ตอนที่1348 จริงใจที่สุดแล้ว

 

“ผลักไสผู้คนเกินไป!”

ทันทีที่เฉินหย่งหนานกล่าวจบ หยางรุยพลันลุกพรวดด้วยความโกรธจัด

คำขอนี้ช่างไร้ยางอายเกินไป!

แผนการในวันนี้ชัดเจนเกินไปนัก เฉินหย่งหนานพร้อมด้วยสามตระกูลใหญ่ลุกเข้ากดดันเขาหวังให้สละผลประโยชน์

 

“ท่านประมุขหอหยาง อย่าร้อนใจเกินควร! นั่งและคุยกันอย่างปัญญาชน! มิเช่นนั้น…หื้ม?”

หยางรุยไม่ต้องการจะนั่งลงอย่างเดิมแม้แต่น้อย ทว่าแรงกดดันของเฉินหย่งหนานที่ปกคลุมรอบบริเวณกลับรุนแรงเกินไป แรงหนึ่งพยายามบีบบังคับให้นั่งลง ส่วนเขาพยายามยืนหยัดให้ลึกขึ้น ถึงขั้นที่ว่าขาทั้งสองข้างของเขาสั่นพึบพับคล้ายไม่ไหวแล้ว

หยางรุยรู้สึกราวกับกำลังมีหุบเขาไทซานกำลังร่วงทับเข้ากลางหลังเต็มแรง ช่างเป็นแรงดันที่ทรงพลังเกินต้านทาน!

 

ขุมพลังแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไม่ติดฝุ่น

หยางรุยไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่ออยู่ตรงหน้าเฉินหย่งหนาน!

 

ขณะเดียวกับที่หยางรุยไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนี้ได้ไหวอีกต่อไป คู่ขาค่อยๆพังทลายทรุดลงอย่างช้าๆ ทว่ากลับเป็นเย่หยวนที่ค่อยๆลุกขึ้นยืนดั่งทองไม่รู้ร้อน

รัศมีที่ปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวน เริ่มก่อตัวแกร่งกร้าวขึ้น สีหน้าการแสดงออกของเฉินหย่งหนานตื่นตะลึงสุดขีด ก่อนกวาดสายตาเข้าหาเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ

หาใช่วิธีการปราบปรามด้วยระดับพลังเข้าข่มต้าน แต่เป็น…รัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าอันล้ำลึก!

 

ภายใต้รัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าของเย่หยวน แรงกดดันที่พรั่งพรูจากร่างของเฉินหย่งหนานแทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ!

 

เฉินหย่นหนานตื่นตระหนกถึงขีดสุด หากยังฝืนต้านรับต่อไป กลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายพ่ายลงเสียแทน!

เห็นดังนั้นเฉินหย่งหนานเร่งถอนแรงกดดันออกไปทันที บรรยายแสนกดดันก่อนหน้าคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว

ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เย่หยวน พร้อมแววตื่นตะลึงใจไม่คลายอ่อน

 

“ท่านเจ้าเมือง เรื่องแบบนี้พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ ยิ่งเป็นปัญญาชนอย่างพวกเรากลับมิใช่เรื่องจยากเลย ท่านว่าจริงหรือไม่?”

เย่หยวนกล่าวขึ้นคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า

ณ ปัจจุบัน ทุกคนในงานต่างจับจ้องเย่หยวนเป็นตาเดียว เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง สามารถบีบให้อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางต้องร่นถอยได้?

นี่มันเรื่องเหลือเชื่อเกินไป!

 

เหตุที่ภาพฉากออกมาเป็นเช่นนี้กลับไม่มีอะไรเลย เพราะรัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าของเย่หยวนมีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาถงเทียนจำลอง

ทั้งหมดเป็นเพราะบัญญัติเทพแห่งถงเทียน!

 

วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เย่หยวนหลอมสร้างขึ้นมา กอปรมาจากเต๋าบนหุบเขาถงเทียนจำลอง ถึงขั้นที่ว่าสามารถกระตุ้นให้หุบเขาถงเทียนจริงๆเกิดปรากฏการณ์วิปลาสได้

กระทั้งเหล่าจอมเทพเต๋าบรรพกาลยังครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน แล้วนับประสาอะไรกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเล็กๆน้อยๆแบบนี้?

