ตอนที่ 32 จิ้งจอกคราม 12 หาง

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 32 จิ้งจอกคราม 12 หาง

 

 

จี้เทียนซิงเดินผ่านป่ามืดไปพักหนึ่งแล้วพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

 

มองจากภายนอกมันดูเหมือนป่าธรรมดา

 

หลังจากเข้าไปในป่า เขาก็ค้นพบว่ามีต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวภายในป่า ไม่มีพุ่มไม้หรือต้นไม้อื่นแม้แต่ต้นเดียว

 

บนพื้นมีดอกไม้ป่าที่ไม่สูงนัก ทั้งหมดเป็นสีน้ำตาลเข้มและมีถ้ำศิลาแปลกๆหลายถ้ำเป็นจำนวนมาก  ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันลึกแค่ไหนและมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือในบริเวณนี้ไม่มีเสียงของสัตว์อสูรเลย ไม่มีนก ไม่มีแมลง

 

มันเงียบสงบอย่างมากและพิลึกเกินไป !

 

ป่าทึบอันกว้างใหญ่แห่งนี้กลับเงียบอย่างสมบูรณ์เหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว !

 

จี้เทียนซิงตื่นตัวอย่างยิ่งพร้อมกับฟังเสียงในป่าและมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง

 

เขาจำได้ถึงดวงตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวของสัตว์อสูรทั้ง 4 และสงสัยว่าทำไมพวกมันถึงได้กลัวป่าบริเวณนี้นัก

 

“ป่าแห่งนี้เงียบผิดปกติเกินไป ข้าคิดว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ …”

 

ในขณะนี้ภายในถ้ำศิลาขนาดใหญ่ด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลจากเขาก็มีแสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นในทันที

 

มันเป็นลำแสงสีน้ำเงินที่ทอดยาวออกมาจากถ้ำราวกับหนวดของสิ่งมีชีวิต และค่อยๆเหยียดยาวเข้าหาจี้เทียนซิง

 

วูบ !

โดยไม่รอให้ชายหนุ่มได้มีโอกาสตอบสนอง เส้นสายสีน้ำเงินนี้ก็พัวพันรอบตัวเขาด้วยความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ มันพันร่างของเขาจนกลายเป็นมัมมี่

 

“บัดซบ  นี่มันผีห่าซาตานอันใด ?!”

จี้เทียนซิงสะดุ้งโหยงและตะโกนออกมาด้วยเสียงต่ำ

 

แต่เส้นสายสีน้ำเงินนี้กลับแข็งแรงและไม่อาจทำลายได้ ชายหนุ่มถูกพันธนาการไว้อย่างแน่หนา

 

 

“วืด”

เส้นสายของลำแสงสีน้ำเงินนั้นขยุกขยิกไปมาราวกับกำลังจ้องมองเขา จากนั้นมันก็ลากเขาเข้าไปในหลุมดำใต้ศิลา

 

จี้เทียนซิงถูกลากดึงจากด้านหลังและรู้สึกราวกับว่าเขากำลังตกลงไปในเหวลึกไร้ก้นด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง

 

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ แต่มันก็ยาวนานเหมือนเป็นเดือนสำหรับชายหนุ่ม ในที่สุดความเร็วจากการถูกฉุดลากก็ลดลงในที่สุด

 

มันเป็นความรู้สึกอันคลุมเครือ แต่เขารู้สึกราวกับว่าเห็นฟองสบู่สีน้ำเงินปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา

 

จากนั้นเขาก็ถูกลากผ่าน “ฟองสบู่” ขนาดใหญ่และเข้าไปถึงถ้ำที่เปิดกว้าง

 

“วืด”

ในขณะที่เขากำลังจะร่วงลงกับพื้น เส้นสีน้ำเงินนั้นก็พันรอบตัวเขาในทันทีและชะลอร่างให้เขาลอยอยู่บนอากาศได้

 

 

ฟู่… รอดไป! ถ้าไอ้เจ้าสิ่งประหลาดนี่ไม่ชะลอความเร็วรองรับข้าไว้ ข้าคงหล่นลงพื้นจนร่างแหลกถึงความตายแน่นอน… ”

 

ชายหนุ่มสงบใจลงและมองไปรอบๆ

 

ปรากฏว่าที่แห่งนี้คืออุโมงค์อันมืดมิดกว้างใหญ่ จากการประเมินคร่าวๆมันเหมือนกับว่ากว้างใหญ่เท่ากับตระกูลจี้ทั้งตระกูล !

