ตอนที่1349 รุมเตะตัดขาเพื่อผลประโยชน์

 

“แค่ก แค่ก… พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร?”

หวังซูกล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

ต้องยอมรับเลยว่า เงื่อนไขนี้ของเย่หยวนล่อลวงเขาได้ครู่หนึ่ง

หวังหลินโปเป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าทั่วไป นับเป็นกลุ่มคนที่พบได้ง่ายในตระกูลหวังสาขาหลัก เสียหนึ่งชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ นี่นับว่าคุ้มค่าอย่างมาก

แต่ความคิดแบบนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้โดยเด็ดขากไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ผู้ประสบความสำเร็จกลับไม่เคยสนใจเรื่องเล็กน้อย!

เขาชั่งใจอยู่ไม่น้อย ใช้ชีวิตของหวังหลินโปแลกเปลี่ยนและเข้าหาสานสัมพันธ์กับเย่หยวนอย่างสันติ

 

สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเซียงบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ หวังซูคิดวางแผนอะไรอยู่ในหัว มีหรือที่เขาจะไม่ทราบ?

แต่การที่อีกฝ่ายจะใช้ชีวิตของลูกชายตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การจำหน่ายแบบนี้ ต่อให้ถูกทุบตีจนตาย หวังอวีเซียงก็ไม่มีวันยอม!

เขายอมสู้ตายกับหอมหาสมบัติ!

 

สถานะของเย่หยวนในงานเลี้ยงแห่งนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่สามารถเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าได้

 

สีหน้าของหวังอวีเซียงดำทมิฬมืดดั่งก้นหม้อไหม้ เขากล่าวขึ้นว่า

“เย่หยวน พวกเราต่างมาด้วยความจริงใจ แล้วเจ้าแสดงความจริงใจตอบพวกเราแล้วจริงๆรึ?”

 

“จริงใจ? พวกท่านน่ะรึจริงใจ? หุหุ,เกรงว่าเย่คนนี้คงตาบอดแล้วกระมัง ถึงไม่เห็นความจริงใจของพวกท่านเลย! อย่างไรก็ตาม เย่คนนี้พกความจริงใจมาเต็มอก ขอเพียงชีวิตของหวังหลินโปแค่คนเดียว ธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหาแน่นอน!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมแสยะยิ้มบาง

 

หวังหลินโปโกรธจัดจนบดฟันเสียงดังกรอดแน่น ความเกลียดชังแววอาฆาตสะท้อนออกจากนัยน์ตาอย่างชัดแจ้ง นอกจากพ่อเขาแล้ว ทุกคนล้วนต้องการให้เขาตายไปจริงๆ!

 

 

“ท่านเจ้าเมือง เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนจงใจยุยงปลุกปั่น ถึงขั้นที่ว่าหลอกล่อให้ฆ่าบุตรชายของเราชายชรา หอมหาสมบัติจิตใจดำมืดอำมหิต โปรดให้ความเป็นธรรม!”

หวังอวีเซียงกล่าวขึ้นเสียงเข้ม

 

คราวนี้ เฉินหย่งหนานกลับเงียบไม่พูดไม่จา เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาหวังอวีเซียงกับหวังหลินโปใจหายวาบ

 

“มีพยานเป็นถึงเราเจ้าเมือง หวังว่าหอมหาสมบัติคงไม่กลับคำกระมัง?”

เฉินหย่งหนานกลับหาได้สนใจวาจาคำกล่าวของหวังอวีเซียง ทว่าเอ่ยปากกล่าวถามลอยๆก่อนเหลียวสายตาจับจ้องเย่หยวนแทน

 

เย่หยวนคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ หาได้ส่งเสียงเอ่ยปากใดๆ

 

หวังหลินโปหน้าเสียหนัก เขาเร่งกล่าวขึ้นสุดแสนกระวนกระวายใจ

“ทะ-ท่านเจ้าเมืองหมายความอย่างไร?”

