สำหรับคำเตือนด้วยความปรารถนาดีของหัวหน้ากลุ่มนักรบ จี้เทียนซิงพยักหน้าและเข้าใจ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณ
หัวหน้ากลุ่มนักรบไม่พูดจาให้มากความ เขาโบกมือแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับลูกน้องเพื่อลงไปที่ชั้นล่าง
จี้เทียนซิงเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มนักรบเหล่านี้ค่อนข้างหวาดกลัวชื่อเสียงของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตเป็นอย่างมาก ขนาดพูดถึงพวกมันย้องต้องกระซิบแผ่วเบา
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มไม่ทราบที่มาของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต เขาก็ตัดสินใจรีบออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้แน่นอนอยู่แล้ว
ในขณะนี้ตัวตนของเขาได้รับการเปิดเผยแล้ว และผู้ที่ต้องการชีวิตเขาจะต้องตามล่าไม่หยุดหย่อนเป็นแน่
“อีกสองวัน ดอกไม้ดาราแดงจะเบ่งบาน”
“ข้าจะฟื้นฟูที่นี่ก่อนในคืนนี้ จากนั้นก็รีบออกจากเมืองนี้ มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเย่โดยเร็วที่สุด”
จี้เทียนซิงมีแผนในใจ จากนั้นก็หยิบยาสมานแผลออกมาจากกระเป๋าเพื่อห้ามเลือดและรักษาแผล
หลังจากปิดบาดแผลเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ปิดประตูหน้าต่างและนั่งบนเตียงเพื่อควบแน่นปราณกระบี่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนศพของนักฆ่ามือหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต เขาขี้เกียจจะไปจัดแจงจึงปล่อยให้มันนอนตายอยู่เช่นนั้นต่อไป
หลังจากสามชั่วโมงผ่านไป ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างก็สว่างไสว
จี้ทำการควบแน่นปราณกระบี่ชุดใหม่เก็บไว้ที่จุดชีพจรหยางชื่อที่ข้อมือเรียบร้อยแล้ว
ในปัจจุบันเขามีปราณกระบี่เพียง 10 เล่มในร่างกายและความแข็งแกร่งโดยรวมก็ลดทอนลงไป 20 %
แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากมายและไม่มีเวลาที่จะควบแน่นปราณกระบี่ต่อไป จากนั้นเขาก็เก็บข้าวของพร้อมกับกระบี่มังกรโลหิตและออกจากโรงเตี๊ยมไลฟุอย่างเงียบงัน
เทือกเขาเย่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองและมีหุบเขาลึกที่ทางเข้า
หลังจากจี้เทียนซิงออกจากเมือง เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าเทือกเขาในทันที
สำหรับเขาแล้วตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการหลบหนีเข้าไปในเทือกเขา ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูเขาแต่มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะพักในเมืองไต้ห่าว
อย่างไรก็ตาม เทือกเขาเย่นั้นกว้างใหญ่ มันมีพืชพันธุ์หนาแน่นและเป็นป่าลึก
หากนักฆ่าของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตต้องการจะหาตัวเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันต้องหากันราวกับว่างมเข็มในมหาสมุทร
หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป จี้เทียนซิงก็เข้าสู่หุบเขาลึกขนาดใหญ่และลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขา
ทันทีที่เขาเข้ามาถึงเทือกเขาเย่ เขาก็สังเกตเห็นว่าอากาศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินที่อัดแน่นซึ่งทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง
ป่าทั้งสองด้านของหุบเขาเป็นสีเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน พื้นดินปกคลุมด้วยพืชหนาแน่นและดอกไม้
ในระหว่างที่จี้เทียนซิงเดินไปก็รู้สึกได้ถึงสายลมอ่อนโยนที่พัดมากระทบใบหน้า เขาฟังเสียงนกและสัตว์ป่าที่ดังออกมาจากภูเขาและป่าไม้ทั้งสองด้านก็ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“เทือกเขาเย่เต็มไปด้วยอันตราย แต่มันก็เป็นสถานที่ที่มีค่าที่เต็มไปด้วยพลังงานฟ้าดิน หากได้บ่มเพาะอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีย่อมสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว”
“เพียงแค่เข้าสู่เทือกเขาได้ไม่นานก็สดชื่นขนาดนี้แล้ว หากพบชีพจรวิญญาณในภูเขา มันยิ่งไม่น่าหลงใหลไปกว่านี้อีกหรือ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบกล่องเหล็กออกมาจากแขนเสื้อและหยิบเข็มทิศสื่อสารวิญญาณดาราจากในกล่อง
ตัวชี้ของเข็มทิศแกว่งไปมาเล็กน้อยสองสามครั้งก่อนที่มันจะชี้ตรงไปข้างหน้า
จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในทันทีว่าทิศทางที่เข็มทิศชี้ไปนั้นก็คือจุดที่มีชีพจรวิญญาณที่พลังต้นกำเนิดของฟ้าดินมารวมกัน
สมบัติของสวรรค์และปฐพีที่หาได้ยากยิ่งมารวมตัวกันและเติบโตใกล้ๆกับจุดชีพจรวิญญาณของเทือกเขา
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเร่งความเร็วและวิ่งไปในทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป
