ตอนที่ 30 เทือกเขาที่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดิน

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

สำหรับคำเตือนด้วยความปรารถนาดีของหัวหน้ากลุ่มนักรบ จี้เทียนซิงพยักหน้าและเข้าใจ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณ

 

หัวหน้ากลุ่มนักรบไม่พูดจาให้มากความ เขาโบกมือแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับลูกน้องเพื่อลงไปที่ชั้นล่าง

 

จี้เทียนซิงเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มนักรบเหล่านี้ค่อนข้างหวาดกลัวชื่อเสียงของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตเป็นอย่างมาก ขนาดพูดถึงพวกมันย้องต้องกระซิบแผ่วเบา

 

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มไม่ทราบที่มาของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต เขาก็ตัดสินใจรีบออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้แน่นอนอยู่แล้ว

 

ในขณะนี้ตัวตนของเขาได้รับการเปิดเผยแล้ว และผู้ที่ต้องการชีวิตเขาจะต้องตามล่าไม่หยุดหย่อนเป็นแน่

 

“อีกสองวัน ดอกไม้ดาราแดงจะเบ่งบาน”

“ข้าจะฟื้นฟูที่นี่ก่อนในคืนนี้ จากนั้นก็รีบออกจากเมืองนี้ มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเย่โดยเร็วที่สุด”

จี้เทียนซิงมีแผนในใจ จากนั้นก็หยิบยาสมานแผลออกมาจากกระเป๋าเพื่อห้ามเลือดและรักษาแผล

 

หลังจากปิดบาดแผลเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ปิดประตูหน้าต่างและนั่งบนเตียงเพื่อควบแน่นปราณกระบี่อย่างต่อเนื่อง

 

ส่วนศพของนักฆ่ามือหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต เขาขี้เกียจจะไปจัดแจงจึงปล่อยให้มันนอนตายอยู่เช่นนั้นต่อไป

 

หลังจากสามชั่วโมงผ่านไป ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างก็สว่างไสว

 

จี้ทำการควบแน่นปราณกระบี่ชุดใหม่เก็บไว้ที่จุดชีพจรหยางชื่อที่ข้อมือเรียบร้อยแล้ว

 

ในปัจจุบันเขามีปราณกระบี่เพียง 10 เล่มในร่างกายและความแข็งแกร่งโดยรวมก็ลดทอนลงไป 20 %

 

แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากมายและไม่มีเวลาที่จะควบแน่นปราณกระบี่ต่อไป จากนั้นเขาก็เก็บข้าวของพร้อมกับกระบี่มังกรโลหิตและออกจากโรงเตี๊ยมไลฟุอย่างเงียบงัน

 

 

เทือกเขาเย่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองและมีหุบเขาลึกที่ทางเข้า

 

หลังจากจี้เทียนซิงออกจากเมือง เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าเทือกเขาในทันที

 

สำหรับเขาแล้วตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการหลบหนีเข้าไปในเทือกเขา ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ในภูเขาแต่มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะพักในเมืองไต้ห่าว

 

อย่างไรก็ตาม เทือกเขาเย่นั้นกว้างใหญ่ มันมีพืชพันธุ์หนาแน่นและเป็นป่าลึก

หากนักฆ่าของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตต้องการจะหาตัวเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันต้องหากันราวกับว่างมเข็มในมหาสมุทร

 

หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป จี้เทียนซิงก็เข้าสู่หุบเขาลึกขนาดใหญ่และลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขา

 

ทันทีที่เขาเข้ามาถึงเทือกเขาเย่ เขาก็สังเกตเห็นว่าอากาศส่วนใหญ่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินที่อัดแน่นซึ่งทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง

 

ป่าทั้งสองด้านของหุบเขาเป็นสีเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน พื้นดินปกคลุมด้วยพืชหนาแน่นและดอกไม้

 

ในระหว่างที่จี้เทียนซิงเดินไปก็รู้สึกได้ถึงสายลมอ่อนโยนที่พัดมากระทบใบหน้า เขาฟังเสียงนกและสัตว์ป่าที่ดังออกมาจากภูเขาและป่าไม้ทั้งสองด้านก็ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

“เทือกเขาเย่เต็มไปด้วยอันตราย แต่มันก็เป็นสถานที่ที่มีค่าที่เต็มไปด้วยพลังงานฟ้าดิน หากได้บ่มเพาะอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีย่อมสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว”

“เพียงแค่เข้าสู่เทือกเขาได้ไม่นานก็สดชื่นขนาดนี้แล้ว  หากพบชีพจรวิญญาณในภูเขา มันยิ่งไม่น่าหลงใหลไปกว่านี้อีกหรือ ?”

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบกล่องเหล็กออกมาจากแขนเสื้อและหยิบเข็มทิศสื่อสารวิญญาณดาราจากในกล่อง

 

ตัวชี้ของเข็มทิศแกว่งไปมาเล็กน้อยสองสามครั้งก่อนที่มันจะชี้ตรงไปข้างหน้า

 

จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในทันทีว่าทิศทางที่เข็มทิศชี้ไปนั้นก็คือจุดที่มีชีพจรวิญญาณที่พลังต้นกำเนิดของฟ้าดินมารวมกัน

 

สมบัติของสวรรค์และปฐพีที่หาได้ยากยิ่งมารวมตัวกันและเติบโตใกล้ๆกับจุดชีพจรวิญญาณของเทือกเขา

 

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเร่งความเร็วและวิ่งไปในทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป

 

ในช่วงบ่าย จี้เทียนซิงก็เดินออกจากหุบเขาลึกได้ในที่สุดและปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาสูง

