ภาคที่ 4 ตอนที่ 105 ประกายไฟเต็มท้องฟ้าถามเจ้าว่าไหวไม่ไหว (1)

มรรคาสู่สวรรค์

ความหมายของเซ่อเซ่อชัดเจนเป็นอย่างมาก แต่เหอจานกลับไม่เห็นด้วย

จัวหรูซุ่ยเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนฟ้าดินแห่งนี้เป็นของเขา แข็งแกร่งจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร

สภาวะของจิ๋งจิ่วหยุดนิ่งมาเกือบสิบปี ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมองไปทางถงเหยียน กล่าวขอคำชี้แนะว่า “คุณชายถงเหยียน ท่านคิดว่าอย่างไร?”

ถงเหยียนเป็นปรมาจารย์ทางด้านวิถีหมากล้อม สติปัญญาเป็นหนึ่งไม่มีสอง สายตาย่อมต้องเฉียบคมแม่นยำ

เหอจานเองก็มองไปทางเขา คิดอยากรู้ว่าเขามองอย่างไร อย่างเช่นจิ๋งจิ่วจะรับมือได้นานเท่าไร

ถงเหยียนกระทั่งคิดก็ไม่ได้คิด กล่าวว่า “ย่อมต้องเป็นจิ๋งจิ่วที่ชนะ”

เหอจานไม่เข้าใจอย่างมาก หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเองก็รู้สึกตกใจ — จัวหรูซุ่ยเก็บตัวบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ยังเล็ก อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถบรรลุขั้นคเนจรได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งโลกบำเพ็ญพรต เหนือกว่าเจ้าล่าเยวี่ยขั้นหนึ่ง ต่อให้พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่วจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาจะชดเชยความต่างของสภาวะของทั้งสองฝ่ายอย่างไร?

ไป๋เจ่าถามอย่างจริงจัง “เหตุใดศิษย์พี่ถึงได้มั่นใจกว่าข้าเสียอีก?”

ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เพราะพลังการคำนวณของจิ๋งจิ่วคือที่หนึ่งในใต้หล้า หากเขาไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะ เขาไม่มีทางปรากฏตัวแน่”

การอนุมานอันนี้สอดคล้องกับตรรกะเป็นอย่างมาก อย่างน้อยฟังแล้วก็ดูสมเหตุสมผล

หลังจบการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น พลังการคำนวณของจิ๋งจิ่วได้สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งแผ่นดิน หากไม่มีความมั่นใจ เหตุใดเขาต้องรับปากสู้กับจัวหรูซุ่ยด้วย?

หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยยังรู้สึกไม่ยอม นางหันไปถามเซ่อเซ่อว่าทำไมถึงคิดว่าจิ๋งจิ่วจะชนะ

เซ่อเซ่อกล่าวว่า “ง่ายมาก เพราะคนผู้นั้นทำอะไรไม่เคยยอมเสียเปรียบ”

เหอจานคิดถึงเรื่องราวของจิ๋งจิ่วในช่วงหลายปีนี้ พบว่าคล้ายจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เซ่อเซ่อมองดูคนสองคนที่อยู่ในหุบเขา พลันยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “สำนักชิงซานชอบเล่นกันอย่างนี้จริงๆด้วย”

เหอจานและคนอื่นๆ มองตามสายตาของนางไป

ท้องฟ้าค่อยๆ มืด ดวงดาราค่อยๆ สว่าง ภายในหุบเขาถูกย้อมจนกลายเป็นสีเงิน ทัศนวิสัยดูชัดเจนขึ้นมา

หนังตาของจัวหรูซุ่ยตกลงมา สองมือกอดอก ตามองดูพื้น

จิ๋งจิ่วสองมือไพร่หลัง ตามองดูป่าที่อยู่ในภูเขา

คล้ายนักท่องเที่ยวสองคนที่พลัดหลงเข้ามาในหุบเขา

พวกเขาไม่รู้จักกัน

คนหนึ่งเดินจนเหนื่อยแล้ว

อีกคนหนึ่งยังเอ้อระเหยชมทิวทัศน์

เหอจานเห็นด้วยกับคำกล่าวของเซ่อเซ่อพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เรื่องอื่นไม่เห็นด้วย แต่เรื่องนี้เห็นด้วย เสแสร้งกันเก่งจริงๆ”

ไป๋เจ่าคิดถึงภาพการช่วยเหลือในที่ราบหิมะที่พวกเซี่ยงหว่านซูบรรยายให้ฟังในภายหลัง จึงยิ้มเล็กน้อยพลางคิดว่าคล้ายจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยพลันลืมตาโตกล่าวว่า “พวกเขาจะอยู่กันใกล้ขนาดนี้อย่างนั้นหรือ?”

ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่าจิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่สิบจ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะขี่กระบี่บินแยกออกจากกันด้วย

สิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานไม่ชอบมากที่สุดก็คือการที่ศัตรูมาอยู่ใกล้ๆ หากเป็นไปได้พวกเขาล้วนแต่จะพยายามทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่าย

การประลองกระบี่ระหว่างศิษย์ชิงซานครั้งนี้ เหตุใดทั้งสองคนถึงยืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้

เหอจานมองดูถงเหยียน กล่าวว่า “จัวหรูซุ่ยดูผ่อนคลายมั่นใจเช่นนี้ อีกทั้งยังต่อให้มากขนาดนี้ เจ้ายังคิดว่าจิ๋งจิ่วจะมีโอกาสอีกหรือ?”

ถงเหยียนกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “บางทีจิ๋งจิ่วอาจจะคำนวณถึงจุดนี้เอาไว้?”

เหอจานสายศีรษะพลางกล่าวว่า “แบบนั้นมันหน้าไม่อายเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

จัวหรูซุ่ยอยู่ในสภาวะขั้นคเนจรระดับต้นบริบูรณ์ เหนือกว่าจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมาก หากเขาทิ้งระยะห่าง การประลองกระบี่ในคืนนี้ก็จะกลายเป็นการโจมตีแต่เพียงฝ่ายเดียว จิ๋งจิ่วจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนในเวลานี้แสดงให้เห็นว่าจัวหรูซุ่ยไม่อยากจะเอาเปรียบในด้านสภาวะ เขาเพียงอยากจะใช้ฝีมือทางด้านวิถีกระบี่เอาชนะจิ๋งจิ่ว นี่คือความหยิ่งทะนงหรือความหยิ่งผยอง?

หากจิ๋งจิ่วคาดการณ์ได้ถึงความหยิ่งผยองของจัวหรูซุ่ย ถึงได้ยอมรับคำท้า อย่างนั้นนี่คือความอวดดีหรือว่าไร้ยางอายกันแน่?

……

……

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านก็ยังไม่ไหวอยู่ดี”

จัวหรูซุ่ยมองดูตั๊กแตนตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนหลังเท้า พลันกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง

จิ๋งจิ่วเหมือนไม่ได้ยิน ปลดกระบี่เหล็กลงมาจากด้านหลัง แกะผ้าที่หุ้มกระบี่ออก

จัวหรูซุ่ยยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่กลับคล้ายมองเห็นกระบี่เหล็กของเขาแล้ว จากนั้นกล่าวว่า “กระบี่ของท่านก็ไม่ไหวเช่นกัน”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นี่แสดงให้เห็นว่าสายตาของเจ้าไม่ไหว”

……

……

ไม่มีเสียงตะโกนบอกให้เริ่ม ไม่มีการนับถอยหลัง พริบตาที่ผ้าพันกระบี่ตกลงไปบนพื้น นั่นก็คือการเริ่มต้น

ด้านหน้าจิ๋งจิ่วมีประกายไฟดวงเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาดวงหนึ่ง

ใบหน้าของเขาถูกส่องสว่าง แสงดาวไม่ได้ดูเปล่งประกายเหมือนอย่างตอนแรก

ประกายไฟดวงนั้นยังไม่ทันหายไป ประกายไฟดวงที่สองก็สว่างขึ้นมาตรงที่ที่ห่างออกไปไม่ไกล

หลังจากนั้นก็มีประกายไฟปรากฏขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

บ้างก็อยู่บนท้องฟ้า บ้างก็อยู่บนพื้น บ้างก็อยู่ในป่า บ้างก็อยู่ริมธาร

เพียงแค่พริบตาก็มีประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นมา คล้ายกับดอกโบตั๋นภายในหุบเขาหานสือที่เบ่งบานออกมาภายในคืนเดียว

ทั่วทั้งหุบเขาถูกส่องสว่าง

จิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยยืนอยู่ในดอกไม้ไฟที่เบ่งบานทั่วทั้งท้องฟ้า โครงร่างชัดเจน ชายเสื้อพลิ้วไหวแผ่วเบา

ภาพดูงดงามเป็นอย่างมาก

เซ่อเซ่อส่งเสียงอุทานออกมา “สวยจัง”

สายตาของหญิงสาวแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็กำลังพูดคำพูดเดียวกัน

