ตอนที่ 31 นี่สวรรค์ไม่คิดจะเหลือทางรอดให้ข้า?

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 31 นี่สวรรค์ไม่คิดจะเหลือทางรอดให้ข้า?

 

ในขณะนั้นเอง เส้นประสาทของจี้เทียนซิงก็ตึงเครียด แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อไหลท่วม

 

ชายหนุ่มไม่ได้หวังเลยว่าก้อนหินใหญ่ไม่กี่ก้อนกับเศษไม้ไม่กี่อันที่ปิดอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำจะสามารถป้องกันสัตว์อสูรที่อยู่ด้านนอกได้

 

เขาถูกขังอยู่ในถ้ำ ไร้ซึ่งทางหนีและหนทางต่อต้าน

 

ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือกลั้นลมหายใจและไม่ส่งเสียงดัง

 

แต่ท้ายที่สุดเขาก็ประเมินมันสมองของสัตว์อสูรตัวนี้ต่ำทรามไป

 

สัตว์อสูรอาละวาดทำลายก้อนหินรอบถ้ำ มันไม่สามารถระงับความกระหายเลือดลงได้

 

มันค่อยๆยื่นโค้งกรงเล็บขนาดใหญ่ออกไปเพื่อลากก้อนหินขนาดใหญ่ที่ปิดปากถ้ำเอาไว้ออกมา  เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางที่หน้าปากถ้ำ จี้เทียนซิงและสัตว์อสูรตัวนั้นก็จ้องหน้ากันและกันในที่สุด  จี้เทียนซิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

 

ขณะนี้เขาได้เห็นรูปร่างของมันอย่างชัดเจนแล้ว มันเป็นสัตว์อสูรที่มีขนสีแดงเพลิงปกคลุมไปทั่วร่างกาย ปากที่ของมันเปิดกว้างราวกับชามข้าวและเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมยาวเท่าตะเกียบสองข้าง !

 

“ที่แท้มันคือสัตว์อสูรเสือเพลิง !”

 

จี้เทียนซิงร่างแข็งทื่อ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

 

ในโลกนี้สัตว์อสูรร้ายถูกแบ่งออกเป็นแข็งแกร่งจนถึงอ่อนแอที่สุด

 

สัตว์อสูรขั้นต่ำจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ระดับปรับแต่งกายาและมีเป็นจำนวนมาก

 

สัตว์อสูรขั้นกลางจะมีพลังเทียบเท่ามนุษย์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง มันยังสามารถใช้พลังของสวรรค์และปฐพีในการโจมตีได้อีกด้วย

 

ส่วนสัตว์อสูรขั้นสูงที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้นจะมีความสามารถสอดคล้องกับยอดฝีมือในเขตแดนแก่นก่อกำเนิด  (ปรับแต่ง – ต้นกำเนิดแท้จริง – แก่นก่อกำเนิด)

 

สัตว์อสูรเสือเพลิงที่อยู่เบื้องหน้านี้ จี้เทียนซิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของมันนั้นอย่างน้อยๆก็อยู่ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 5 !

 

เมื่อมองไปที่มัน ใบหน้าของเขาก็หม่นหมองและกระซิบในใจว่า ระยำ!ซวยซ้ำซวยซ้อน ขึ้นเขาวันแรกก็เจอสัตว์อสูรที่ร้ายกาจเช่นนี้เสียแล้ว!**”

เสือเพลิงตัวนี้มีพลังระดับต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่5**หากเทียบกับมนุษย์ ถ้าประมาทแม้แต่นิดเดียว ข้าได้ไปเฝ้ายมบาลแน่….”

ดวงตาที่น่าสะพรึงกลัวของเสือเพลิงจ้องไปที่ชายหนุ่ม เผยให้เห็นร่องรอยแห่งความกระหายเลือด ปากที่เต็มไปด้วยเลือดของมันนั้นเปิดกว้างราวกับชามข้าวที่เต็มไปด้วยน้ำ

 

มันก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำและเหยียดกรงเล็บออกมาเพื่อคว้าร่างของจี้เทียนซิง

 

พื้นที่ในถ้ำนั้นเล็กและแคบเกินไปจนไม่มีที่ให้เขาหลบซ่อน

 

ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ชายหนุ่มตัดสินใจเสี่ยง เขาขบกรามแน่นและเหวี่ยงกระบี่ออกไปข้างหน้า

 

“สัตว์เดรัจฉาน จงออกไปซะ !”

กระบี่มังกรโลหิตถูกชักออกจากฝักและวาดเป็นแสงเย็นเยือกในความมืด มันกระแทกเข้ากับอุ้งเท้าของเสือเพลิง

 

เสือเพลิงมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วมาก มันไม่คิดจะปะทะกับกระบี่ของชายหนุ่มและชักกรงเล็บกลับทันที

 

อาศัยโอกาสนี้  จี้เทียนซิงฟันกระบี่ออกไปดัง ‘ฉัวะ’ และทะยานร่างด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีหนีออกจากถ้ำทันที

 

โฮกกกกกก

เสือเพลิงโกรธเกรี้ยวมาก มันคำรามลั่นและวิ่งไล่ล่าชายหนุ่มด้วยความรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกยิงออกจากคันธนู

 

ในตอนกลางคืน ภูเขานั้นมืดสนิทและไม่มีทางแยกแยะเหนือใต้ได้

จี้เทียนซิงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตและไม่สนว่าตนเองนั้นมุ่งหน้าไปในทิศทางใด

 

เขาวิ่งเข้าไปในป่าทึบและฟันต้นไม้ใหญ่ให้ล้มลงเพื่อขวางทางและลดทอนความเร็วของเสือเพลิง  ซึ่งมันก็ได้ผลแค่เพียงเล็กน้อย  ความเร็วของเสือเพลิงลดลงแต่ต้นไม้ใหญ่ก็แหลกเป็นเสี่ยงๆทันทีด้วยพลังของกรงเล็บที่ฟาดฟันออกไป

 

จี้เทียนซิงเหลียวหน้ากลับไปมองและเบิกตากว้าง เขาร่ำร้องออกมาว่า “พละกำลังของมันช่างน่าหวาดกลัวนัก !  หากข้าโดนมันโจมตีเข้าสงสัยร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆแน่ !”

