ตอนที่ 242 ฝูงอสูรคลั่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในขณะที่เสี่ยวเหยียนกำลังเก็บข้าวของอยู่ภายในห้องนอน จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบเร่งดังขึ้นจาก ณ ลานกว้างหน้าบ้าน

— ก็อก ๆ ๆ ! —

เพียงพริบตาเสียงฝีเท้าก็หยุดลงก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงเคาะประตูดังลั่น คุณหนูสี่ตระกูลฉินลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเปิดประตูออกไป

ในทันทีที่ประตูเปิดออก นางก็พบว่าผู้มาเยือนคือหญิงชราผู้หนึ่ง

เมื่อมองเห็นว่าผู้ที่เปิดประตูบ้านคือสตรีโฉมงามแปลกหน้า หญิงชราก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย  ในตอนนั้นเองใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความกังวล

“แม่นาง เสี่ยวเหยียนอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ?”

หญิงชราเอ่ยถามออกมาอย่างร้อนรนในทันที เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจตัวตนของสตรีแปลกหน้าแม้แต่น้อย

สตรีสูงวัยกล่าวพลางกวาดสายตามองทั่วตัวบ้าน นางต้องการค้นหาตัวสาวน้อยเจ้าของบ้านหลังนี้

“นางอยู่ด้านใน ท่านมีธุระอันใดอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวายของหญิงชราตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

“แม่นาง ไปเรียกนางออกมาแล้วบอกให้นางไปที่ลานกลางหมู่บ้านพร้อมกับข้า”

หญิงชราเอ่ยคล้ายออกคำสั่งเสียงดัง ท่าทางของนางยังดูว้าวุ่นอย่างหนัก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เสียงนั้นฟังดูเหมือนนางกำลังจะกรีดร้องออกมาแล้ว

แน่นอนว่าเสี่ยวเหยียนได้ยินเสียงที่ดังขึ้นภายนอก สาวน้อยรีบวิ่งออกมาพร้อมสัมภาระห่อใหญ่หลายห่อ

“ป้าไช”

เมื่อเห็นหญิงชราที่อยู่หน้าประตูบ้าน เด็กหญิงกำพร้าก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่านางก็ยังคงวิ่งถลาเข้าหาคนผู้นั้น

“เสี่ยวเหยียน เจ้าคิดจะไปที่ใดถึงได้หอบข้าวหอบของออกมาเช่นนี้ ?”

เมื่อสังเกตเห็นห่อของที่อยู่เต็มมือเสี่ยวเหยียน หญิงชราผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ‘ป้าไช’ ก็ถามออกมาด้วยความสงสัย

“ท่านพี่ของข้าจะพาข้าออกไปท่องโลกกว้าง”

ป้าไชผู้นี้ก็คือหนึ่งในคนที่ดีกับเสี่ยวเหยียนมากที่สุดผู้หนึ่งในเมืองจันทราแห่งนี้ หลังจากมารดาของสาวน้อยจากไป ป้าไชก็คอยให้ความช่วยเหลือดูแลนางมาตลอด เสี่ยวเหยียนจึงไว้เนื้อเชื่อใจสตรีวัยกลางคนผู้นี้อย่างมาก

ดังนั้นแล้วเรื่องที่กำลังจะเดินทางออกจากเมืองจันทราพร้อมกันฉินอวี้โม่ เด็กหญิงตัวน้อยจึงไม่คิดจะปกปิดป้าไช ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าวันนี้ป้าไชจะไม่มา นางก็คิดจะไปบอกเรื่องนี้ก่อนจะออกเดินทางอยู่แล้ว

“ออกไปจากที่นี่อย่างนั้นรึ ?!”

ป้าไชอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน ทว่าในพริบตาท่าทีของหญิงชราเปลี่ยนไป ราวกับว่านางนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบกล่าว “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เจ้ารีบไปที่ลานกลางหมู่บ้านพร้อมกับข้าดีกว่า ยิ่งเจ้าไปช้าก็ยิ่งอันตราย”

โดยไม่รอให้เสี่ยวเหยียนได้เอ่ยตอบ หญิงมากอาวุโสนามว่าป้าไชก็รีบฉุดแขนเล็ก ๆ ของเด็กน้อยแล้วออกวิ่งในทันที

“ป้าไช เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ เหตุใดท่านถึงได้ดูร้อนรนถึงเพียงนั้น ?”

