ตอนที่ 241 เด็กสาวกำพร้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในห้องเล็ก ๆ แสนเรียบง่าย สตรีรูปโฉมงามกำลังนั่งหลับตาขัดสมาธิ ทั่วทั้งสรรพางค์กายดิ่งลึกอยู่ในภวังค์แห่งความแน่วแน่ จิตใจทั้งหมดบ้างหลอมรวมบ้างแบ่งแยก หมุนวนอยู่ในพลังมายาอันมหาศาล

สภาวะพลังของนางไม่คงที่นัก ทว่าก็เริ่มมีสัญญาณของการก้าวข้ามระดับพลังปรากฏให้เห็น พลังมายารอบ ๆ ตัวกำลังหลั่งไหลเข้าไปภายในร่างบอบบางนั้นอย่างรวดเร็ว หากมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย คนผู้นั้นก็คงจะสัมผัสถึงพลังที่รุนแรงนี้ได้

ไม่นานนัก โฉมนารีก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าสดใส แววตารื่นเริง มุมปากจิ้มลิ้มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มดูลึกลับ

“ในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพเสียที !”

น้ำเสียงรื่นรมย์ของสตรีผู้กำลังนั่งอยู่กับพื้นดังขึ้น

‘ตั้งแต่เข้ามาในดินแดนอ้างว้าง  นี่ก็ครึ่งเดือนแล้วสินะ’

สตรีงดงามผู้นี้ แท้จริงแล้วก็คือฉินอวี้โม่ที่ข้ามเข้ามายังดินแดนอ้างว้างผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้ายในถ้ำของเทพมายาเมื่อครึ่งเดือนก่อน สถานที่ที่นางอยู่ในตอนนี้มีนามเรียกขานว่า ‘เมืองจันทรา’ เมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กและห่างไกลแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนอ้างว้าง

ก่อนหน้านี้นางเข้ามาที่นี่พร้อมกับหานโม่ฉือโดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในถ้ำของเทพมายา คาดไม่ถึงว่าการข้ามมิติมาที่ดินแดนอ้างว้างจะต้องเจอก้บ ‘พลังแทรกแซง’ ซึ่งพลังดังกล่าวนี้ทรงพลานุภาพและผันผวนอย่างรุนแรงจนพวกเขาไม่อาจต้านทานได้ และทำให้สองหนุ่มสาวต้องถูกแยกออกจากกันในที่สุด

ดังนั้นแม้ว่านางและหานโม่ฉือจะมาที่ดินแดนอ้างว้างพร้อมกัน ทว่ากลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งคู่คาดเดาและเตรียมใจรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ไว้ล่วงหน้า จึงได้นัดแนะกันไว้ก่อนแล้ว ซึ่งจุดนัดพบของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็คือ ‘ใจกลางดินแดนอ้างว้าง’ หลังจากที่ถูกแยกออกจากกัน ทั้งสองก็ทุ่มเทเก็บตัวฝึกฝนก่อนเป็นอันดับแรกตามที่ตกลงกันไว้ และจากนั้นก็ให้เดินทางไปพบกันอีกครั้งยังสถานที่นัดหมาย

ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ ดังนั้นแล้วนางจึงไม่เป็นกังวลมากนัก ตั้งแต่เริ่มเข้ามานางก็ซุ่มเก็บตัวอยู่ที่เมืองจันทราแห่งนี้

ต้องยอมรับว่าพลังมายาที่ไหลเวียนอยู่ในบรรยากาศของดินแดนอ้างว้างนั้นหนาแน่นกว่าดินแดนหวนหลิงมาก นี่ทำให้ความเร็วในการฝึกของฉินอวี้โม่สูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งอาศัยอยู่ในดินแดนหวนหลิงหลายเท่า ในเวลาเพียงครึ่งเดือน นางสามารถก้าวข้ามจากขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์เข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพได้แล้ว

