุยต้องจำใจพาเขาไปในที่สุด

เขาหวังได้เพียงว่าเฉินหย่งหนานจะครั่นคร้ามในบารมีของหอมหาสมบัติอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือกับเย่หยวนในวันนี้

ณ โถงใหญ่ใจกลางตำหนักเจ้าเมือง สถาปัตย์การออกแบบทั้งเริดหรูและโอ่อ่าเกินพรรณนา

 

เจ้าเมืองหน้าตายังหนุ่มยังแน่นอยู่บนที่นั่งอันทรงเกียรติพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างตลอดเวล ราวกับเขาผู้นี้เป็นมิตรกับทุกคน

หลังจากดื่มไปสองสามจอก เฉินหย่งหนานก็เอ่ยปากเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นทันที

 

“ขอบใจทุกท่านที่มาเป็นหน้าเป็นตาของเราเจ้าเมืองคนนี้ การที่ทุกกลุ่มอิทธิพลอย่างพวกท่านมารวมตัวกันในตำหนักเจ้าเมือง นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวประดุจเสาหลักแห่งเมืองกุยฉางของเรา ไม่มีฝักฝ่ายใดเป็นปฏิปักษ์กัน คงเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว พวกท่านว่าจริงหรือไม่?”

 

สายตาที่จับจ้องของเฉินหย่งหนานกวาดกว้างมองหน้าทีละคน ซึ่งนี่กลับสร้างแรงกดดันให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก

แม้แต่หยางรุยเองก็รู้สึกดดันอย่างมากเช่นกัน

 

“ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้องแล้ว!”

อดีตประมุขตระกูลหลู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

 

“ถูกต้อง! ถูกต้องที่สุด! ดั่งคำกล่าวที่ว่า มิตรภาพสร้างเสถียรภาพความมั่นคั่ง! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

อดีตประมุขตระกูลหลินเห็นชอบไม่ต่าง

 

แต่หวังซูกลับคลี่ยิ้มบางๆและกล่าวว่า

“ท่านพี่เฉินกล่าวถูกต้อง เมืองกุยฉางเป็นของทุกคน หามิใช่ครอบครัวเดียวกัน นั้นคงเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่นัก!”

 

เฉินหย่งหนานเหลือบมองไปทางหยางรุยเล็กน้อยและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า

“ท่านประมุขหอหยาง ท่านมีอะไรจะกล่าวหรือไม่?”

 

 

หยางรุยถอดสีหน้าไปเล็กน้อย ขณะคลี่ยิ้มตอบแช่มช้ากล่าวตะกุกตะกักว่า

“เอ่ออ…”

ตอนนี้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงถึงขีดสุด ตระกูลหวังกำลังจะล้มสลาย แต่ดันมากล่าวเรื่องมิตรภาพ?

หากไม่ติดที่ว่าเฉินหย่งหนานอยู่ตรงนี้ หยางรุยคงลงมือเคลื่อนไหวไปบ้างแล้ว ทว่าแรงกดดันระดับนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดศีรษะให้

 

คำกล่าวของหยางรุยจุกอยู่ปลายลิ้น ระหว่างที่เขากำลังจะเอ่ยตอบออกไป แต่จู่ๆเสียงของเย่หยวนก็แทรกดังขึ้นฉับพลัน

 

“อืม..อืมมม…อร่อยจัง! อร่อยมาก! หุหุ ตำหนักเจ้าเมืองหาใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป รสชาติอาหารจานนี้วิเศษนัก!”