 

พื้นอุโมงค์ถ้ำยังเป็นหินสีน้ำตาลเข้มขรุขระและไม่สม่ำเสมอกัน มีหลายแห่งยังนูนเด่นออกมามีทั้งเหลี่ยมและมุมที่แหลมคม

 

กำแพงเป็นสีน้ำตาลที่ส่องแสงระยิบระยับ ราวกับว่ามันคือแสงจากหินแร่หรืออัญมณีล้ำค่า

ส่วนเพดานของถ้ำ ….. ทันทีที่จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นไปมองสำรวจ เขาก็ตกใจจนแทบล้มทั้งยืน !

 

เขาเห็นศีรษะที่ปรากฏในความมืด และมันก็คือสัตว์อสูรที่มีสีน้ำเงินขนาดใหญ่ !

 

มันเป็นสัตว์ที่มีขนาดของลำตัวยาวร่วม 100 ฟุตและปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำเงิน  เหมือนน้ำแข็ง มันมีลักษณะคล้ายสุนัขจิ้งจอก

 

แต่ ‘จิ้งจอก’ ตามธรรมชาติย่อมไม่มีขนาดใหญ่เช่นนี้  และที่สำคัญคือมันมีสีน้ำเงินราวกับน้ำแข็งทั้งตัว แถมยังมีหางยาวถึง 12 หาง !

 

เมื่อตอนที่จี้เทียนซิงได้เห็นกระเรียนวิญญาณที่หยุนเหยาขี่ เขาก็ตกใจมาแล้วรอบหนึ่ง

แต่ตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกระเรียนวิญญาณกับจิ้งจอกน้ำแข็งตัวน้อยที่อยู่เหนือศีรษะเขา  มันดูกลายเป็นตัวเล็กไปถนัดตา

 

“นี่เป็นสัตว์อสูรชั้นสูงงั้นหรือ ? “

“หรือว่ามันเป็นราชาแห่งสัตว์อสูรในตำนาน จิ้งจอก 9 หาง ?  ไม่สิ… ไอ้เจ้าตัวนี้มันมีตั้ง 12 หาง !”

 

จี้เทียนซิงพยายามสงบสติอารมณ์และจิตใจของเขาก็ลอบตึงเครียดอย่างมาก

 

หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังส่งผลทำให้เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง  บางที… ภาพที่เห็นตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่ากำลังฝันอยู่รึเปล่า !

 

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสัตว์อสูรทั้ง 4 ตัวนั้นถึงไม่กล้าเข้าใกล้ป่าทึบแห่งนี้

ปรากฎว่าในป่าทึบกลับมีถ้ำและอุโมงค์ขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ และมีสัตว์อสูรประหลาดที่น่ากลัวมากอาศัยอยู่ !

 

เมื่อจี้เทียนซิงจ้องมองไปที่จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงิน มันก็ลืมตาขึ้นมาและสบตากับเขาเช่นกัน

 

จี้เทียนซิงเห็นได้ชัดเจนว่า ในแววตาของมันที่จ้องมองมานั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยันดูแคลนต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์

 

“ว่าไง อาหารของข้า เจ้ามองพอหรือยัง ?”

ทันใดนั้นเองจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินก็เอ่ยปากขึ้น และน้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความเย้ยหยันเฉกเช่นเดียวกับแววตาของมัน

 

จี้เทียนซิงตกตะลึงและตะโกนตะกุกตะกักออกมาโดยไม่รู้ตัว “จะ…. เจ้า  เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้ !”