 

ชายหนุ่มวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละด้วยความรวดเร็วดั่งสายลม เขาถูกหนามเกี่ยวจนเลือดไหลแต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจเพราะเสือเพลิงวิ่งไล่ล่าเขามาอย่างกระชั้นชิด และเมื่อมันมาถึงด้านหลังเขาห่างเพียงสองฟุต มันก็กระโจนเข้าหาทันที

 

ฟุ่บ !

ในช่วงเวลานั้นเอง จี้เทียนซิงก็กระโดดขึ้นไปบนยอดต้นไม้ขนาดใหญ่และหลุดรอดจากกรงเล็บของมันได้อย่างน่าหวาดเสียว

 

“ตึง !”

เสือเพลิงพลาดเป้าหมาย อุ้งเท้าหน้าของมันตะปบลงบนพื้นหญ้าจนทำให้เกิดหลุมลึกที่จุดนั้น  ฝุ่นและหญ้าปลิวฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ

 

จี้เทียนซิงยังคงปีนขึ้นต้นไม้ต่อไปและแทบจะหายใจไม่ออก ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

หลังจากวิ่งหนีไปได้สองไมล์ เขาก็ยังสลัดเสือเพลิงไม่หลุด

 

ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นอีก

เสียงจากการไล่ล่าของเสือเพลิงนั้นทำให้สัตว์อสูรตัวอื่นๆตื่นตัวขึ้นและวิ่งไล่ตามมาเพิ่ม

 

ระยำเอ้ย!เมื่อครู่นี้ลำพังเสือเพลิงตัวเดียวก็เกือบจะสังหารข้าได้อยู่แล้ว  นี่พวกมันยังมาเพิ่มอีก3*……. เทพยดาไม่คิดจะไว้ชีวิตข้าหรือไรกัน**?”*

 

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความเศร้าและโกรธกริ้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

แต่ในขณะนั้นเองชายหนุ่มก็รู้สึกว่าความเร็วของเสือเพลิงเริ่มช้าลง   ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่หมาป่าวายุและหมีเพลิงอีก 2 ตัวก็ชะลอความเร็วลงเช่นกัน

 

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“นี่มันเกิดไรขึ้น ?  สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างพวกมันจู่ๆก็หมดแรงวิ่งไล่ตามข้างั้นหรือ ?”

 

ชายหนุ่มมองหันหลังมองไปที่สัตว์อสูรทั้งสี่ตัวและพบว่าพวกมันไม่เพียงแค่ชะลอตัว แต่พวกมันยังจ้องมองไปที่ป่าเบื้องหน้าด้วยความลังเลและหวาดกลัว

 

 

ใช่แล้ว มันคือความกลัว !

จี้เทียนซิงเห็นว่าดวงตาของสัตว์ร้ายทั้งสี่นั้นเต็มไปด้วยความกลัวและดูเหมือนจะไม่กล้าเข้าไปในป่ามืดข้างหน้า

 

เขามองตามพวกมันไปที่ป่าข้างหน้าแต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ

 

ป่าเบื้องหน้าที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดนั้นเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงบ

 

“แม้ว่าสติปัญญาของเสือเพลิง หมาป่าวายุและหมีเพลิงนั้นจะเทียบเท่ากับเด็กมนุษย์อายุสามขวบ แต่อะไรก็ตามที่ทำให้พวกมันตื่นกลัวนั้นได้ช่างน่าแปลกประหลาดนัก…”

“แต่ป่าเบื้องหน้านั้นก็ดูธรรมดามาก เหตุใดเจ้า 4 ตัวนี้ถึงได้กลัวนัก”

 

จี้เทียนซิงรู้สึกงงงวย แต่ก็ยังคงวิ่งหนีเข้าในป่าแห่งนั้นและเหลียวมองพวกมันทั้ง 4 เป็นระยะ

 

ในเวลานี้เขาวิ่งหนีด้วยความเร่งรีบและไม่รู้ทิศทางใดๆ  เขาวิ่งตั้งแต่ถ้ำในกลางภูเขาลงมาจนถึงเชิงเขา

 

สุดท้ายเมื่อมาถึงป่าอันมืดมิดที่พวกมันหวาดกลัว พวกมันก็หยุดไล่ตามและยืนห่างจากชายหนุ่มหลายสิบเมตร

 

 

“อาวู้วววววว !”

“โฮกกกกก !”

สัตว์อสูรทั้ง 4 จ้องมองไปที่เขาพร้อมส่งเสียงเห่าหอนคำราม แต่พวกมันก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้

 

“ดูเหมือนว่าพวกมันจะกลัวป่าแห่งนี้จริงๆ  …ในที่สุดข้าก็รอดตายจน !”

จี้เทียนซิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาทิ้งตัวลงกับพื้นและหอบหายใจแรง

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นนานนัก และวิ่งเข้าไปในป่าต่อไปเพื่อความปลอดภัย เผื่อว่าอาจจะมีสัตว์อสูรบางจำพวกที่ไม่กลัวป่าทึบแห่งนี้และโจมตีเข้ามา   ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาย่อมตกตายแน่นอน