 

“ก็เราเจ้าเมืองสั่งให้เขานั่งลง นี่มิใช่เพื่อพูดคุยทำข้อตกลงกันต่อรึ? ปรากฏว่าเป็นประมุขหอหยางที่ก่อความวุ่นวายขึ้นเอง! เราเจ้าเมืองมีเจตนาดีเชิญชวนทุกคนให้มาหารือร่วมกันเพื่อร่างมาตรการสำหรับทุกฝ่าย!”

เฉินหย่งหนานเร่งกล่าวแก้ตัว หวังสร้างทางออกให้ตัวเอง

อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ไม่สามารถปกปิดความตื่นตูมภายในใจได้

ยามนี้เขาตระหนักได้แล้วว่า ไอ้เด็กเหลือขออาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางคนนี้ กลับดูอันตรายเสียยิ่งกว่าหยางรุยมาก!

 

เย่หยวนยกมือส่งสัญญาเล็กน้อยเชิงให้หยางรุยนั่งลงก่อน จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“ท่านเจ้าเมือง เรื่องมิอาจตำหนิท่านประมุขหอหยางได้ เพราะราคาที่ท่านเจ้าเมืองเรียกร้องกลับสูงเกินไปเช่นกัน! ผลกำไรจากโอสถบ่มเพาะปราณ ทุกคนน่าจะตระหนักดี การที่ยอมขายให้สามตระกูลใหญ่แบบนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขานั่งเฉยๆก็มีขนมเปี๊ยะร่วงล่นจากท้องฟ้าให้กินแล้ว นี่ไม่เอาเปรียบกันเกินไปรึ?”

 

“หึ! ใครว่าเราจะนั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลย! พวกเจ้าย่อมตั้งข้อแม้ได้ตามใจอิสระ ขอเพียงกล่าวออกมา! มิฉะนั้นพวกเราสามตระกูลใหญ่ขอผลึกกำลังเข้ากดดันหอมหาสมบัติให้รู้แล้วรู้รอด!”

หวังซูโพล่งกล่าวขึ้นอย่างสุดจะทน

วาจาคำกล่าวเหล่านี้ช่างไร้วาทะศิลป์และไร้ยางอายเกินไป

ไม่ว่าใครได้ยินต่างทราบได้ทันที หวังซูคิดเห็นหรือต้องการอย่างไรกลับชัดเจนประจักษ์ชัด

ความหมายนั้นก็คือ ยามลำบาก ข้าจะลากพวกเจ้าทั้งหมดลงไปพร้อมกัน!

 

อย่างไรก็ตาม เย่หยวนพลันยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขากล่าวตอบว่า

“แน่นอน ควรเป็นเช่นนั้นมากกว่า! ในเมื่อพวกท่านมาที่นี่เพื่อหวังเจรจาหารือด้วยความจริงใจ ตราบใดที่พวกท่านเสนอราคาจนพวกเราพอใจ โอสถบ่มเพาะปราณจัดส่งถึงมือแน่นอน”

คำกล่าวของเย่หยวนได้จุดประกายความหวังของทุกคนสว่างขึ้นในบัดดล

แน่นอน…เว้นเสียแต่หยางรุย

 

“เย่หยวน เจ้า…”

หยางรุยกล่าวขึ้นด้วยความกังวลสุดขีด

สาเหตุที่หอมหาสมบัติผูกขาดตลาดในส่วนนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะโอสถบ่มเพาะปราณอย่างไม่ต้องสงสัย

หากพวกเขายอมมอบสิทธิ์การจัดจำหน่ายให้แก่สามตระกูลใหญ่ ความได้เปรียบในข้อนี้จะหายไปทันที!