 

เฉินหย่งหนานกล่าวตอบอย่างเย็นชาว่า

“ก็หมายความว่า ทุกคนที่ทำธุรกิจในเมืองกุยฉาง ล้วนต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง แต่เจ้ากลับเล่นสกปรก ส่งคนไปลอบสังหารอีกฝ่าย นี่มันทำเกินขอบเขตแล้ว!”

 

มีคนเปิดย่อมมีคนตาม ได้ยินแบบนั้นอดีตประมุขตระกูลหลินเร่งกล่าวเสริม เห็นพ้องต้องกันในทันใด

“ถูกต้อง! ทุกคนในที่แห่งนี้ย่อมตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงดี เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมิได้เริ่มจากน้องสาวอันไร้ยางอายของเจ้าหรอกรึ? นี่คือความผิดของตระกูลหวัง! ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ก็ยังไม่ยอมรับ! แถมยังส่งคนไปฆ่าเพื่อตัดปัญหา!”

 

อดีตประมุขตระกูลหลู่ยังกล่าวซ้ำเติมอีกว่า

“เส้นทางการต่อสู้ย่อมมีกฎการต่อสู้ เส้นทางธุรกิจย่อมมีกฎทางธุกิจเช่นกัน หวังหลินโป เจ้ากระทำเช่นนี้ นับว่าทำลายเสถียรภาพทางธุรกิจลง!”

 

รางมรณะเผยปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของหวังหลินโป ยามนี้สีหน้าซีดเซียวหนักจนท้ายที่สุดนี้ก็ตระหนักถึงความหมายที่ว่า ทุกคนรุมเตะตัดขาเพื่อผลประโยชน์

 

“พวกเจ้า…พวกเจ้าทุกคนช่างไร้ยางอายเกินไป!”

หวังหลินโปโกรธจัดจนพูดไม่ออก

ก่อนมาวันนี้ เขายังดีใจเป็นอย่างมาก

ทว่าปัจจุบันสถานการณ์กลับเปลี่ยนผัน ตัวละครที่ต้องกลายเป็นศพในงานเลี้ยงสีเลือดกลับเป็นตัวเขาเอง!

แม้แต่สหายร่วมตระกูลหวังยังเร้นซ่อนคมมีดอยู่เบื้องหลังไม่ต่าง

 

หวังอวีเซียงตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด

“ไอ้สองจิ้งจอกเฒ่า หุบปากไปซะ!! พวกแกมันไร้ยางอายเกินไป!”

 

เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า

“สิ่งที่พวกเขากล่าวไปถูกต้องแล้ว หวังหลินโป เนื่องจากเจ้ากระทำผิดร้ายแรง จำต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเช่นกัน! เราเจ้าเมืองจะให้โอกาส ลงมือปลิดชีพเองหรือต้องให้เราผู้นี้ช่วย?”

 

หวังหลินโปดูราวกับไม่แยแสหรือเห็นใจใดๆอีกต่อไป ในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเลือดเย็นไร้ความรู้สึก

ดูเหมือนว่าวันนี้ เขามิอาจหลีกเลี่ยงจากผลกรรมได้อีกต่อไป!

 

เสี้ยวอึดใจนั้นเอง คู่สายตาปราดเข้าจับจ้องไปที่หวังซูราวกับนี่คือฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว หวังหลินโปเร่งกล่าวอ้อนวอนทันที

“คุณชายซู เราเองก็เป็นญาติสนิทตระกูลเดียวกัน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านอยากเห็นข้าตายต่อหน้าต่อตาจริงๆ? ท่านอย่าไปลงเชื่อไอ้เด็กเหลือขอหรือคนพวกนี้ ทั้งหมดก็แค่หว่านเมล็ดสร้างความแตกแยก!”

