ภาคที่ 4 ตอนที่ 104 สามเกียจคร้านในใต้หล้า (2)

มรรคาสู่สวรรค์

เซ่อเซ่อไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสนึกเสียใจ ดึงเขาลุกขึ้นมาจากอาสนะ ก่อนจะเดินออกไปนอกอาราม

เมื่อเดินออกมาจากอาราม พวกเขาก็มองเห็นจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่า

จิ๋งจิ่วยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเหมือนอย่างที่แล้วมา บนใบหน้าไป๋เจ่ามีรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี

เหอจานรู้สึกเขินหาย ในใจคิดว่าหรือคำพูดก่อนหน้านี้จะถูกสองคนนี้ได้ยินหมดแล้ว?

แต่เซ่อเซ่อกลับไม่สนใจ นางเชิดใบหน้าเล็กๆ ของนาง แลดูได้ใจ กล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”

ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่ว ถึงได้รู้ว่าเขามาหานาง

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้ามีกระดิ่งอันอื่นให้ข้าอีกสักอันไหม”

เซ่อเซ่อกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “แล้วอันที่ข้าให้เจ้าไปตอนนั้นล่ะ?”

จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางบอกว่าตอนนี้กระดิ่งอันนั้นถูกเอาไปห้อยไว้ที่คอของแมวขาวตัวหนึ่ง ถึงแม้นั่นจะไม่ใช่แมวขาวธรรมดาก็ตาม

“แอบเอาไว้บนยอดเขาเสินม่อ ไม่ได้เอามาด้วย”

เซ่อเซ่อพึงพอใจกับท่าทีที่เขาให้ความสำคัญกับกระดิ่งอันนั้น จึงกล่าวว่า “กระดิ่งที่ดีแบบนั้นข้าหาให้เจ้าในตอนนี้ไม่ได้หรอก เอาไว้ข้ากลับไปแล้วจะหาให้เจ้านะ”

จิ๋งจิ่วต้องการกระดิ่งเพื่อเตรียมเอาไปใช้ในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง จึงกล่าวว่า “ช่างเถอะ”

เซ่อเซ่อถึงได้รู้ว่าเขาต้องการตอนนี้ นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถอดเอากระดิ่งออกมาจากข้อมือของตัวเองแล้วส่งให้จิ๋งจิ่ว พลางกล่าวว่า “ให้เจ้ายืมก่อนสองวัน”

นี่เป็นกระดิ่งประจำตัวนาง ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อคิดถึงสถานะของนางในสำนักเสวียนหลิง เรียกได้ว่านี่เป็นกระดิ่งใจพิสุทธิ์ที่ดีที่สุดบนโลก

ไป๋เจ่าและเหอจานต่างไม่รู้เรื่องที่จิ๋งจิ่วรับปากนางไว้ จึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เหอจานพาเซ่อเซ่อไปหาเพื่อนคนนั้นเพื่อย่างปลา จิ๋งจิ่วไม่ได้จากไป หากแต่เดินเข้าไปในวัดเพื่อพบสมณะสองรูปนั้น

สมณะชรามองเขา ยิ้มๆ ไม่กล่าวกระไร รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าดูหลุบลึกยิ่งกว่าตอนที่พบกันที่มณฑลหนานเหอ แต่ยังคงดูกระฉับกระเฉง สายตาอ่อนโยน

สมณะหนุ่มเห็นเขาก็รู้สึกตื่นเต้น แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ไป๋เจ๋ารู้สึกแปลก

จิ๋งจิ่วชอบสมณะหนุ่มรูปนี้มาก จึงกล่าวกับสมณะชราว่า “คลายเถอะ”

สมณะชรายิ้มๆ ก่อนจะชี้ไปทางสมณะหนุ่ม

ทันใดนั้นเอง คำพูดจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกมาจากปากของสมณะหนุ่มราวกับสายน้ำ

คำพูดทำนองว่าไม่เจอกันนาน เป็นอย่างไรบ้างไหลทะลักออกมาไม่หยุด

จิ๋งจิ่วเริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เหอจานมาธุดงด์โลกปุถุชน? แล้วทั้งสองท่านมาทำอะไร?”