 

หยางรุยไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

เย่หยวนเข้าจับจ้องไปที่อีกฝ่ายทันที ราวกับว่าให้เขาใจเย็นลงก่อน

 

หวังซูระงับความอิ่มเอมสุขใจโดยไวและกล่าวอย่างใจเย็นว่า

“เสนอข้อแม้เงื่อนไขมาได้เลยตามใจสะดวก ตราบใดที่มิได้ผลักไสพวกเราไกลเกินไป ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะไม่ปฏิเสธ! หลังจากนี้ต่อไปพวกเราคือครอบครัวแห่งเมืองกุยฉาง ผลประโยชน์ร่วมกัน พัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกัน!”

 

ครึ่งปีมานี้ ชื่อเสียงและความนิยมของโอสถบ่มเพาะปราณได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค แม้แต่เขตเมืองอื่นๆใกล้เคียง

ตอนนี้มิใช่แค่เหล่านักสู้ในเมืองกุยฉางเท่านั้น ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เดินทางไกลจากเมืองอื่นเพื่อมาจับจ่ายโอสถบ่มเพาะปราณโดยไม่ลังเล

 

ปัจจุบันราคาโอสถบ่มเพาะปราณพุ่งสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว แค่เหล่าผู้คนก็ยังยินดีควักกระเป๋าซื้อจับจองเช่นเดิมดั่งฝูงเป็ดรุมล้อม

ผลกำไรจากโอสถชนิดนี้เป็นจำนวนมหาศาลเกินนับ!

ดังนั้นหวังซูจะไม่อิ่มเอมใจได้อย่างไรเมื่อได้ยินเช่นนั้น?

 

หากมิใช่เพราะเกรงใจอดีตประมุขอีกสองตระกูล พวกหวังซูคงเผยสีหน้าอันสุขใจออกมาเกินกักเก็บ

พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เย่หยวนจะยอมง่ายๆเช่นนี้

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ที่จริงข้ามิใช่คนเรื่องมากอะไร เพียงพวกเจ้าเข้ามาหาข้าด้วยความจริงใจ แค่ยกนิ้วทุกอย่างล้วนคลี่คลายด้วยดี”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเย่หยวน พวกเขาทั้งสามตระกูลพลันใจชื้นกันเป็นแถบ

ดูเหมือนว่าหอมหาสมบัติยังคงเกรงกลัวบารมีของฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองในท้ายที่สุด!

 

เย่หยวนปิดปากไปชั่วขณะ ก่อนค่อยๆกวาดสายตาเข้ามาหวังหลินโป๋ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า

“ชีวิตของเขาแลกกับสิทธิการจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ! เป็นอย่างไรเงื่อนไขง่ายมากใช่หรือไม่?”

 

ส่วนที่เหลือยังพอทำเนา แต่สีหน้าการแสดงออกของเหล่าสมาชิกตระกูลหลังพลันมืดทมิฬลงในทันใด

 

หวังหลินโปโพล่งลุกพรวดตะคอกใส่เย่หยวนอย่างเดือดดาลว่า

“ไอ้เด็กเหลือขอ! แกหมายความว่าอย่างไร?!”

 

หวังซูสีหน้ามืดตกพลางกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า

“เจ้าเห็นพวกเราสามตระกูลปัญญาอ่อนกระมัง?”

 

เย่หยวนยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า

“นี่เป็นความจริงใจที่สุดของข้าแล้ว! ในสุสานสายลมหยิน สามผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหวังไล่ล่าข้ากับหลัวเจียจนเกือบตาย และแผนการทั้งหมดหวังหลินโปเป็นตัวต้นคิด! ความอีปยศครั้งนั้นยังจำฝังใจจวบจนวันนี้! หากไม่ยอมรับเงื่อนไข ข้าจะฝังทั้งตระกูลหวังแน่นอนหากมีโอกาส!”

 

ก่อนหน้านี้ เย่หยวนเพียงกลัวว่าจะเผลอไปทำลายเสถียรภาพความสมดุลของเมืองกุยฉางลง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไว้ชีวิตหวังหลินโปเอาไว้

แต่เมื่อเรื่องราวพัฒนาจนมาถึงจุดนี้ การที่เขาต้องการล้างโคตรตระกูลหวังกลับมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ทั้งสามตระกูลล้วนขี่บนหัวเย่หยวนราวกับของเล่น แล้วเย่หยวนหรือจะมอบความเมตตาใดๆให้อีก?