ในช่วงบ่าย จี้เทียนซิงก็เดินออกจากหุบเขาลึกได้ในที่สุดและปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาสูง
ในช่วงเวลานี้ มันเป็นวันที่ร้อนที่สุดและแสงแดดเจิดจ้าสะดุดตาเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าในเชิงเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ มันไม่รู้สึกร้อน แต่มันเย็นสบายมาก
เมื่อมาถึงบริเวณนี้ ถึงแม้จะไม่มีการบอกทางของเข็มทิศสื่อสารวิญญาณดารา แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายอดเขาแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิดที่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะ
อย่างไรก็ตามมันยังไม่ใช่จุดชีพจรวิญญาณที่แท้จริง
ชายหนุ่มนำอาหารแห้งออกจากกระเป๋ามากิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปีนข้ามภูเขาต่อไป
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว
พอตกเย็นจี้เทียนซิงที่ได้ข้ามเขาไปสามลูกอย่างต่อเนื่องก็ได้มาถึงภูเขาสูงลูกหนึ่ง ยอดเขานี้มีความสูงประมาณสองพันฟุตและยังถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบจนมองไม่เห็นยอด
เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว จี้เทียนซิงที่ปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางก็เตรียมตัวหาที่พักในระแวกนี้
จากเข็มทิศที่ชี้ไป ยอดเขาขนาดใหญ่ลูกนี้มีสมบัติของสวรรค์และปฐพีซึ่งมีแนวโน้มที่จะพบสมุนไพรและดอกไม้หายาก
ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางในภูเขาตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง จอมยุทธ์ที่มีพลังภายในของสวรรค์และปฐพีนั้นเป็นดั่งแสงไฟที่ส่องสว่างในยามค่ำคืนและดึงดูดบรรดาสัตว์อสูรเข้ามาหาแน่นอน
ก่อนที่ความมืดจะบดบังท้องฟ้า จี้เทียนซิงก็พบถ้ำแห้งถ้ำหนึ่งภายในภูเขา
เขาตัดต้นไม่และย้ายก้อนหินใหญ่มาปิดปากถ้ำเอาไว้เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย จากนั้นก็นั่งลงบ่มเพาะ
เมื่อรัตติกาลครอบงำ ท้องฟ้าก็สว่างด้วยแสงจากดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ภายในถ้ำที่ชายหนุ่มอยู่นั้นกลับไม่มีแสงมากนัก
ในทุกทิศทางของยอดเขาสูงและป่าทึบเต็มไปด้วยเสียงร่ำร้องของสัตว์ร้ายที่ทำให้เสียวสันหลัง
จี้เทียนซิงยังคงฝึกฝนปราณกระบี่อย่างไม่ย่อท้อ และหลังจากฝึกฝนมาได้ครึ่งชั่วโมงเขาก็พบว่าพลังงานต้นกำเนิดของภูเขานั้นอุดมสมบูรณ์มาก
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังต้นกำเนิดของโลกที่ไร้สิ้นสุดได้พุ่งเข้ามาในร่างกายเขาจากทุกทิศทุกทางราวกับน้ำพุ
การฝึกฝนบนยอดเขานี้กลับให้ผลเป็นสองเท่าของห้องลับในตระกูลจี้ ! ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการควบแน่นปราณกระบี่หนึ่งเล่ม
แต่เมื่อบ่มเพาะในถ้ำแห่งนี้เขาใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
หลังจาก 4 ชั่วโมงผ่านไปเขาก็ประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณกระบี่ 2 เล่ม เขารวบรวมปราณกระบี่กลับมาครบ 12 สายและฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ดังเดิมแล้ว
จากนั้นเขาก็หยุดบ่มเพาะและกอดกระบี่มังกรโลหิตเอนหลังพิงกำแพงและปิดตาลงเพื่อนอนพักผ่อน รอให้ถึงรุ่งเช้า
แต่ทว่า รอบๆถ้ำนั้นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์ร้ายที่เย็นยะเยือกจนทำให้เขาหลับไม่สนิทและประสาทสัมผัสยังคงตื่นตัว เขาไม่กล้าลดความระวังลง
ในบางครั้งจะมีเสียงดังต่างๆเกิดขึ้นราวกับว่าสัตว์ยักษ์เหล่านั้นกำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ไกล เขารู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนอยู่หลายครั้งและดูเหมือนว่าจะมีสัตว์ร้ายตัวใหญ่วิ่งอยู่บนภูเขา
เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าไม่นานพวกมันคงจะค่อยๆสงบลงไปเอง
แต่เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเสียงของสัตว์ร้ายกลับดังขึ้นและหนาแน่นขึ้นมาจากทุกทิศทาง มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเขาเริ่มตึงเครียด
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตระหนักว่านี่ไม่ปกติแล้ว เขากุมกระบี่มังกรโลหิตไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างและฟังการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกถ้ำ
ทันใดนั้นเอง ภายนอกถ้ำที่มืดมิดก็ปรากฏดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่ง
ลมหายใจที่เปี่ยมด้วยอันตรายอย่างสุดขั้วพวยพุ่งออกมาด้วยความกระหายเลือด
จี้เทียนซิงมองผ่านรอยแยกของก้อนหินที่ขวางหน้าปากถ้ำเอาไว้ เขาได้เห็นสัตว์ร้ายที่มีสีแดงเพลิงลักษณะคล้ายเสือจ้องมองเข้ามาในถ้ำ
“บัดซบ ! มันเห็นข้าซะแล้ว !”