 

จิ้งจอกสีน้ำเงินแสยะยิ้มและหรี่ตาลงให้หดแคบไปอีก  ดวงตาของมันทั้งยาวและแคบราวกับต้นหลิว นอกจากนี้ยังดูเจ้าเล่ห์อย่างมาก

 

“ด้วยสติปัญญาและพลังของข้า การเปล่งภาษาพูดจากับมนุษย์นั้นน่าแปลกตรงไหน ?”

จี้เทียนซิงรู้สึกช็อคและขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว *“*ตำนาน…  ราชันแห่งสัตว์อสูรในตำนาน จิ้งจอก 9 หางสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ มันแม้กระทั่งทำให้มนุษย์ต้องมนต์เสน่ห์…..”

“เจ้าคือราชาอสูร จิ้งจอกอสูร 9 หางในตำนาน ?”

 

 

“ หืม จิ้งจอกอสูร 9 หาง?”

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินขดริมฝีปากของมันและเปล่งเสียงดูถูกเหยียดหยามอย่างมากออกมา  “เพ้ย ! สัตว์อสูรชั้นต่ำเยี่ยงนั้นอย่าได้เอามาเทียบกับข้า !”

 

จี้เทียนซิงเงียบไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาคิดอย่างลับๆในใจว่า ราชาสัตว์อสูรตามตำนานนั้นมีความแข็งแกร่งเปรียบได้กับเขตแดนกำเนิดสวรรค์ เป็นไปได้หรือว่าจิ้งจอกตัวนี้จะเป็นมากกว่าราชาสัตว์อสูร?**”

*“*ไม่รู้ว่าข้าโชคดีหรือโชคบัดซบกันแน่นะ  แม้กระทั่งตัวตนระดับนี้ก็ยังอยู่ตรงหน้าข้า”

ในเวลานี้เองจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินก็บิดขี้เกียจอย่างช้าๆและเผยปีกสีน้ำเงินคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องและบินลงมา

 

“เหยื่อของข้า  ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติเนื้อของมนุษย์มานานหลายปีแล้ว”

“ตอนนี้เจ้าต้องเปิดใจยอมรับและยินดีกับมันด้วยความสุข  นี่เป็นเกียรติชั่วชีวิตของเจ้าที่เจ้าควรจะภาคภูมิใจ !”

 

จี้เทียนซิงหน้าเปลี่ยนไป หัวใจของเขามืดมนลงและคิดว่า “สัตว์อสูรประหลาดตัวนี้ป่วยหรือพิการทางสมองรึเปล่า*?มันคิดจะกินข้าแต่บอกให้ข้ายินดีอย่างมีความสุข?!”*

*“ว่าแต่ว่า  เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ไม่ใช่สุนัขจิ้งจอกหรอกหรือ?ทำไมมันถึงได้มีปีกบินได้เหมือนนก?*สัตว์อสูรประเภทนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

 

ในระหว่างที่จี้เทียนซิงกำลังครุ่นคิด จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินก็เปิดปากกว้างเหมือนชามข้าวและเข้ามาประชิดตัวจี้เทียนซิงมากขึ้น หมายจะกลืนกินเขาเข้าไป

 

ด้วยความสิ้นหวัง จี้เทียนซิงจึงต้องยกข้ออ้างที่เส็งเคร็งออกมา

“เฮ้! เดี๋ยวก่อน เจ้ายังกินข้าไม่ได้นะ !”

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินหยุดและแสยะยิ้ม จากนั้นก็ถามว่า “เพราะ ?”

 

จี้เทียนซิงพูดอย่างใจเย็นว่า “คือข้า… ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ ! ตัวข้าสกปรกมอมแมมและส่งกลิ่นเหม็น เสื้อผ้าอาภรณ์และถุงเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนตั้งหลายวัน”

 

ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ลอบมองปฏิกิริยาของจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินและยกยิ้มมุมปากว่า “ข้าว่ารสนิยมของเจ้าคงไม่เลวร้ายกระมัง ?”