 

 

หสวังหลินโปทราบถึงสถานะของหวังซูดี ขอเพียงหวังซูเปิดปากช่วยเหลือ เฉินหย่งหนานย่อมไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวแน่นอน

หวังซูเหลือบอมงอีกฝ่ายแต่กลับหาได้สนใจอันใดไม่

เมื่อสถานการณ์พัฒนามาไกลถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องหวังหลินโปอีกต่อไป

 

“พี่ชาย มิใช่ว่าหวังซูคนนี้ใจจืดใจดำ แต่เจ้าเองก็ก่อกรรมทำเรื่องไม่ดีมามาก ข้าเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน!”

หวังซูกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเสียงยาว

 

คำตอบของหวังซูซึ่งเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย ได้ขาดผึงความหวังที่เหลืออยู่ของหวังหลินโปแตกสลายในพริบตา

 

เสี้ยวอึดใจต่อมา ร่างของหวังหลินโปแปรสภาพเป็นธารแสงสายหนึ่งโฉบแล่นไปยังทางออกโถงใหญ่ทันที

 

“หึ! รนหาที่ตาย!”

เฉินหย่งหนานเค้นเสียงเย็นดังหึ ก่อนสะบักกรงเล็บคมของตนออกไป ร่างของหวังหลินโปหยุดชะงักในทันที

แต่ในขณะนั้นเอง หวังอวีเซียงพลันเคลื่อนไหวตอบโต้เช่นกัน!

ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้ตัดสิน จะให้เฝ้าดูลูกชายของตนตายต่อหน้าต่อตาก็เกรงว่าใจแข็งไม่พอ!

 

สีหน้าของเฉินหย่งหนานมืดทมิฬลงเล็กน้อย เอ่ยปากคำรามน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ

“ประเมินตนสูงเกินไป!”

ขณพที่กล่าวขึ้น เฉินหย่งหนานพลันผันแปรกรงเล็บกลายมาเป็นฝ่ามือ ก่อนซัดกระหน่ำออกไปเต็มแรง!

 

บูมมมม!

 

เพียงฝ่ามือเดียวของดฉินหย่งหนาน ร่างของหวีอวีเซียงกระเด็นกระดอนออกไปไกลไร้ทิศทาง

ต่อหน้าเฉินหย่งหนานผู้นี้ หวังอวีเซียงกลับอ่อนแอเกินจะต่อกร!

หลังจากนั้นเฉินหย่งหนานก็เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นกรงเล็บอีกครั้ง ก่อนซาดกระบวนกรงเล็บออกไปอีกชุดหนึ่ง พร้อมฉีกร่างของหวังหลินโปเป็นชิ้นๆในพริบตา!

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินหย่งหนานยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง

เพียงคลื่นกระบวนโจมตีในเสี้ยวพริบตา ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง!

 

รัศมีกลิ่นอายประดุจอยู่เหนือสรรพสิ่ง ก้มมองสรรพชีวิตไร้เทียมทาน

 

เวลาเดียวกัน หวังอวีเซียงนอนนิ่งอยู่บนพื้นพร้อมกระอักพ่นเลือดสดเต็มปากเต็มคำ

ลูกตาของพวกตระกูลหลู่กับตระกูลหลินแทบถลนออกมา พวกเขาจับจ้องไปยังเฉินหย่งหนานผุ้ไม่ไหวติ่งอย่างเหลือเชื่อ

พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เฉินหย่งหนานจะทรงพลังถึงขนาดนี้แล้ว

พินิจจากจุดนี้อีกฝ่ายคงห่างจากอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายอีกไม่ไกลแล้ว

เฉินหย่งหนานสังหารหวังหลินโปอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต และโค่นหวังอวีเซียงลงอย่างง่ายดายเพื่อสร้างบารมี

เขามิได้แสดงพลังต่อหน้าสาธารณะชนมานานหลายปีมากแล้ว และตอนนี้เขาก็ทำให้ทุกคนเห็นว่า เจ้าเมืองผู้นี้กลับมิใช่คนที่ควรยั่วยุแต่อย่างใด