ด้วยความเร็วที่น่าตกใจเช่นนี้ทำให้นางแทบไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากไปฝึกฝนที่ดินแดนเทพมายาจะเป็นอย่างไร

ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะยืดเส้นยืดสายแล้วก้าวเข้าหาประตู มือบางผลักบานประตูออกไปช้า ๆ

ณ พื้นที่ด้านนอก เด็กหญิงร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มผู้หนึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างประตู สายตาของสาวน้อยทอดมองไปไกล ไม่ทราบเลยว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่

ทว่าในทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก เด็กหญิงก็รีบหันมอง

ฉินอวี้โม่ในตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวนวลตา ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างหลวม ๆ ปลายผมสลวยถูกทิ้งให้สยายยาวอยู่ด้านหลัง ด้วยรูปลักษณ์งดงามสะกดใจและบรรยากาศรอบกายราวกับเทพเซียนจากแดนสรวงนี้ ทำให้เด็กสาวร่างเล็กผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูมีอาการตกตะลึงทุกคราที่มองเห็น

“พี่อวี้โม่ ถ้าข้าโตขึ้นแล้วสวยอย่างพี่ ชีวิตนี้ข้าจะไม่ขออะไรอีกแล้ว”

เด็กสาวผู้นั้นแย้มรอยยิ้มพลางเอ่ยคำเสียงเคลิบเคลิ้ม มือเล็กกว่าคว้าจับมือบางของสตรีเลอโฉมที่นางเรียกขานว่า ‘พี่’ อย่างนุ่มนวล

วาจาไร้เดียงสารวมทั้งอากัปกิริยาเผลอไผลของเด็กสาว ทำให้ฉินอวี้โม่หลุดขำอย่างอดไม่ได้

ทันทีที่เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นจากฝ่ายตรงข้าม พวงแก้มเล็ก ๆ ของสาวน้อยก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เด็กสาวผู้เขินอายรีบเปลี่ยนไปกล่าวเรื่องอื่นในฉับพลัน

“พี่อวี้โม่ ท่านทะลวงพลังสำเร็จแล้วหรือ ?”

สาวน้อยผู้นี้ก็คือเจ้าของสวนและบ้านหลังที่ฉินอวี้โม่ใช้พักอาศัยอยู่ชั่วคราว นางถูกชาวบ้านเรียกขานว่า ‘เสี่ยวเหยียน’ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนเด็กอายุสิบขวบ ทว่าแท้จริงแล้วสาวน้อยเสี่ยวเหยียนมีอายุครบสิบสามปีในปีนี้

ด้วยรูปร่างที่เล็กและส่วนสูงที่ค่อนข้างน้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทำให้เสี่ยวเหยียนดูเด็กกว่าอายุจริงถึงสามปี ทว่าแม้จะตัวเล็กแต่เด็กหญิงวัยสิบสามผู้นี้ก็ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ผมสีดำดกหนาถูกรวบเป็นแกละสองข้าง พวงแก้มเล็ก ๆ แต่อิ่มเต็มเป็นสีอมชมพูด้วยเลือดฝาด ทุกคราที่นางยิ้ม สองจุดบนเนื้อแก้มจะบุ๋มลึกและกลายเป็นลักยิ้มจิ้มลิ้มชวนมอง

เสี่ยวเหยียนเป็นเด็กน่าสงสารมากผู้หนึ่ง นางสูญเสียบิดาไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ในตอนที่มีอายุเจ็ดปีผู้เป็นมารดาก็ตายจากไปอีก ครอบครัวเล็ก ๆ ของนางร้างไร้ญาติพี่น้องใกล้ชิด นับแต่นั้นมาสาวน้อยจึงต้องเติบโตอย่างโดดเดี่ยวในบ้านที่บิดามารดาเหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าโชคยังดีที่ชาวเมืองจันทราเอ็นดูเด็กหญิงกำพร้าผู้นี้ ทุกคนคอยช่วยเหลือและดูแลนาง ดังนั้นแล้ว แม้ว่าจะมีชีวิตที่ค่อนข้างยากลำบากไปสักหน่อยแต่เสี่ยวเหยียนก็ยังคงเป็นเด็กร่าเริงและมองโลกในแง่ดีเสมอ