เย่หยวนเลียริมฝีปากเล็กน้อยพลางจุ๊ปากเอ่ยชมอย่างเพลิดเพลิน

 

ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลหลิน, ตระกูลหลู่และตระกูลหวังเปิดไพ่ว่าอยู่ข้างเดียวกัน แต่เย่หยวนกลับกำลังนั่งสวาปามอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย มิได้ใส่ใจรอบข้างเลยแม้แต่น้อย

 

ปลายคิ้วของเฉินหย่งหนานพลันกระตุกขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ พลันสาดสายตาจับจ้องไปที่เย่หยวน ทว่าเย่หยวนก็ยังมิได้สนใจ พร้อมยกสุรากระดกเอื้อก ดื่มด่ำรสชาติไม่แยแสใดๆ

 

เฉินหย่งหนานกำหมัดแน่นจนบนฝ้ายลองโต๊ะอาหารบริเวณนั้นหงิกงอ เขาในยามนี้รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่สุด

แม้แต่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นอย่างหยางรุย ยังเนื้อตัวสั่นสะท้านยามสัมผัสได้ถึงรัศมีความน่าสะพรึงที่พรั่งพรูออกมาจากอีกฝ่าย

 

“เย่หยวน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าค่อนข้างไม่เห็นด้วยต่อคำกล่าวของเราเจ้าเมืองคนนี้?”

เฉินหย่งหนานหน้านิ่วกล่าวเสียงดัง

 

คอยหลังได้ยินชื่อตัวเองถูกเอ่ยเรียก เย่หยวนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารในที่สุด ก่อนจับจ้องสายตาไปทางเฉินหย่งหนานพลางกล่าวอย่างใสซื่อว่า

“หื้ม? เมื่อครู่ท่านเจ้าเมืองกล่าวอะไรหรือไม่? พอดีอาหารของท่านอร่อยจนลืมใส่ใจฟัง!”

 

เสแสร้ง!

นี่มันเสแสร้งกันชัดๆ!

เฉินหย่งหนานสามารถกล่าวให้ทุกคนในโถงใหญ่ได้ยินครบถ้วน แล้วเป็นไปได้ไหมว่าคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขาจะไม่ได้ยิน?

ไม่มีทาง!

 

ต้องกล่าวก่อนว่า เย่หยวนเป็นบุคคลที่สำคัญมากสำหรับงานในวันนี้

มิฉะนั้นคงไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินหย่งหนานและอีกสามตระกูลใหญ่แน่นอน

 

เฉินหย่งหนานพยายามข่มโทสะสงบสติลงและกล่าวขึ้นว่า

“เราเจ้าเมืองกล่าวว่า ไม่มีฝักฝ่ายใดเป็นปฏิปักษ์กัน คงเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว! เจ้าว่าคำกล่าวนี้เป็นจริงหรือไม่?”

 

ดวงตาประกายวิบวับเมื่อได้ยิน เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“โอ้ หากกล่าวถึงเรื่องความเป็นปฏิปักษ์ ในใจของข้ามีสองสิ่งยืนหนึ่ง ไม่ศรีภรรยายามพิโรธ ก็ไอ้ปีศาจบัดซบที่ข้าพึ่งจับมันทรมานไป แต่ยามนี้โดนของหนักปานนั้น ไอ้ปีศาจนั้นคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้แล้ว! หื้ม? ไฉนพวกท่านถึงทำสีหน้าเช่นนั้น? ข้ากล่าวอันใดผิดไป?”

 

ศรีภรรยายามพิโรธ เป็นหนึ่งในใจของบุรุษเพศทุกคน แต่ไอ้ปีศาจบัดซบนั้น มันคือตัวอะไร? สำหรับพวกเขาช่างไร้สาระสิ้นดี

 

เฉินหย่งหนานโกรธจัดจนแทบอกระเบิดแตกตาย ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้กำลังพร่ามไร้สาระหวังเบี้ยงประเด็นออกทะเลอย่างชัดเจน

อีกด้านหนึ่ง หยางรุยในยามนี้เหงื่อแตกพลั่ก ในขณะที่หวังซูและคนอื่นๆล้วนหน้าเสียไม่ต่าง

 

การยั่วโมโหเจ้าเมืองกุยฉางกลับมิใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก

 

เฉินหย่งหนานเค้นเสียงเย็นสบถเล็กน้อย ก่อนหันมากล่าวกับหยางรุยว่า

“ประมุขหอหยาง ที่เราเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงในวันนี้ขึ้นล้วนแต่มีเจตนาดี หวังให้ทุกฝักฝ่ายสานสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น! แต่ฝ่ายเจ้ากลับเห็นมันเป็นเรื่องตลก! นี่น่ะรึคือนิสัยที่แท้จริงของหอมหาสมบัติ?”