 

“หึ! ฝั่งทั้งตระกูลหวัง? ตัวเล็กแต่เสียงใหญ่ดีหนิ! อาศัยเศษเสี้ยวพลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง คิดว่าจะมีปัญญาทำอะไรได้?”

หวังอวีเซียงเค้นเสียงเย็นยะเยือกคำรามเยาะเย้ย

 

“เย่หยวน ไม่สร้างความเป็นปฏิปักษ์กลับเป็นรากฐานความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่สุด! แม้ว่าตระกูลหวังเคยหลงผิดส่งคนไปฆ่าเจ้าในปีนั้น แต่เจ้าก็ยังปลอดภัยดีมิใช่รึ? นอกจากนี้กลับเป็นสามอาวุโสใหญ่ที่ล่วงลับจากไปแทน? นี่ก็ผ่านมาหลายสิบปี เรื่องใดวางได้เพียงทิ้งทวนไว้เบื้องหลังเสีย เช่นนี้ดีกว่าหรือไม่?”

เฉินหย่งหนานพยายามกล่าวโน้มน้าวใจ

 

 

เย่หยวนนึกตลกหัวเราะขึ้นอย่างขำขันและกล่าวว่า

“หุหุ ผลกำไรจากโอสถบ่มเพาะปราณมหาศาลเพียงใด ข้าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีกต่อไป เงื่อนไขเดียวเท่านั้น หากตกลงรับคำสัญญามีผลทันที! หากไม่เห็นด้วยก็ไม่จำต้องพูดคุยอะไรกันอีกแล้ว!”

ประโยคสั้นๆรวบรัดกระชับใจความของเย่หยวน ได้ปิดกั้นทุกทางเลือกเหลือเพียงสอง

ณ จุดนี้ บรรยากาศในงานเลี้ยงเย็นสะท้านต่ำลงในทันที จากมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกลับเงียบกริบดุจป่าช้า

หยางรุยไม่กล่าวเอ่ยคำแสดงออกใดๆ ทว่าภายในใจแทบกราบไหว้เย่หยวนไว้เหนือหัว

การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเย่หยวนช่างเฉียบคมไร้ที่ติ จากจุดวิกฤตกลับตีตื่นกลายเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์เอาเอง

ปัญหาและแรงกดดันทั้งหมดถูกโยนไปที่หวังหลินโปโดยตรง

หากเป็นหวังอวีเซียงเกรงว่าจะไม่มีเหตุและผลเกินไปหน่อย

และที่สำคัญหวังหลินโปยังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าและไม่นับว่าเก่งกาจอันใด แต่สุดท้ายนี้เขาก็มีสถานะเป็นถึงประมุขตระกูลหวัง ตำแหน่งนี้กลับไม่ธรรมดา

 

ในเวลานี้ทุกคนต่างมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หวังหลินโปเป็นทางเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประมุขตระกูลหลินและหลู่ที่อยู่โต๊ะเดียวกัน พวกเขาเหลียวมองไปยังเขาเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเองก็ชักจะไม่แน่ใจเช่นกัน

 

แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ หวังซูพลันสาดสายตาใส่หวังหลินโปโดยมิได้เผยถึงอารมณ์ใดๆเลย

นี่กลับเป็นสายตาที่แลดูน่ากลัวไม่น้อย

 

ถึงขนาดนี้แล้ว หวังหลินโปยังไม่ทราบได้อย่างไรว่า สถานการณ์ปัจจุบันของตนมันย่ำแย่เพียงใด?

“หวังซู หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าคิดจะฆ่าสมาชิกร่วมตระกูลตัวเอง เพียงเพราะโดนไอ้เด็กเหลือขอเป่าหูไปแค่ประโยคเดียว?”

สีหน้าของหวังหลินโปซีดเซียวหนักพร้อมเอ่ยถามขึ้นทันที