ในวันที่ฉินอวี้โม่เดินทางมายังดินแดนอ้างว้าง นางปรากฏตัวที่ป่าแห่งหนึ่งข้างเมืองจันทรา เวลานั้นคุณหนูสี่ตระกูลฉินไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่ใด และในตอนที่กำลังคิดว่าจะหาใครสักคนเพื่อถามทาง นางก็ได้พบเจอสาวน้อยเสี่ยวเหยียนที่กำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า

เสี่ยวเหยียนนั้น เพราะคิดว่าฉินอวี้โม่หลงทางและไม่มีที่ไปจึงเชิญชวนพี่สาวแปลกหน้าผู้แสนงดงามไปพักที่บ้านของตน กิริยาท่าทางของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อและอบอุ่น และเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากอยู่ร่วมกันมาพักใหญ่ หญิงสาวทั้งสองก็เริ่มคุ้นเคยและเปลี่ยนกลายเป็นสนิทสนมไปในที่สุด

“ใช่ ข้าทำสำเร็จแล้ว ขอบคุณเจ้ามากนะที่ช่วยเฝ้าหน้าประตูไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวนข้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

แม้ว่าอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจะไม่ได้ร้องขอให้เสี่ยวเหยียนช่วยเหลือ ทว่าเป็นเพราะสาวน้อยทราบถึงความสำคัญของการเก็บตัว นางจึงอาสาเฝ้ายามให้พี่สาวคนใหม่อย่างแข็งขัน

นี่เองทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกชื่นชอบและนับถือในน้ำใจสาวน้อยผู้นี้อย่างมาก คุณหนูสี่จึงหมายใจจะให้การช่วยเหลือเสี่ยวเหยียนเป็นการตอบแทนเช่นกัน

“พี่อวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก ถ้าข้าเป็นคนเก็บตัวบ้าง ท่านก็คงจะเป็นคนเฝ้าให้ข้าเหมือนกันใช่หรือไม่ ?”

สาวน้อยเสี่ยวเหยียนไม่รับคำขอบคุณ แต่กลับถามฉินอวี้โม่กลับไปด้วยรอยยิ้ม

นางรู้สึกชื่นชมในตัวพี่สาวผู้ที่ทั้งงดงามและเก่งกาจผู้นี้มาก

เหตุผลก็เพราะตัวนางเองยังอยู่ในขอบเขตนภมายาเท่านั้น แม้ว่าหากเป็นในดินแดนหวนหลิงนางจะถือเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งไม่น้อย ทว่าในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้นางแทบไม่มีค่าอะไรเลย

ทว่าฉินอวี้โม่กลับเป็นอัจฉริยะที่อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพแล้ว อายุของพี่สาวผู้นี้ยังเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น แม้แต่ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้นางก็ถือเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง

ภายในดินแดนอ้างว้างนี้ จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงมักจะถูกจับให้อยู่ในทำเนียบทั้งสาม อันได้แก่ ‘ทำเนียบสวรรค์’ ‘ทำเนียบพิภพ’ และ ‘ทำเนียบรุ่นเยาว์’

ในทำเนียบรุ่นเยาว์จะเป็นทำเนียบเฉพาะของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในแผ่นดินนี้ ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ของฉินอวี้โม่ หากนางปรากฏตัวในที่สาธารณะและเป็นที่รู้จัก นางก็น่าจะถูกจัดให้อยู่ในสิบอันดับแรกของทำเนียบที่ว่านี้ทันที

ยิ่งกว่านั้น เสี่ยวเหยียนไม่สงสัยเลย นางคิดว่าอีกไม่นานนัก พี่สาวผู้นี้ก็คงจะขึ้นถึงอันดับหนึ่งของทำเนียบรุ่นเยาว์ได้อย่างแน่นอน