สายตาของไป๋เจ่าเปล่งประกาย คล้ายกับสายน้ำ

นั่งดูประกายไฟอยู่ริมน้ำนั้นเป็นเรื่องที่งดงาม แต่นางรู้ทราบดีว่าในประกายไฟเหล่านั้นแฝงเอาไว้ด้วยอันตรายมากน้อยแค่ไหน

ประกายไฟเหล่านั้นคือร่องรอยที่หลงเหลือจากการที่กระบี่ของจิ๋งจิ่วและกระบี่ของจัวหรูซุ่ยปะทะกัน

ประกายไฟดวงหนึ่งคือการปะทะกันครั้งหนึ่ง

ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือการปะทะกันจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน

เพียงแค่พริบตา ภายในหุบเขาก็เต็มไปด้วยประกายไฟ แสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาได้ปล่อยกระบี่ออกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

กระบี่ของพวกเขาเร็วแค่ไหนกันแน่?

เหอจานมองดูภาพประกายไฟที่อยู่ตรงหน้า สายตาตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าสองคนนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก

ดวงตาของถงเหยียนไม่กระพริบ เขามองดูภาพภายในหุบเขาอย่างตั้งใจ ในดวงตามีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ หายไป สะท้อนรายละเอียดทุกอย่างออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขากำลังคำนวณความเร็วในการออกกระบี่ วิถีการเคลื่อนไหวของกระบี่และรายละเอียดที่มากกว่านั้นของจิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ย

เหอจานพลันกล่าวขึ้นมาว่า “จิ๋งจิ่วไม่ไหว”

ถงเหยียนไม่ได้กล่าวอะไร

เขาคำนวณออกมาแล้ว จิ๋งจิ่วเป็นฝ่ายเสียเปรียบจริงๆ ด้วย

ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนคล้ายปกคลุมทั่วทั้งหุบเขา แต่ความจริงแล้วมีห่างมีใกล้

ประกายไฟทางด้านตะวันออกมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนประกายไฟทางตะวันตกนั้นมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

คล้ายกับว่ามีลมที่มองไม่เห็นกำลังพัดประกายไฟเหล่านั้นไปตรงตำแหน่งที่ิจิ๋งจิ่วยืนอยู่

นี่แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งที่กระบี่ทั้งสองเล่มพบกันเข้าใกล้จิ๋งจิ่วไปเรื่อยๆ

การโจมตีและการป้องกันมีความชัดเจนเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้นพลันมีเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาในหุบเขา

เสียงเหล่านั้นเบาเป็นอย่างมาก คล้ายกับขวดแก้วจำนวนนับไม่ถ้วนแตกละเอียดลงพร้อมกัน

สายตาของเหอจานและคนอื่นๆ ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

มีเสียงกระบี่ดังขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายหยุดปะทะกันชั่วคราว

ประกายไฟที่เต็มท้องฟ้าค่อยๆ หายไป ภายในหุบเขาเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คล้ายเป็นความฝัน

เหอจานเอาคบเพลิงปักลงไปบนพื้น ส่องสว่างพื้นที่รอบด้าน ลมโชยแผ่วเบา

กระบี่บินเล่มหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่ในอากาศ

ตัวกระบี่เป็นสีเทา ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่มันกลับแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมากบางอย่าง

จัวหรูซุ่ยหนังตาตก เขากล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก แต่กระบี่ของท่านนั้นไม่ไหวจริงๆ”

กระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วมีชื่อเสียงอย่างมากในชิงซาน สืบทอดมาจากอาจารย์ม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย

แต่ชื่อเสียงของกระบี่เหล็กส่วนใหญ่แล้วมาจากเรื่องราวนั้นและวิธีที่เขาได้กระบี่เหล็กมา มิใช่ว่าตัวกระบี่เหล็กเล่มนี้แข็งแกร่งแต่อย่างใด

ความจริงแล้วระดับชั้นของกระบี่เหล็กเล่มนี้ธรรมดาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังหนักเกินไป หลังลุกไหม้อยู่ในที่ราบหิมะมาเป็นเวลาหกปี สภาพของมันยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่

จัวหรูซุ่ยสามารถสัมผัสได้ว่าเพลงกระบี่ของจิ๋งจิ่วนั้นยอดเยี่ยม มิได้ด้อยไปกว่าตนเองเลย แต่กระบี่เหล็กหนักเกินไป ระดับชั้นธรรมดาเกินไป การโคจรกระบี่ย่อมต้องได้รับผลกระทบอย่างมาก