แน่นอน จุดประสงค์หลักที่ทำแบบนี้ไปก็เพราะ ให้เย่หยวนรู้สึกครั่นคร้ามในตัวเขา มั่นตระหนักนึงถึงสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้า

ส่วนหยางรุยที่อยู่ข้างๆ ยามนี้ตื่นตะลึงสุดขีดจนสติหลุดนานแล้ว

 

ก่อนที่จะมา เฉินหย่งหนานไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่า เย่หยวนจะเป็นคนที่จัดการด้วยยากที่สุดแบบนี้ ถึงขั้นทำให้พันธมิตรระหว่างสามตระกูลใหญ่และตำหนักเจ้าเมืองแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี

 

ในตอนนี้ หวังหลินโปได้ตายลงแล้ว ส่วนหวังอวีเซียงได้รับบาดเจ็บสาหัส ตระกูลหวังในปัจจุบันแทนพิการกันหมด

ด้วยความแกร่งกล้าของชายหนึ่มเพียงคนเดียวไม่มีทางทำสำเร็จแน่ ทว่าเย่หยวนคนนี้อาศัยไหวพริบและความรอบคอบเพื่อปลุกปั่นยืมกำลังผู้คนให้ตีกันเอง คนประเภทนี้ช่างน่ากลัวเกินหยั่งรู้ได้!

 

เย่หยวนตระหนักทราบดี ไม่ว่าอย่างไรเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณ เขาก็ไม่สามารถรั้งไว้นานกว่านี้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้คุ้มค่าที่สุด โดยการใช้มันเพื่อหลอกล่อคนอื่นๆให้สังหารสองพ่อลูกตระกูลหวัง

จะเห็นได้ว่า แผนการในคราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

 

เย่หยวนเฝ้าสังเกตอยู่ข้างสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา คนเหล่านี้ล้วนใส่หน้ากากเข้าหากัน และแสร้งทำเป็นคนจิตใจงามศีลธรรมสูงส่ง ทว่าความเป็นจริงเนื้อในกลับเน่าเฟะ กระทั่งมิตรสหายในครอบครัวยังฆ่ากันได้เพื่อผลประโยชน์ ช่างน่าสมเพชจริงๆ

 

พวกนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น!

 

ลงมือเสร็จสรรพ เฉินหย่งหนานช้อนสายตาจับจ้องไปทางเย่หยวนอย่างเฉยเมยพร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า

“หวังหลินโปตายแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในเมืองกุยฉางยังคงทิ้งทวนร่องรอยอยู่บ้าง กล่าวได้ว่าเพียงความตายกลับมิอาจชดใช้ความผิดที่ก่อ! ประมุขหอหยาง เย่หยวน…ทุกคนกำลังรอฟังเจ้าอยู่!”

 

“รอฟังข้า? รอฟังอะไร?”

เย่หยวนปั้นสีหน้าใสซื่อไร้เดียงสา พลางเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

 

เพียงคำพูดเดียวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนหน้าถอดสีในบัดดล!

หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้คิดจะกลับคำจริงๆ?

 

เฉินหย่งหนานสีหน้ามืดทมิฬหนักกล่าวว่า

“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งสัญญากับข้าและสามตระกูลใหญ่ไป ทว่าตอนนี้คิดกลับคำงั้นรึ?!”

 

เย่หยวนฉีกยิ้มกว้างเปี่ยมความสดใสสุดใจยิ่ง เขากล่าวตอบว่า

“สัญญา? ข้ากล่าวว่าสัญญางั้นรึ? หากจำไม่ผิดข้าบอกท่านไปว่า ขอเพียงชีวิตของหวังหลินโปแค่คนเดียว ธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหาแน่นอน หรือท่านจ้าเมืองได้ยินผิดไปจากนี้?”