“เสี่ยวเหยียนเจ้าเองก็ใกล้จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้วนี่”

ในระหว่างการสนทนากันของสองสาว ฉินอวี้โม่ก็ถูกเสี่ยวเหยียนจับจูงเข้าไปในห้องครัวและจัดแจงให้นั่งลงที่โต๊ะกินข้าว ตอนนี้เสี่ยวเหยียนจัดการอาหารส่วนของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว และนางกลัวว่าฉินอวี้โม่ที่อาจจะออกจากการฝึกฝนในเวลาใดเวลาหนึ่งจะหิวจึงเตรียมอาหารไว้ให้ตั้งแต่เช้าตรู่

“ใช่ ข้าคิดว่าคงอีกไม่นานนัก ว่าแต่ตอนนี้พี่อวี้โม่หิวรึยัง ?”

เสี่ยวเหยียนพยักหน้าก่อนจะชี้นิ้วไปยังอาหารทั้งสี่จานกับน้ำแกงอีกหนึ่งถ้วยพลางกล่าว “พี่อวี้โม่น่าจะกินอะไรก่อนนะ จริงอยู่ที่พี่อวี้โม่เป็นจอมยุทธ์ระดับสูงเลยอาจจะไม่ค่อยหิวถึงแม้จะเก็บตัวนาน แต่แม่ข้าเคยบอกไว้ว่ายิ่งเราแข็งแกร่งเท่าไหร่เราก็ควรจะกินเยอะ ๆ เพื่อสะสมพลัง”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางไม่คิดจะปฏิเสธความปรารถนาดีเช่นนี้

“เสี่ยวเหยียน แถวนี้มีอสูรมายาระดับสูงบ้างหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามเสี่ยวเหยียนในระหว่างจัดการกับทุกจานที่อยู่บนโต๊ะ

เพราะรู้ดีว่าเสี่ยวเหยียนไม่มีอสูรมายา ฉินอวี้โม่จึงอยากจะช่วยจับไว้ให้สาวน้อยสักตัวหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็เอาไว้ช่วยปกป้องคุ้มครองนางได้

แต่ด้วยจุดประสงค์นี้เอง หากเป็นอสูรมายาระดับต่ำก็น่าจะไม่มีประโยชน์มากนัก อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะจับอสูรสวรรค์จักรพรรดิขึ้นไปให้นาง ในตอนนี้มังกรเกล็ดของฉินอวี้โม่ที่กินโอสถมังกรเข้าไปใกล้จะวิวัฒนาการณ์เป็นมังกรจริง ๆ สำเร็จแล้ว คุณหนูตระกูลฉินคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสองถึงสามวัน และหลังจากนั้นมังกรเกล็ดผู้เคยอาศัยอยู่ในบึงน้ำกว้างจะกลายเป็น ‘มังกรอัสนี’ ผู้ยิ่งใหญ่

มังกรอัสนีถือเป็นหนึ่งในมังกรที่มีสายเลือดระดับสูงในมวลหมู่เผ่าพันธุ์มังกรทั้งหลาย มังกรธาตุไฟอย่างมังกรอัสนีนั้นมีสายเลือดที่เป็นรองเพียงมังกรทองและมังกรมรกตเท่านั้น หลังจากการวิวัฒนาการของมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว มังกรอัสนีจะก้าวเข้าสู่ระดับจ้าวพิภพทันที

เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่บอก เสี่ยวเหยียนก็แทบไม่ต้องคิดสิ่งใด สาวน้อยกล่าวตอบไปด้วยความตื่นเต้น “ทิศใต้ของเมืองมีป่าแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยอสูรมายาระดับสูง แต่เป็นเพราะข้าอ่อนแอข้าจึงไม่เคยกล้าไปที่นั่นสักครั้ง ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องนั้นจะเป็นความจริงรึเปล่า”

เมืองจันทราแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนอ้างว้างโดยเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของขุมกำลังที่เรียกว่าหงส์ลาลับ

ภายในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ ขั้วอำนาจต่าง ๆ มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก

โดยเหล่าขุมกำลังที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจจะกระจุกอยู่บริเวณส่วนกลางของดินแดน ส่วนขุมกำลังที่มีอำนาจเป็นรองจะกระจายตัวอยู่โดยรอบในพื้นที่ชั้นนอก ทว่าถึงแม้ขุมกำลังชั้นนอกนี้จะไม่ยิ่งใหญ่นักแต่ก็ไม่ใช่ขุมกำลังที่อ่อนแอ

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวว่ากระจุกก็คงจะไม่ถูกต้องมากนัก เพราะขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างก็ปกครองอาณาเขตของตัวเองที่ซึ่งครอบคลุมเขตพื้นที่กว้างขวางและมีประชากรใต้อาณัติจำนวนมาก ส่วนขุมกำลังระดับรองก็จะมีพื้นที่และประชากรในจำนวนที่น้อยลงไป และในแต่ละขุมกำลังจะมีจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพอยู่อย่างน้อยที่สุดเป็นจำนวนสองคน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับขุมกำลังใหญ่ที่มีจอมยุทธ์จ้าวสุริยะอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถปกครองอาณาเขตเล็ก ๆ ที่ห่างไกลได้ไม่ยากเย็นนัก

ฉินอวี้โม่พยักหน้า แม้ว่าเสี่ยวเหยียนจะไม่เคยไปเยือนป่าที่นางบอกเล่า แต่ในเมื่อมีคนเคยกล่าวเช่นนั้นให้สาวน้อยฟังก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก

อย่างไรตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจะไปยังป่าที่สหายตัวน้อยกล่าวถึง

“เสี่ยวเหยียน ช่วยพาข้าไปที่ป่าแห่งนั้นที หากพวกเราพบอสูรเหมาะ ๆ ข้าจะช่วยเจ้าสยบมัน อย่างน้อยก็ขออสูรสวรรค์ขึ้นไปก็ยังดี ข้าว่ามันน่าจะช่วยเจ้าได้มาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มขณะมองดูดวงตาที่แทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ของเสี่ยวเหยียน ตั้งแต่ได้ฟังมา แววตาของสาวน้อยก็ทอประกายครั้งแล้วครั้งเล่า

การที่ได้เห็นเด็กสาวผู้นี้ทำให้นางนึกถึงตัวเองเมื่อชีวิตก่อน นางก็เคยมีน้องสาวที่น่ารักเหมือนกับเสี่ยวเหยียนอยู่เช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่…

“จริงหรือ ? พี่อวี้โม่จะสยบอสูรมายาให้ข้าจริง ๆ หรือ?”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เสี่ยวเหยียนก็จ้องมองฉินอวี้โม่กลับด้วยสายตาแสนซาบซึ้ง

นางอยู่อย่างเดียวดายมาโดยตลอด อย่าว่าแต่จะมีคนสยบอสูรมายาให้นางเลย เพียงแค่จะมีสหายให้ได้สักคนก็ยากเย็นสำหรับนางแล้ว แน่นอนว่านางไม่เคยรู้จักกับผู้ฝึกสัตว์อสูรคนไหนทำให้ไม่มีโอกาสจะมีอสูรมายาเหมือนกับคนอื่น ๆ

“แน่นอน ข้าจะโกหกเจ้าทำไมกัน”

ฉินอวี้โม่บีบจมูกเล็กของเสี่ยวเหยียนเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเร็วเข้าเถิด ข้าเชื่อว่าขอเพียงหาอสูรมายาเหมาะ ๆ ให้เจ้าได้ ข้าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้แน่นอน”