ด้วยมือที่แข็งแรงบวกกับท่าทางร้อนรุ่มรีบเร่งนั้น เสี่ยวเหยียนจึงต้องยอมติดตามนางไปอย่างไร้หนทาง สาวน้อยกลัวว่าหากตนดื้อดึงต่อต้านไม่ยอมเดินตามแรงนั้นไปจะทำให้มือของป้าไชเจ็บได้

เมื่อฉินอวี้โม่เห็นเสี่ยวเหยียนถูกป้าไชทั้งลากทั้งจูงไปเช่นนั้น นางก็ส่ายศีรษะก่อนจะปิดประตูแล้วรีบตามไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสตรีชราไม่ได้มีเจตนาเลวร้าย ท่าทางของนางเพียงแต่เป็นกังวลและหวาดหวั่นมาก และด้วยอากัปกิริยาเช่นนั้นของป้าไช อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงอยากรู้ว่ามีสิ่งร้ายแรงใดกำลังเกิดขึ้น

“นี่เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าตอนนี้มีอสูรมายาดุร้ายฝูงใหญ่กำลังบุกโจมตีเมืองของเรา ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านกำลังช่วยกันต้านพวกมันไว้อยู่ หัวหน้าหมู่บ้านสั่งการให้พวกเราทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานกลางหมู่บ้านเพื่อจะได้ดูแลความปลอดภัยของทุกคนได้ทั่วถึง เราต้องรวมตัวกันไว้อย่าได้แยกออกไปจากกลุ่มเด็ดขาด”

ป้าไชบอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่สองเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด แม้ว่านางจะดูชราแต่ทว่าก็วิ่งได้เร็วเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นยังดูเหมือนจะไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

“อสูรมายาบุกโจมตีเมืองงั้นหรือ ?!”

เสี่ยวเหยียนตกใจมาก

ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่มีอสูรมายาบุกโจมตีเมืองมาก่อน

ป่าที่อยู่ใกล้เมืองจันทรามากที่สุดก็คือป่าทางทิศใต้ แม้จะกล่าวว่าใกล้ที่สุดแต่ก็ยังห่างออกไปหลายสิบลี้ ตามปกติแล้ว อย่าว่าแต่โจมตีเมืองเลย แค่มีอสูรออกมาจากป่าหรือมาเข้าใกล้เขตเมืองสักตัวก็แทบจะไม่มีปรากฏให้เห็น

“ใช่ ข้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้มีอสูรมายาฝูงใหญ่พุ่งตรงเข้ามาในเมืองของเราแล้วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง โชคดีที่ในเวลานั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังลาดตระเวนอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้หยุดยั้งพวกมันไว้ได้ชั่วคราว หาไม่แล้วตอนนี้เมืองของเราคงจะพังพินาศไปหลายส่วนแล้ว”

ป้าไชพยักหน้า ตอนนี้พวกนางใกล้จะถึงลานกลางหมู่บ้านแล้ว

“รีบเข้าไปเถอะ”

ในที่สุดป้าไชก็ปล่อยมือจากแขนของเสี่ยวเหยียน หลังจากเป็นอิสระ เสี่ยวเหยียนก็รีบวิ่งไปหาฉินอวี้โม่ที่ตามมาด้านหลังก่อนจะจูงมือนางเข้าไปในลานกลางหมู่บ้านด้วยกัน

ณ ลานกลางหมู่บ้าน ในขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจำนวนมาก สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว

เมื่อเห็นป้าไชและเสี่ยวเหยียนปรากฏตัว ทุกคนในลานกว้างก็ดูจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

ในเมืองจันทราแห่งนี้มีคนอยู่ไม่มาก หากนับรวมทั้งหมดแล้ว เมืองเล็ก ๆ นี้มีประชากรอยู่ประมาณหนึ่งร้อยครัวเรือนเท่านั้นและนั่นทำให้ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็จดจำกันและกันได้

“เหตุใด จู่ ๆ เจ้าพวกบ้าคลั่งนั่น ถึงบุกมาโจมตีหมู่บ้านของเราได้ ?”

