ตอนที่ 393 กลืนมิเข้าคายมิออก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 393 กลืนมิเข้าคายมิออก

“ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยแค่คิดแผนการให้หลานสาวเท่านั้น หวังว่าท่านอ๋องจักเข้าใจความวุ่นวายใจของข้าน้อยด้วยขอรับ”

แม้ท่านหมอฟางจักคุกเข่าอยู่ที่พื้นแต่มิได้มีท่าทีอ่อนน้อมเลย

เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

“เยี่ยงนั้นหรือ” มู่จวินฮานแค่นหัวเราะออกมา มองมิออกว่ากำลังโกรธหรืออารมณ์ดีกันแน่

“ท่านอ๋อง” อันหลิงเกอเดินออกมา สองวันนี้ร่างกายของนางฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและต้องขอบคุณแม่นางฟางผู้นั้น

แม้อันหลิงเกอทราบว่าทั้งหมดคือหลุมพราง ทว่านางจักทำอันใดได้ ?

เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องแต่งสตรีอีกคนเข้ามาเท่านั้น

“ท่านอ๋องรับคำไปเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยังกล่าวมิทันจบ แค่ครึ่งประโยคที่เอ่ยออกมาก็สามารถทำให้มู่จวินฮานโมโหได้แล้ว

“เจ้าให้รับคำอย่างนั้นหรือ ? ”

นางมิสนใจสักนิดเลยหรือ?

แม้เขาแต่งผู้หญิงเข้ามาอีกคนก็มิสนใจหรือไร ?

“ท่านอ๋อง…”

“ได้ ! ในเมื่อฟางซู่ซู่ช่วยชีวิตพระชายาเอาไว้ เปิ่นหวางก็จักรับนางมาเป็นสนม ! ”

มู่จวินฮานกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป หัวใจของอันหลิงเกอก็ปวดร้าวตามไปด้วยเช่นกัน

นางมิได้หมายความเช่นนั้น…

เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ไร้วิธีอื่น ใจของนางจักยินยอมแบ่งปันสามีกับสตรีอื่นได้เยี่ยงไร ?

นางทราบถึงความร้ายกาจของหลี่ซื่อตั้งแต่เด็ก และนางก็รู้ว่าระหว่างสามีภรรยาหากมีคนเพิ่มเข้ามาแล้ว ระหว่างทั้งคู่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

มิมีทางรู้ได้เลยว่าฟางซู่ซู่จักเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงพวกนางหรือไม่

ท่านอ๋องมู่สมรสได้มิทันไรก็รับสนมเข้ามาเสียแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนัก

“ท่านอ๋องมู่โชคดีเสียจริง ! ”

“ใช่แล้ว ด้านหนึ่งก็มีคุณหนูใหญ่อันที่งดงามราวเทพธิดา อีกด้านก็มีทายาทตระกูลฟางที่เป็นหมอมากความสามารถมาหลายชั่วอายุคน”

มู่จวินฮานได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็มิได้รู้สึกดีเลย ภายในใจของเขายังน้อยใจที่พระชายามิเคยหึงหวงกันแม้แต่น้อย

คืนนี้เป็นคืนเข้าหอระหว่างเขากับฟางซู่ซู่ ทว่าภายในจวนมิได้มีความยินดีเกิดขึ้นเลย

“ท่านอ๋อง มิต้องจัดงานหรือขอรับ ? ”

“มิต้อง”

ในเมื่อฟางซู่ซู่คิดอุบายเพื่อได้แต่งเข้ามา นางก็ต้องยอมรับผลเยี่ยงนี้ด้วย

“ขอรับ”

ฟางซู่ซู่นั่งรออยู่ที่เรือนอย่างมีความสุข นางได้เห็นว่าท่านอ๋องใส่ใจพระชายามากเพียงใดจึงพาลคิดว่าตนก็คงได้รับการปฏิบัติมิต่างกัน

แต่คาดมิถึงว่าคืนนี้นางต้องอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง

“แม่นางซู่ซู่ คืนนี้ท่านอ๋องมิมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งมาแจ้งข่าวให้นางทราบ