 

ความเย็นชาของเฉินหย่งหนานในขณะนี้ เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางเต็มสูบ แรงกดดันที่แพร่งพรายออกมาช่างน่าระทึกขวัญเกินไป

 

สีหน้าของหยางรุยซีดเซียวลงในบัดดล ขณะที่เขากำลังจะกล่าวตอบ ทว่ากลับถูกเย่หยวนกล่าวแทรกอีกครั้งว่า

“ฮ่าฮ่า มิทราบว่าท่านเจ้าเมืองกำลังกล่าวเรื่องอันใด? เห็นเป็นเรื่องตลกงั้นรึ? ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน…กลุ่มอิทธิพลอย่างหอมหาสมบัติคงเป็นเรื่องตลกมากกระมัง? กลับเป็นท่านที่ไม่ยอมเข้าเรื่องจุดประสงค์ในวันนี้มากกว่า ที่ทำเช่นนี้คงเห็นหอมหาสมบัติของเราเป็นตัวตลก? หากท่านไม่กล่าว ข้าคงตรัสรู้ทราบเองได้?”

เฉินหย่งหนานที่กำลังบีบเค้นให้หยางรุยจนตรอกอย่างช้าๆ แต่การที่เย่หยวนเอ่ยปากรับหน้าจัดการเองเช่นนั้น กลับทำให้แผนการตาลปัตร ยามนี้เขาแทบกระอักพ่นเลือดสดออกเต็มปาก

หากมีเย่หยวนอยู่รอบๆแบบนี้ นี่จะไม่ยิ่งยุ่งยากเป็นการใหญ่งั้นรึ?

อย่างไรก็ตาม เฉินหย่งหนานก็มิได้ปรารถนาจะสร้างเรื่องไม่พึงประสงค์เช่นกัน ในความเป็นจริงจุดประสงค์ที่เขาเชิญหอมหาสมบัติมาในวันนี้ เพื่อเพียงสกัดความก้าวหน้ามิให้ล่วงล้ำฝ่ายอื่นๆจนเกินหน้าเกินตา

การใช้กำลังในการแก้ไขปัญญา กลับมีผลเสียมากกว่าได้

และท้ายที่สุดนี้ เขาเองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวกับหอมหาสมบัติได้มากเช่นกัน

กลุ่มอิทธิพลนี้มิควรถูกยั่วยุล้ำเส้นจนเกินไป

เพราะนี่เป็นถึงธุรกิจของจักรพรรดิเทพสวรรค์!

 

เฉินหย่งหนานกัดฟันกรอดข่มกลั้นความโกรธในใจอย่างสุดกำลัง ก่อนแพร่เสียงเย็นสะท้านก้องว่า

“ข้ามีความคิดหนึ่งต้องการนำเสนอกับทุกท่าน ส่วนที่ว่าจะได้ผลหรือไม่ สุดแท้แล้วแต่พวกท่าน ท่านประมุขหอหยาง พวกเราทุกคนควรมีรายได้และเติบโตไปด้วยกัน ท่านไม่คิดเช่นนั้นรึ? แต่ในยามนี้โอสถบ่มเพาะปราณของหอมหาสมบัติกลับกดขี่ข่มเหงทุกคนเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าธุรกิจของทุกฝ่ายคงไปต่อไม่ไหวแล้วเช่นกัน ไฉนท่านถึงไม่ขายโอสถบ่มเพาะปราณนี้ แบ่งปันให้แก่ฝ่ายอื่นๆอย่างเช่น ตระกูลหวัง,หลินและหลู่ สามตระกูลใหญ่ของเมืองบ้าง!”