ใบหน้าของชายผู้นั้นดูโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ในฐานะที่เป็นบุรุษเขาควรจะออกไปยืนอยู่แนวหน้าต่อสู้กับอสูรมายาเพื่อปกป้องชาวบ้าน ทว่าตัวเขาเองกลับอ่อนแอเกินไป ระดับพลังของเขาอยู่เพียงขอบเขตทูตสวรรค์ หากต้องเผชิญหน้ากับอสูรมายาจำนวนมากเช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเสียเปล่า

“ใช่ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น นี่มันไม่ปกติแล้ว”

บุรุษอีกคนส่งเสียงออกมาด้วยความโกรธปนกังวล

บนร่างของเขาปรากฏบาดแผลขนาดใหญ่ เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูแล้วเขาน่าจะเพิ่งรับมือกับอสูรมายาเหล่านั้นมา

“อสูรมายาที่บุกมา แค่ระดับต่ำสุดก็เป็นถึงอสูรสวรรค์แล้ว ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ต้องพูดถึง โน่น… อยู่ในระดับจ้าวพิภพโน่น ถ้าข้าวิ่งช้ากว่านี้อีกสักนิดก็คงได้ล่วงหน้าไปปรโลกแน่”

บุรุษอีกคนที่มีสภาพยับเยินไม่ต่างกันส่งเสียงอย่างขนลุกขนพอง

เขาคือบุคคลโชคร้ายผู้ซึ่งอยู่บริเวณนั้นพอดีในตอนที่อสูรมายาบุกมา

หากไม่ใช่เพราะวิ่งหนีได้อย่างรวดเร็ว เขาก็คงจะถูกอสูรมายาสังหารไปแล้ว แต่ถึงแม้จะหนีได้ทันทว่าคนผู้นี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บที่รุนแรง

“เหอะ ! น่าเสียดายที่พวกเราอ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นพวกเราก็คงไปช่วยรับมือได้ ต้องเอาแต่หลบซ่อนอยู่ที่นี่เฉย ๆ เป็นเต่าหดหัวทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ แค่คิดก็โมโหจะแย่แล้ว”

อีกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ทว่าเขาเองก็อับจนปัญญา ไม่อาจจะช่วยสิ่งใดได้

หากพวกเขาออกไปในตอนนี้ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นตัวถ่วงให้กับคนอื่น ๆ จนทุกอย่างเลวร้ายลงด้วย

เวลานี้ ความเดือดดาล หวาดหวั่น และวิตกกังวลกำลังครอบงำฝูงชนทั้งหมด แม้จะเห็นคนแปลกหน้าอย่างฉินอวี้โม่แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ทุกคนเพียงมองดูนางด้วยสายตาสงสัยชั่ววูบก่อนจะกลับไปจดจ่ออยู่กับสถานการณ์วิกฤตดังเดิม

ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าเร่งรีบเสียงหนึ่งก็ดังใกล้เข้ามา

จากนั้นทุกคนก็เห็นบุรุษวัยกลางคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดปรากฏขึ้น สภาพของเขาดูน่าอนาถยิ่งนัก ใบหน้าซีดเซียวคล้ายซากศพ หากไม่เห็นเลือดสด ๆ ที่ยังคงไหลออกมาจากบาดแผลไม่ว่าผู้ใดก็ต้องคิดว่าเขาคือร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกเสก

“ท่านปลอดภัยหรือไม่ ผู้อาวุโสหลิว ?”

เมื่อเห็นบุรุษวัยกลางคนปรากฏตัว ทุกคนก็ตกใจไม่น้อย ทว่าทุกคนก็ยังคงเข้าไปช่วยพยุงเขาเข้ามา

ผู้อาวุโสหลิวคือหนึ่งในผู้อาวุโสของหมู่บ้านจันทรา เขาเป็นบุรุษใจดีและเป็นมิตรมากผู้หนึ่ง และก็เป็นคนที่ชาวบ้านรู้จักดีด้วย เมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก ทุกคนก็รู้สึกใจหายในทันที

“ข้าไม่เป็นอะไร ข้าแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

ผู้อาวุโสหลิวส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ “สถานการณ์ด้านนอกเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ข้ากลับมาก็เพื่อจะปกป้องทุกคนที่นี่ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ให้พวกมันเข้ามาในลานกลางหมู่บ้านของเราได้”