การที่ท่านอ๋องนอนในห้องหนังสือก็แสดงให้เห็นว่าแม้เขากับอันหลิงเกอกำลังระหองระแหงกันอยู่ เขาก็จักมิปันใจให้หญิงอื่นเด็ดขาด

“ช่างเถิด” ฟางซู่ซู่สูดหายใจเข้าลึก บางครั้งการรอคอยก็ทำให้คนกลายเป็นบ้าได้เหมือนกัน

ดั่งเช่นนางในยามนี้

ทันใดนั้นภายในใจของนางก็เกิดความอิจฉาแบบมิเคยเป็นมาก่อนแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความริษยา

พิธียกน้ำชาในเช้าวันที่สอง ท่านอ๋องเข้าวังไปแล้วโดยมิอยู่เจอหน้านางด้วยซ้ำ

“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของฟางซู่ซู่ดูมีความสุข แต่ทั้งจวนต่างรู้ดีว่าเมื่อคืนท่านอ๋องมิเหยียบเข้าไปในเรือนของนางด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องสุรามงคลยิ่งมิต้องกล่าวถึง

“อืม ลุกขึ้นเถิด มิต้องคุกเข่าหรอก”

อันหลิงเกอมิได้เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียม วันนี้นางแค่ต้องการรู้จักฟางซู่ซู่สักหน่อยเท่านั้น

นางอยากรู้ว่าผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลังและผู้ใดที่คอยหนุนหลังเรื่องเยี่ยงนี้ ?

แค่หมอธรรมดาคนหนึ่งมิมีทางสร้างข่าวลือให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ถึงเพียงนั้นหรอก

เรื่องที่คนรู้กันทั่วเมืองหลวง มองก็รู้ว่าท่านหมอฟางมิมีทางทำได้เพียงคนเดียว

“ก่อนหน้านี้ท่านปู่เคยบอกข้าว่าพระชายาเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ” ฟางซู่ซู่รู้จักเจรจา

“อืม”

อันหลิงเกอมิได้ตอบอันใดมากความ นางเพียงพยักหน้าแล้วรับชาของอีกฝ่ายมาสัมผัสที่ริมฝีปากและสูดดมเบา ๆ

“ก่อนหน้านี้เจ้าคงมิเคยพบท่านอ๋องมาก่อน ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถาม

ฟางซู่ซู่ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจักพยักหน้าเพราะเรื่องนี้ย่อมโกหกมิได้อยู่แล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงฝืนแต่งเข้าจวนให้ได้ ? ” น้ำชาค่อนข้างร้อน อันหลิงเกอจึงวางถ้วยลงแล้วมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า

ปากเรียวเป็นกระจับ ฟันเรียงสวยและอยู่ในวัยที่เหมาะสมจักออกเรือน

“*เชี่ยเซิน…” ฟางซู่ซู่กัดริมฝีปากแน่นเพราะภายในใจรู้สึกตระหนกขึ้นมา

“เชี่ยเซินทำตามที่ครอบครัวบอกเจ้าค่ะ”

สุดท้ายนางคงกล่าวออกมาได้เพียงเท่านี้ แต่ความจริงแล้วระหว่างสองวันที่ได้ดูแลพระชายาและได้อยู่ใกล้ท่านอ๋องก็ทำให้นางเกิดความรู้สึกหวั่นไหวจนเปลี่ยนเป็นความชอบขึ้นมา

เพียงแต่นางมิกล้ากล่าวมันต่อหน้าอันหลิงเกอ

“อืม” อันหลิงเกอยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ได้ยินว่าปู่ของเจ้าก่อนเข้าวังเคยเป็นหมออยู่ในเขตอันตรายระหว่างแคว้นชิงเยว่และราชวงศ์ต้าโจวใช่หรือไม่ ? ”

“ใช่ ใช่…ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

ฟางซู่ซู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้น

“เจ้ามิต้องกังวล ข้ารู้ว่าเจ้าและปู่ต่างก็เป็นที่พึ่งของกันและกัน ทว่าการรักษาโรคระบาดครั้งที่ผ่านมา ข้ามิเคยเห็นปู่ของเจ้าในวังมาก่อนจึงถามออกมาเยี่ยงนี้” อันหลิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พยายามทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“ท่านปูออกจากวังได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นพระชายาจึงมิเคยพบมาก่อน แต่ท่านปู่เองก็อยากช่วยรักษาพิษหนอนกู่เจ้าค่ะ ! ”

หืม ?