 

ในช่วงเวลานี้ มันเป็นวันที่ร้อนที่สุดและแสงแดดเจิดจ้าสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าในเชิงเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ มันไม่รู้สึกร้อน แต่มันเย็นสบายมาก

 

เมื่อมาถึงบริเวณนี้ ถึงแม้จะไม่มีการบอกทางของเข็มทิศสื่อสารวิญญาณดารา แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายอดเขาแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิดที่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะ

 

อย่างไรก็ตามมันยังไม่ใช่จุดชีพจรวิญญาณที่แท้จริง

 

ชายหนุ่มนำอาหารแห้งออกจากกระเป๋ามากิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปีนข้ามภูเขาต่อไป

 

เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว

 

พอตกเย็นจี้เทียนซิงที่ได้ข้ามเขาไปสามลูกอย่างต่อเนื่องก็ได้มาถึงภูเขาสูงลูกหนึ่ง ยอดเขานี้มีความสูงประมาณสองพันฟุตและยังถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบจนมองไม่เห็นยอด

 

เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว จี้เทียนซิงที่ปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางก็เตรียมตัวหาที่พักในระแวกนี้

 

จากเข็มทิศที่ชี้ไป ยอดเขาขนาดใหญ่ลูกนี้มีสมบัติของสวรรค์และปฐพีซึ่งมีแนวโน้มที่จะพบสมุนไพรและดอกไม้หายาก

 

ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางในภูเขาตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง จอมยุทธ์ที่มีพลังภายในของสวรรค์และปฐพีนั้นเป็นดั่งแสงไฟที่ส่องสว่างในยามค่ำคืนและดึงดูดบรรดาสัตว์อสูรเข้ามาหาแน่นอน

 

ก่อนที่ความมืดจะบดบังท้องฟ้า จี้เทียนซิงก็พบถ้ำแห้งถ้ำหนึ่งภายในภูเขา

 

เขาตัดต้นไม่และย้ายก้อนหินใหญ่มาปิดปากถ้ำเอาไว้เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย จากนั้นก็นั่งลงบ่มเพาะ

 

เมื่อรัตติกาลครอบงำ ท้องฟ้าก็สว่างด้วยแสงจากดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ภายในถ้ำที่ชายหนุ่มอยู่นั้นกลับไม่มีแสงมากนัก

 

ในทุกทิศทางของยอดเขาสูงและป่าทึบเต็มไปด้วยเสียงร่ำร้องของสัตว์ร้ายที่ทำให้เสียวสันหลัง

 

จี้เทียนซิงยังคงฝึกฝนปราณกระบี่อย่างไม่ย่อท้อ  และหลังจากฝึกฝนมาได้ครึ่งชั่วโมงเขาก็พบว่าพลังงานต้นกำเนิดของภูเขานั้นอุดมสมบูรณ์มาก

 

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังต้นกำเนิดของโลกที่ไร้สิ้นสุดได้พุ่งเข้ามาในร่างกายเขาจากทุกทิศทุกทางราวกับน้ำพุ

 

การฝึกฝนบนยอดเขานี้กลับให้ผลเป็นสองเท่าของห้องลับในตระกูลจี้ !  ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการควบแน่นปราณกระบี่หนึ่งเล่ม

 

แต่เมื่อบ่มเพาะในถ้ำแห่งนี้เขาใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

 

หลังจาก 4 ชั่วโมงผ่านไปเขาก็ประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณกระบี่ 2 เล่ม  เขารวบรวมปราณกระบี่กลับมาครบ 12 สายและฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ดังเดิมแล้ว

 

จากนั้นเขาก็หยุดบ่มเพาะและกอดกระบี่มังกรโลหิตเอนหลังพิงกำแพงและปิดตาลงเพื่อนอนพักผ่อน  รอให้ถึงรุ่งเช้า

 

แต่ทว่า รอบๆถ้ำนั้นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์ร้ายที่เย็นยะเยือกจนทำให้เขาหลับไม่สนิทและประสาทสัมผัสยังคงตื่นตัว  เขาไม่กล้าลดความระวังลง

 

ในบางครั้งจะมีเสียงดังต่างๆเกิดขึ้นราวกับว่าสัตว์ยักษ์เหล่านั้นกำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ไกล  เขารู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนอยู่หลายครั้งและดูเหมือนว่าจะมีสัตว์ร้ายตัวใหญ่วิ่งอยู่บนภูเขา

 

เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าไม่นานพวกมันคงจะค่อยๆสงบลงไปเอง

 

แต่เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเสียงของสัตว์ร้ายกลับดังขึ้นและหนาแน่นขึ้นมาจากทุกทิศทาง มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเขาเริ่มตึงเครียด

 

ในที่สุดชายหนุ่มก็ตระหนักว่านี่ไม่ปกติแล้ว เขากุมกระบี่มังกรโลหิตไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างและฟังการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกถ้ำ

 

ทันใดนั้นเอง ภายนอกถ้ำที่มืดมิดก็ปรากฏดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่ง

ลมหายใจที่เปี่ยมด้วยอันตรายอย่างสุดขั้วพวยพุ่งออกมาด้วยความกระหายเลือด

 

จี้เทียนซิงมองผ่านรอยแยกของก้อนหินที่ขวางหน้าปากถ้ำเอาไว้ เขาได้เห็นสัตว์ร้ายที่มีสีแดงเพลิงลักษณะคล้ายเสือจ้องมองเข้ามาในถ้ำ

 

“บัดซบ ! มันเห็นข้าซะแล้ว !”