เมื่อได้ยินเรื่องขอบเขตทูตสวรรค์ เสี่ยวเหยียนก็นิ่งอึ้งไปในชั่วขณะ นางมองดูฉินอวี้โม่แล้วเช็ดน้ำตา สาวน้อยอดร้องไห้เพราะความซึ้งใจไม่ได้

“พี่อวี้โม่ พี่ดีกับข้าเหลือเกิน หลังจากที่แม่ของข้าจากไปก็ไม่เคยมีใครดีกับข้าเช่นนี้มาก่อนเลย”

“เด็กโง่ เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน เจ้าอุตส่าห์เรียกข้าว่าพี่ทั้งที แล้วจะไม่ให้ข้าทำหน้าที่ของพี่ที่ดีเลยหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้เสี่ยวเหยียน นางรู้สึกเห็นใจและเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้าเป็นอย่างมาก

“ถ้างั้นข้าขอเรียกท่านว่าพี่ตลอดไปเลยได้ไหม ข้าอยากจะเป็นน้องสาวของท่านตลอดไป”

เสี่ยวเหยียนจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยดวงตาสุกใส นัยน์ตานั้นฉายแววคาดหวัง ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นนับจากนี้ นางก็อยากจะเรียกขานฉินอวี้โม่เป็นพี่สาวตลอดไป และอยากจะให้ฉินอวี้โม่เห็นตัวนางเป็นน้องสาวด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างนุ่มนวล

การมีน้องสาวไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นสาวน้อยตรงหน้ายังเป็นเด็กดีมากอีกด้วย หากพาเสี่ยวเหยียนติดตามไปก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้การตามหาฉินเทียนในดินแดนอ้างว้างง่ายดายขึ้นได้

“ยอดไปเลย ในที่สุดข้าก็มีครอบครัวอีกครั้งแล้ว”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวเหยียนก็รีบพุ่งตรงเข้ากอดพี่สาวคนใหม่เต็มรัก ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความสุขอย่างไม่อาจปกปิด

“เสี่ยวเหยียน ไม่นานข้าก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว เช่นนั้นเจ้าอยากจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองเสี่ยวเหยียนก่อนจะไถ่ถามความสมัครใจ

เสี่ยวเหยียนน่าจะมีความทรงจำมากมายภายในเมืองจันทราแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สาวน้อยก็ยังเด็กอยู่มาก ฉินอวี้โม่จึงอยากให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง

“แน่นอน ไม่ว่าพี่อวี้โม่จะไปที่ไหนข้าก็จะขอติดตามไปด้วย ท่านแม่ของข้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ในเมืองนี้อีก”

เสี่ยวเหยียนพยักหน้าและตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวเถอะ หลังจากสยบอสูรมายาให้เจ้าได้แล้ว พวกเราก็จะออกเดินทางต่อกันเลย อันที่จริงตอนนี้ข้ากำลังตามหาตัวคนผู้หนึ่งอยู่”

เมื่อเห็นเสี่ยวเหยียนพยักหน้าอย่างแน่วแน่ ฉินอวี้โม่ก็ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นออกไป ในเมื่อไม่มีเหตุผลจะต้องอยู่ที่นี่เช่นนี้ นางก็คิดว่าควรจะรีบออกเดินทาง

หลังจากทะลวงพลังสำเร็จ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็แข็งแกร่งขึ้นมาก เมื่อรวมกับไพ่ตายที่นางมี ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะ ฉินอวี้โม่คิดว่าตัวนางในตอนนี้ก็คงเพียงพอจะหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างไร้ปัญหา

ดังนั้นแทนที่จะอยู่ที่เมืองนี้ต่อไป มิสู้ออกเดินทางตามหาหานโม่ฉือและฉินเทียนตั้งแต่เวลานี้เลยจะดีเสียกว่า

เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่กล่าวเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็พยักหน้า สาวน้อยกำพร้าแห่งเมืองจันทราผลุนผลันไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมออกเดินทางในทันที

.