แววตาของอันหลิงเกอเป็นประกายขึ้นมา นางยังมิได้กล่าวถึงเรื่องพิษหนอนกู่แม้แต่น้อย ดูท่าแล้วฟางซู่ซู่จักรู้เรื่องมิน้อยทีเดียว

เพราะข่าวในวังถูกปิดอย่างดี คนทั่วไปก็คิดว่าเป็นโรคระบาด แต่ท่านหมอฟางมิได้เข้าวังกลับรู้เรื่องพิษหนอนกู่ได้เยี่ยงไร ?

“ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มิทราบว่าเมื่อไรข้าจักเข้าไปคารวะเขาได้ ? ” ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอันหลิงเกอได้พบหน้าท่านหมอฟางครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งยังได้พบเขาในสถานการณ์รีบร้อนอีกด้วย

ตอนนี้ในจวนมิมีเรื่องอันใดแล้ว นางไปทำความรู้จักคนที่มาจากแคว้นชิงเยว่ผู้นี้บ้างดีกว่า

“ท่านปู่…” ฟางซู่ซู่คิดปฏิเสธ ทว่าอันหลิงเกอชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน

“อีกมิกี่วันเจ้าต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจักตามท่านอ๋องไปเยือนบ้านเจ้าด้วยแล้วกัน”

ภายในเมืองหลวง หากเป็นสนมแล้วภรรยาเอกติดตามสามีไปเยี่ยมบ้านด้วยจักถือเป็นเกียรติสูงสุดของผู้ที่เป็นสนมเลยก็ว่าได้

“เชี่ยเซินมิกล้าเจ้าค่ะ”

ท่าทีของฟางซู่ซู่ตื่นตระหนกอย่างมาก ดูมิเหมือนคนดีใจแม้แต่น้อย

“ช่างเถิด ค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน”

อันหลิงเกอมิได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก แต่นางมองออกว่าฟางซู่ซู่ต้องมีอันใดปิดบังไว้แน่นอน

ในเมื่อนางมองเรื่องนี้ออกก็เชื่อว่ามู่จวินฮานก็คงมองออกเช่นกัน

“ท่านอ๋องกลับมาหรือยัง ? ” ค่ำวันนั้นอันหลิงเกอเตรียมไปปรึกษาเรื่องของฟางซู่ซู่กับเขาเพื่อจักได้แก้ไขความเข้าใจผิดที่มีต่อกันด้วย

“เรียนพระชายา ท่านอ๋อง…” ชิงเฟิงเหลือบตามองไปยังห้องหนังสือ

“เขาทำไมหรือ ? ” อันหลิงเกอถามออกมาก็เห็นเงาของคนสองคนอยู่ภายในห้อง

ฟางซู่ซู่อยู่ด้วยหรือ ?

“พระชายาโปรดหยุดก่อนขอรับ” นางเพิ่งเดินผ่านชิงเฟิงก็ถูกเขาตามมาขวางเอาไว้

“ท่านอ๋องมีคำสั่งว่าห้ามผู้ใดเข้าไปขอรับ”

หืม ?

“หากข้าจักเข้าไปให้ได้ เจ้าก็ยืนกรานขวางข้าไว้หรือ ? ” อันหลิงเกอบีบขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่ในแขนเสื้อ นี่เป็นของที่นางเอาไว้เรียกองครักษ์เงาของตนและเพื่อเป็นการตบตาคนอื่นนางจึงเลือกใช้ของธรรมดาเช่นนี้แทนนกหวีด

“บ่าวมิกล้า เพียงแต่ที่นี่ยังเป็นจวนอ๋องมู่ ดังนั้นคำสั่งของท่านอ๋องจึงสำคัญที่สุดขอรับ”

อันหลิงเกอถึงขั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอยหลังกลับโดยมิดึงดันเข้าไปอีก

ในเมื่อชิงเฟิงกล้าขวางนางเช่นนี้ก็แสดงว่ามู่จวินฮานต้องการให้เป็นเช่นนั้น !

*เชี่ยเซิน คือ คำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของผู้หญิงจีนโบราณ