แม้ใบหน้าจะซีด แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังดูแน่วแน่และมุ่งมั่นอย่างล้นเหลือ

ผู้อาวุโสหลายคนรวมถึงตัวหัวหน้าหมู่บ้านต่างก็รับมือกับอสูรมายาฝูงใหญ่กันอยู่ในขณะนี้ และหลายคนก็เริ่มได้รับบาดเจ็บหนักแล้วด้วย

แม้ว่าพวกเขาจะสังหารอสูรมายาไปได้หลายตัว แต่อสูรมายาเหล่านั้นดุร้ายเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีจำนวนมาก ทว่าแต่ละตัวยังร้ายกาจและกระหายเลือด หากปล่อยให้เข้ามาภายในเมืองได้คงไม่พ้นต้องเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเป็นแน่

หลัวซิง หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านจันทรา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เขาจึงขอให้ผู้อาวุโสหลิวกลับมาเพื่อนคอยป้องกันประตูทางเข้าลานกลางหมู่บ้านเอาไว้ ส่วนคนอื่น ๆ เลือกที่จะต่อสู้กับอสูรมายาอย่างสุดชีวิต ทุกคนพร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลกขอเพียงรักษาบ้านเมืองไว้

“บัดซบ ! พวกเราต้องรีบออกไปช่วย พวกเราต้องไปจัดการไอ้พวกอสูรมายาพวกนั้น”

เมื่อเห็นสภาพของผู้อาวุโสหลิว ทุกคนก็จินตนาการถึงสภาพของหัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสคนอื่นได้ไม่ยาก บุรุษคนหนึ่งลุกขึ้นมาก่อนจะรีบเดินออกไปด้านนอกด้วยใบหน้าคับแค้น

หลายคนเมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้นก็พากันลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้าออกไปอย่างแน่วแน่

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก และถึงแม้ออกไปแล้วต้องตาย แต่พวกเขาก็ทนดูคนในหมู่บ้านถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ พวกเขาเองยังมีสองมือสองเท้า ดังนั้นก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง

“เหลวไหล !”

ผู้อาวุโสหลิวตวาดลั่นก่อนจะรีบไปขวางทางออกลานกลางหมู่บ้านเอาไว้ไม่ให้คนพวกนั้นออกไป

“หากออกไปพวกเจ้าก็จะตายอย่างสูญเปล่า ที่หัวหน้าหมู่บ้านเอาตัวเข้าแลกก็เพื่อให้พวกเจ้าได้รอดชีวิต ถ้าพวกเจ้าออกไปตอนนี้ก็เท่ากับทำให้ความพยายามของหัวหน้าหมู่บ้านกลายเป็นสิ่งไร้ค่า !”

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสหลิว หลายคนก็หยุดชะงัก ทว่าใบหน้าของพวกเขายังมีความโกรธแค้นฝังอยู่

“ผู้อาวุโสหลิว จะให้พวกเราทนดูอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าอสูรมายาพวกนั้นดุร้ายมาก ถ้าไม่หยุดพวกมันไว้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราทุกคนก็ไม่รอดอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้ออกไปปะทะให้สมเป็นลูกผู้ชายเสียยังดีกว่า !”

บุรุษผู้หนึ่งโพล่งเสียงดัง เขารู้สึกเหลืออดแล้วจริง ๆ เขาทนอยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากวันนี้พวกหัวหน้าหมู่บ้านต้องตายไปโดยที่พวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือสิ่งใดเลย เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต

ด้วยสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้ ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วทุกคนคงต้องตายหมดแน่

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้กวาดสายตาสำรวจดูผู้หญิงและเด็ก รวมถึงคนที่อ่อนแอ ผู้อาวุโสหลิวก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

“พวกเราจะปล่อยให้ทุกคนในหมู่บ้านตายหมดไม่ได้ ในเมื่อพวกเจ้ามีความสามารถ เช่นนั้นก็จงคุ้มกันคนอื่น ๆ ออกไปให้ได้ รักษาเลือดเนื้อของชาวจันทราเราไว้ เท่านี้ก็ถือว่าความพยายามของหัวหน้าหมู่บ้านไม่สูญเปล่า”

