ตอนที่ 392 แต่งตั้ง
ด้วยวิธีรักษาพิษหนอนกู่ในครั้งนี้ทำให้หมอหลวงในวังได้เห็นถึงความสามารถของพระชายามู่ ต่อให้ฮ่องเต้มิแต่งตั้งนาง อันหลิงเกอก็กลายเป็นตำนานของสำนักหมอหลวงไปแล้ว
ทว่าภายในจวนอ๋องอี้ดูมิค่อยสมัครสมานสามัคคีกันสักเท่าไร
“พี่สาวเก่งกว่าเจ้ามากทีเดียว ! ” อี้หวางเฟยที่จริงมิใช่คนร้ายกาจอันใด แต่นางทำใจชอบอันหลิงอีมิลงจริง ๆ
“หมู่เฟยกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” สีหน้าของอันหลิงอีมิสู้ดี แต่ก็ทำได้เพียงแสร้งยิ้มออกมา
“เกินไปหรือไม่เจ้าน่าจักรู้ดี ! ”
ทุกวันนี้อี้หวางเฟยถือว่าพอใจต่อการวางตัวที่สงบเสงี่ยมของอันหลิงอีพอสมควร แต่เมื่อได้ยินข่าวของอันหลิงเกอก็อดรู้สึกผิดหวังกับคุณหนูสามของจวนโหวมิได้
เป็นบุตรีที่มาจากจวนเดียวกันแท้ ๆ ทว่าบุตรสาวภรรยาเอกกับบุตรสาวอนุภรรยาช่างแตกต่างกันยิ่งนัก !
“หมู่เฟยรังเกียจข้าถึงเพียงนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าภายภาคหน้าท่านต้องพึ่งพาข้าและซื่อจื่อในยามแก่ชราเจ้าค่ะ” อันหลิงอีมิได้ถ่อมตน ยิ่งพอได้ยินผู้อื่นกล่าวถึงอันหลิงเกอ นางก็ทนเก็บโทสะไว้มิอยู่
“เจ้า ! เจ้าขู่ข้างั้นหรือ ? ” อี้หวางเฟยคาดมิถึงว่าอันหลิงอีกล้ากล่าวกับนางถึงเพียงนี้
ช่างมิรู้จักที่ต่ำที่สูง !
“ข้ามิกล้าเจ้าค่ะ” อันหลิงอียังมิยอมเปลี่ยนแปลงตนเอง มิหนำซ้ำยังลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกไปทันที
“เด็กเด็ก ฮูหยินซื่อจื่อก้าวร้าวต่อข้า ลากนางไปลงโทษตามกฎของจวน 50 ไม้ ! ” อี้หวางเฟยที่จริงมิได้เป็นคนใจร้าย เพียงแต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอคนอย่างอันหลิงอี พอความโกรธปะทุขึ้นมาก็ยากทำให้สงบได้โดยง่าย
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อช่วยข้าด้วย ! ”
ผู้ใดจักคิดว่าคนไร้มารยาทเยี่ยงอันหลิงอีจักกล้าวิ่งหนีไปทั้งอย่างนี้
อี้ซื่อจื่อกำลังจับผีเสื้ออยู่ในสวนก็โดนนางถลาเข้าใส่ จากนั้นนางก็ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังของเขา
“ท่านแม่ ท่านแม่ เกิดอันใดขึ้นขอรับ” อี้หมิงฉีกยิ้มเช่นคนโง่งม จากนั้นก็สะบัดตัวออกแล้ววิ่งไปอยู่ข้างกายของอี้หวางเฟย
อันหลิงอีที่ไร้ใครมาช่วยขวางแล้วจึงถูกสาวใช้พาตัวไปทันที
“หวางเฟย หมู่เฟย ท่านทำกับข้าเช่นนี้มิได้ ! ”
โบย 50 ไม้ หากโบยเสร็จนางต้องพิการเป็นแน่
“ซื่อจื่อช่วยอีเอ๋อด้วยเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงอียังคิดขัดขืน แต่อี้หมิงเดินจากไปพร้อมอี้หวางเฟยเสียแล้ว ตอนนี้จึงเหลือเพียงเหล่าสาวใช้ยืนล้อมนางไว้
ไม่ ไม่นะ !
แค่เรื่องความดีความชอบของอันหลิงเกอถูกส่งมา เหตุใดนางต้องได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ด้วย !