“งานชุมนุมแสวงมรรคาจะมีการสู้กันมิใช่หรือ…”

สมณะหนุ่มหมุนตัวมามองไป๋เจ่าพลางกล่าว “สำนักของสีกาย่อมต้องเตรียมพร้อมไว้แล้ว ยาเซียนมีอยู่ไม่น้อย แต่การรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกยังคงเป็นสิ่งที่พวกอาตมาถนัด”

จิ๋งจิ่วพูดคุยอีกสามสี่ประโยค จึงรู้ว่าสมณะตู้ไห่ที่เป็นตัวแทนวัดกั่วเฉิงยังไม่กลับมา จึงบอกลาแล้วเดินออกไป

เดินเขาอยากจะถามสมณะตู่ไห่ว่าช่วงนี้หลิ่วสือซุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อเดินออกมาจากวัด

ไป๋เจ่ารู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดเขาถึงได้สนิมสนมกับสมณะที่สภาวะธรรมดาทั้งสองรูปนี้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดยอมคุยเล่นกับพวกเขา

ในขณะที่นางเตรียมถาม นางกลับพบว่าใต้ต้นหลิ่วที่อยู่ข้างหน้ามีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่

ดวงตาของหญิงสาวแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

นางก็คือศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่เดิมเตรียมจะเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาผู้นั้น

เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไม่ตอบตกลงคำขอของนาง ยังคงเอาสิทธิ์การเข้าร่วมงานชุมนุมมอบให้จิ๋งจิ่ว

หญิงสาวผู้นั้นเห็นจิ๋งจิ่วก็ยิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นมา มองดูกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังเขาก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ

“กระทั่งมิประจักษ์บริบูรณ์เจ้าก็ยังบรรลุไม่ได้ เรียกได้ว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลย เช่นนั้นเหตุใดยังต้องแย่งข้าด้วย?”

ไป๋เจ่ารู้ว่าจิ๋งจิ่วไม่มีทางตอบ จึงมองดูนางพลางยิ้มอย่างรู้สึกผิด

“ความจริงข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าความมั่นใจของท่านมันมาจากไหน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล

เสียงนั้นไม่ได้มีความกระฉับกระเฉง แต่ก็ไม่ถึงกับเกียจคร้าน

เกียจคร้านเองก็เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง

ในเสียงนั้นไม่มีอารมณ์

คนที่พูดคือจัวหรูซุ่ย

เขายืนพิงผาหินที่อยู่ด้านข้างทางขึ้นมา หนังตาตกลงมา มองดูพื้น ท่าทางดูเกียจคร้าน

คล้ายว่าหากไม่ทำเช่นนี้ เขาคงจะนอนลงไปกับพื้นแล้ว

จิ๋งจิ่วมองดูเด็กคนนี้ ในใจพลันเกิดความรู้สึกชื่นชม

ไป๋เจ่ามองดูเขา กล่าวว่า “ข้าหาที่ให้พวกท่านไหม?”

จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม

จัวหรูซุ่ยยืนตรงขึ้นมา กล่าวกับนางว่า “รบกวนด้วย”

หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยรู้สึกสับสน ในใจคิดว่าพวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน?

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตามไป”

หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าจะให้ข้าตามไปไหน?”

ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าอยากดูคุณสมบัติของเขามิใช่หรือ?”

……

……

ภายในหุบเขาที่มืดครึ้มแห่งหนึ่งมีแสงสว่างทอดลงมาสองสามสาย

เวลาค่ำคืนเพิ่งมาถึง หมู่ดาวยังปรากฏไม่ชัดเจน สีเขียวคล้ำบริเวณหน้าผาดูค่อนข้างดำมืด ให้ความรู้สึกกดดันอันแปลกประหลาด

จิ๋งจิ่วมองไปในสวนลึกของป่า กล่าวว่า “ที่นี่จริงๆ หรือ?”

ไป๋เจ่ากล่าวว่า “หุบเขาแห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียรของข้า ถ้ำอยู่ทางด้านบน อีกประเดี๋ยวขึ้นไปนั่งเล่นไหม?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็ดี”

จัวหรูซุ่ยเก็บกระบี่เข้าไปในร่างกายใหม่ ในใจครุ่นคิดว่าช่างมีความมั่นใจจริงๆ

ไป๋เจ่ามองดูเขาพลางกล่าว “หากข้าไม่อนุญาต ที่นี่ก็ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามา ขอเพียงพวกท่านไม่ทำอะไรเอิกเกริกเกินไป ด้านนอกก็ไม่มีใครที่จะรู้เรื่อง”

จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักชิงซาน เก็บตัวบำเพ็ญเพียรมายี่สิบกว่าปี สร้างความตกตะลึงให้ทั่วทั้งแผ่นดินในวันเดียว ชื่อเสียงกำลังโด่งดัง

ทุกคนมองว่าเขามีโอกาสที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซานคนต่อไปมากที่สุด อยู่เหนือกั้วหนานซาน