วาจาของผู้อาวุโสหลิวทำให้เหล่าคนที่ต้องการจะออกไปก่อนหน้านี้หยุดชะงักไปอีกครั้ง

พวกเขาหันหน้ากลับมามองบุคคลผู้อยู่แนวหลัง ที่ซึ่งมีทั้งคนชรา เด็ก และสตรี บ้างก็กระวนกระวาย บ้างก็กำลังยืนตัวสั่นด้วยความกลัว เด็กหลายคนตัวเล็กกว่าเสี่ยวเหยียนด้วยซ้ำไป

เป็นจริงอย่างที่ผู้อาวุโสหลิวกล่าว พวกเขาตายนั้นไม่สำคัญแต่ขอให้คนเหล่านี้ได้รอดชีวิตไปก็เพียงพอแล้ว เด็ก ๆ ทั้งหลายถือเป็นความหวังของหมู่บ้าน พวกเขาควรมีโอกาสได้เติบโตและก้าวหน้า อย่างน้อยก็ควรจะรักษาชีวิตของเด็ก ๆ ไว้ให้ได้

คนเหล่านั้นกัดฟันแน่นพร้อมกับพยักหน้าอย่างแน่วแน่

“ผู้อาวุโสหลิวไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะสู้จนตัวตาย พวกเราจะปกป้องทุกคนไว้ให้ได้”

เมื่อเห็นท่าทียินยอมของเหล่าคู่เจรจาเลือดร้อน ผู้อาวุโสหลิวก็พยักหน้าท่าทางโล่งอก

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าอยู่ในสายตาของฉินอวี้โม่โดยตลอด เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้นางซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

คุณหนูสี่เพิ่งจะมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้เพียงครึ่งเดือน อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมานางก็เอาแต่เก็บตัวฝึกฝนทำให้ไม่มีโอกาสได้พบปะผู้คนในหมู่บ้าน ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นการพบหน้าทุกคนเป็นครั้งแรกแต่นางก็สัมผัสได้ว่าชาวบ้านที่นี่เป็นคนดี

และเมื่อคนดี ๆ เหล่านี้กำลังประสบพบเจอความเดือดร้อน ไฉนเลยนางจะทนอยู่เฉยได้

“พี่อวี้โม่…”

เสี่ยวเหยียนเดินเข้าหาฉินอวี้โม่ก่อนจะจับแขนของนางและพยายามจะกล่าวบางสิ่ง

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กลับยิ้มออกมาและหยุดสาวน้อยไว้เสียก่อน

“เสี่ยวเหยียน ข้าขอมอบหน้าที่ปกป้องทุกคนให้เจ้า ส่วนข้าจะขอออกไปดู ‘ข้างนอกนั่น’ เสียหน่อย”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเหยียนก็พยักหน้าด้วยท่าทางโล่งใจคล้ายยกภูเขาใหญ่ออกจากอก

ตอนนี้ฉินอวี้โม่คือจอมยุทธ์จ้าวพิภพ ดังนั้นแล้วหากนางยื่นมือเข้าช่วยก็น่าจะทำสิ่งใดได้บ้าง แม้ว่าเสี่ยวเหยียนจะนึกเป็นห่วงฉินอวี้โม่ไม่น้อย ทว่าสาวน้อยก็เชื่อมั่นในตัวพี่สาวผู้นี้

เด็กหญิงกำพร้าเชื่อว่าขอเพียงมีฉินอวี้โม่อยู่ด้วย หมู่บ้านของนางจะต้องแคล้วคลาดปลอดภัย

เมื่อได้ยินเสียงปริศนาเอ่ยประโยคแปลกประหลาด ผู้อาวุโสหลิวก็ชะงักกึก ในทันทีที่เขาหันไปตามเสียงนั้นก็ได้พบกับใบหน้าของสตรีงดงามที่ไม่คุ้นหน้า

“เสี่ยวเหยียน แม่นางผู้นี้คือ… ?”

“นางคือพี่สาวของข้าชื่อว่าฉินอวี้โม่”

เสี่ยวเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนภาคภูมิ

“แม่นาง ข้าต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เจ้าเองก็เตรียมหนีไปกับพวกเขาเถิด พวกเราจะคอยคุ้มกันให้เจ้าเอง”

ผู้อาวุโสหลิวกล่าว ประโยคนั้นของเขาก่อกำเนิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นในใจฉินอวี้โม่

.