เพราะอันหลิงเกอ ทั้งหมดเป็นเพราะมันคนเดียว !
ขณะที่อันหลิงอีกำลังจมอยู่กับความเจ็บปวด อันหลิงเกอก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้ง ทุกคนในเมืองหลวงก็ทราบว่าพระชายามู่ของพวกตนกลายเป็นวีรสตรีไปแล้ว
ส่วนเรื่องดวงกินสามีที่แพร่ออกมาก่อนหน้านี้ก็จางหายราวกับมิเคยเกิดขึ้น
“เหตุใดพระชายาจึงมิมาทานอาหารค่ำ ? ” มู่จวินฮานมองอาหารที่เหลือในจาน จากนั้นก็หันไปมองเงาคนที่อยู่ด้านหลังฉากกั้น นางเหมือนกำลังหลับอยู่
“เรียนท่านอ๋อง วันนี้พระชายาปวดศีรษะจึงหลับไปนานกว่าปกติเจ้าค่ะ” หมิงซินเป็นคนตอบขึ้นมา
ปวดศีรษะหรือ ?
มู่จวินฮานเดินเข้าไปด้านในแล้วเปิดม่านออก
เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอที่ดูอ่อนแรงอย่างมาก ริมฝีปากของนางก็ซีดเซียว
“ไปตามท่านหมอเร็วเข้า ! ”
มู่จวินฮานรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจึงรีบโอบกอดนางเอาไว้แล้วใช้เสื้อคลุมของตนคลุมตัวนาง จัดให้นางพิงที่หัวเตียงระหว่างรอท่านหมอ
“เรียนท่านอ๋อง พระชายาโดนพิษขอรับ”
โดนพิษ ?
มู่จวินฮานตกตะลึงทันที เป็นไปได้อย่างไร ?
นางอยู่ในวังเพื่อจัดการเรื่องนี้แล้วจักถูกพิษได้เยี่ยงไร?
“ข้าน้อยคิดว่าเป็นพิษงูขอรับ”
พิษงูน่ะหรือ ? เด็กโง่นี่ !
มู่จวินฮานนึกออกทันทีเพราะหลายวันมานี้พวกเขาใช้พิษงูในการทำยา อันหลิงเกอคงโดนเขี้ยวงูข่วนบริเวณผิวหนังเป็นแน่ แต่นางมิได้ใส่ใจกอปรกับการทำงานหนักมาหลายวัน พิษจึงสะสมในร่างกายเช่นนี้
“ตอนนี้ควรทำเช่นไร ? ” มู่จวินฮานขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาเป็นห่วงอันหลิงเกอแทบขาดใจ
“ท่านอ๋องมิต้องกังวล ประเดี๋ยวข้าน้อยจักไปนำบัวหิมะมา จากนั้นก็ต้มดื่มและเพียงสามวันพระชายาย่อมอาการดีขึ้นขอรับ”
“สามวันเชียวหรือ ? ” หมายความว่านางจักมิได้กินได้ดื่มนานถึงสามวัน !
“ใช่ขอรับ” ใบหน้าของท่านหมอมีเหงื่อผุดขึ้นมาทันที ผู้ใดจักคิดว่าพระชายามู่ที่มีความดีความชอบใหญ่หลวงกลับล้มป่วยลงเช่นนี้
“ชิงเฟิง เจ้านำม้าพันลี้ของข้าแล้วพาท่านหมอกลับไปนำยาที่จวนมาเดี๋ยวนี้ ! ”
ต้องรวดเร็ว !
มิอาจปล่อยให้นางทรมานเช่นนี้ได้ !