บนทางขึ้นเขา ไม่ว่ากู้ชิงจะยั่วยุเขาอย่างไร เขาก็มิได้ตอบโต้ เพราะไม่ว่าอย่างไร จิ๋งจิ่วก็เป็นอาจารย์อาของเขา

ความขัดแย้งภายในชิงซาน เหตุใดต้องให้คนอื่นรับรู้ เขาไม่อยากให้เพื่อนร่วมสำนักคนอื่นเห็นด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาถึงได้แอบมาหาจิ๋งจิ่วเป็นการส่วนตัว

เขาคิดว่าถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ปรมาจารย์อาจิ่งหยางต้องมาอับอายขายหน้าเพราะศิษย์หลานที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ได้

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ จิ๋งจิ่วเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

หลิ่วฉือไม่เลว

อย่าให้ศิษย์คนเล็กที่เขารักมากที่สุดต้องอับอายขายหน้ามากนัก

ห้ามให้คนอื่นมองเห็น

ที่นี่ไม่มีผู้ชมคนอื่น มีเพียงหญิงสาวสองคนมาเป็นพยาน เขาเชื่อว่าหลังจบเรื่องแล้ว พวกนางไม่มีทางพูดอะไรออกไป

เพียงแต่ว่า….

ทันใดนั้นภายในป่ายามค่ำคืนพลันมีเสียงเหยียบพื้นหญ้าดังขึ้นมา แล้วก็มีเสียงน้ำหยดลงบนพื้นหญ้า

จากนั้นก็มีเสียงไฟลุกขึ้นมา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เหอจานเดินออกมาจากในป่า มือซ้ายถือปลาอยู่ตัวหนึ่ง มือขวาถือคบไฟ

คบไฟทำให้เกิดแสงสว่าง ส่องสว่างหุบเขา

เซ่อเซ่อเดินตามอยู่ด้านหลัง ชายกระโปรงเปียกชื้น เห็นได้ชัดว่านางลงไปจับปลาในลำธารมา

เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในหุบเขา เหอจานกับเซ่อเซ่อยืนตกตะลึงอยู่กับที่

เซ่อเซ่อตอบสนองเร็วที่สุด นางตะโกนไปทางจิ๋งจิ่วว่า “เจ้าตามข้ามาอีกทำไมล่ะเนี่ย?”

จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร

จัวหรูซุ่ยถอนใจออกมาพลางกล่าวว่า “มีคนดูกี่คนกันแน่?”

ขณะที่พูดจบ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในป่า

คิ้วสองข้างของเขาบางเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกหยิ่งทะนง แยกตัวออกจากโลก

นั่นคือถงเหยียนแห่งจงโจว

“เขาอวิ๋นเมิ่งใหญ่โต เหตุใดพวกท่านต้องมาย่างปลากันที่นี่ด้วย?”

ไป๋เจ่ามองเขา พลางกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ป้ายคำสั่งที่ข้าให้ท่านไม่ใช่เอามาใช้ทำเรื่องพวกนี้นะ”

เหอจานพลันรู้สึกว่าปลาและคบไฟในมือหนักอึ้งขึ้นมา เหมือนตัวเองจะสร้างปัญหาให้เพื่อนอีกแล้ว?

ถงเหยียนคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “ไปย่างปลาที่อื่นน หากถูกพวกอาจารย์ว่าขึ้นมามันจะยุ่งยาก แต่ที่นี่ไม่มีใครมาว่า ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ เจ้าเองก็สบายดีนะ”

ไม่เจอกันนานนั้นพูดกับจิ๋งจิ่ว

สบายดีนะพูดกับจัวหรูซุ่ย

เจ้าเองก็สบายดีนะพูดกับหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย

คำพูดประโยคเดียวคลี่คลายเรื่องราวทั้งหมด

สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ทางวิถีหมากล้อม

คนที่อยู่ในที่ตรงนี้เกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา

หรือว่านี่จะเป็นความเกียจคร้านอย่างหนึ่ง?

คำพูดของจิ๋งจิ่วน้อยกว่าเป็นเพราะฝีมือทางหมากล้อมของเขาแข็งแกร่งกว่า หรือเป็นเพราะเขาเกียจคร้านมากกว่า?

เซ่อเซ่อพลันถามขึ้นมา “พวกเจ้าจะสู้กันหรือ?”

จัวหรูซุ่ยตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ข้าจะขอคำชี้แนะจากอาจารย์อา”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าต้องชี้แนะแน่นอน”

เซ่อเซ่อมองจัวหรูซุ่ย พลางกล่าวอย่างเห็นใจว่า “อย่างนั้นเจ้าแย่แล้วล่ะ”