“ขอรับ”
ชิงเฟิงรีบพาท่านหมอออกไป แต่ผู้ที่อยู่บนเตียงจนบัดนี้ก็ยังมิลืมตาขึ้นมา
ตอนที่ท่านหมอย้อนกลับมาอีกครั้งก็มีอีกผู้หนึ่งติดตามมาด้วย เป็นแม่นางคนหนึ่งที่มีอายุน้อยกว่ามู่จวินฮาน
“นางคือหลานสาวของข้าน้อยมีนามว่าฟางซู่ซู่ ช่วงนี้ข้าน้อยจักให้นางมาคอยดูแลพระชายาขอรับ” เมื่อกล่าวจบท่านหมอฟางก็จากไปทันที ทว่ายามหันกลับไปแววตาของเขาคล้ายมีแผนการบางอย่างแฝงอยู่
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยจักเปลี่ยนผ้าเย็นให้พระชายาเองเจ้าค่ะ” ยามนี้ร่างกายของอันหลิงเกอร้อนราวกับไฟจึงต้องคอยเปลี่ยนผ้าเย็นตลอดเวลา อาการจึงสามารถทุเลาลง
“อืม” มู่จวินฮานมิได้เหลียวมองนางแม้แต่น้อยเพราะคอยสังเกตอาการของอันหลิงเกอตลอดเวลา
“ท่านอ๋อง ผ่านมาสองวันแล้ว ท่านทานอันใดบ้างเถิดเจ้าค่ะ” ฟางซู่ซู่เอ่ยอย่างเป็นกังวล
สองวันมานี้อันหลิงเกอยังหมดสติอยู่จึงทำให้มู่จวินฮานทานอันใดมิลง
“มิเป็นไร” เสียงของมู่จวินฮานแหบแห้งเล็กน้อยจนคนมองอดเป็นห่วงมิได้
ทว่าตัวเขาหาได้ใส่ใจเพราะเขารู้ดีว่าอันหลิงเกอตัดสินใจเข้าวังก็เพื่อช่วยเขา
สตรีที่ฉลาดและหวงแหนชีวิตเช่นนี้กลับมิสนใจสิ่งใด มิว่านางทำเพราะเป็นห่วงราษฎรหรือทำเพื่อช่วยเขาก็ล้วนต้องซาบซึ้งใจในสิ่งที่นางทำทั้งสิ้น
“อืม…”
เมื่อถึงคืนวันที่สองนี้เอง อันหลิงเกอก็ลืมตาขึ้นมา
มู่จวินฮานคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของนาง ส่วนฟางซู่ซู่ก็มิได้จากไปไหนเช่นเดียวกัน
“พระชายา พระชายาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ! ”
“เกอเอ๋อ” ดวงตาแดงก่ำของมู่จวินฮานทำให้คนมองอดสงสารมิได้ อันหลิงเกอยื่นมือไปลูบที่ระหว่างคิ้วของเขา
แต่นางเพิ่งฟื้นจึงยังมิค่อยมีแรงเท่าใดนัก
“ข้าเป็นอันใด…” นางจำได้เพียงว่านอนหลับไป จากนั้นก็ปวดเมื่อยไปทั้งกาย
บัดนี้พอตื่นขึ้นมากลับมีสตรีที่นางมิรู้จักมาอยู่ตรงหน้าและมองจากสีหน้าของมู่จวินฮานก็ทำให้รู้ว่าเขากังวลมากเพียงใด
“มิมีอันใดหรอก เจ้าแค่หลับไปเท่านั้น” มู่จวินฮานมิได้กล่าวสิ่งใด ฟางซู่ซู่ที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกแปลกใจแต่มิได้กล่าวอันใดออกมา
ดูท่าทางแล้วท่านอ๋องคงรักพระชายามากเหลือเกิน เช่นนั้นนางและเขาก็มิควร…
ทว่าเมื่อย้ายกลับมาจวนอ๋องมู่แล้ว ทั้งหมดก็มิใช่สิ่งที่นางสามารถตัดสินใจเองได้
อันหลิงเกอฟื้นมาได้สองวัน ตามท้องถนนก็มีข่าวลือออกมา
“หลานสาวของท่านหมอฟางช่วยชีวิตพระชายามู่เอาไว้ ! ”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าท่านอ๋องยอมแต่งนางเข้าจวนด้วย”
“โอ้ ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ ”
ข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปย่อมมีคนตั้งใจปล่อยเป็นแน่และมู่จวินฮานแม้ยังมิได้สืบก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร
“ท่านหมอฟางมีแผนการแยบยลเสียจริง แม้แต่เปิ่นหวางก็ยังกล้าใส่ร้ายเยี่ยงนี้ ! ” มู่จวินฮานขบกรามแน่น หากเป็นยามปกติเขาคงมิมีทางติดกับเช่นนี้หรอก
แต่เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องความวุ่นวายที่จักเกิดขึ้นและถ้าคนนอกเข้าใจผิดก็อาจตำหนิอันหลิงเกอว่าเป็นสตรีร้ายกาจมิรู้จักบุญคุณคน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มู่จวินฮานตกอยู่ในสภาวะกลืนมิเข้าคายมิออก