ตอนที่ 33 ปะทุ 12 ปราณกระบี่

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 33 ปะทุ 12 ปราณกระบี่

 

 

ดูเหมือนว่าจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินจะถูกคำพูดของจี้เทียนซิงทำให้หวั่นไหว มันพยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด

 

“ย่อมได้ ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกต้องมิใช่น้อย หากอาหารไม่คลีนพอ ย่อมส่งผลต่อความอยากอาหารของข้าเป็นแน่”

 

จากนั้นมันก็โบกอุ้งเท้าหน้าและยิงลำแสงสีฟ้าออกไป

 

ลำแสงเส้นนั้นกลายเป็นกลุ่มก้อนของมวลน้ำและโอบล้อมจี้เทียนซิงในทันที

 

“ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ !”

ในพริบตา ร่างกายของจี้เทียนซิงก็ถูกชำระล้างด้วยสายน้ำอันเย็นฉ่ำ ฝุ่นละอองและคราบเลือดแห้งกรังที่ติดบนร่างของเขาก็หายไป

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มันยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็สะอาดเอี่ยมอ่องไปทั้งตัวแล้ว อืม… แถมเจ้ายังขาวน่ากินไม่น้อย ข้าเริ่มอยากอาหารเสียแล้วสิ”

 

“ ……..…”

 

 

จี้เทียนซิงอึ้งและพูดไม่ออก เขาอยากจะร้องไห้ในใจอย่างอดไม่ได้

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชาสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่เปี่ยมอำนาจเช่นนี้ เพียงแค่ถ่วงเวลาไว้ได้ก็นับว่าบุญโขแล้ว นับประสาอะไรกับหาทางหนี !

 

ในกรณีนี้ ชายหนุ่มทำได้เพียงระเบิดพลังทั้งหมดและเข้าต่อสู้แลกชีวิตเท่านั้น

 

เขากัดฟันแน่น ร่างกายเปล่งเกร็งทั่วร่างเพื่อให้กล้ามเนื้อขยายตัวถึงขีดสุด และกระดูกทั่วร่างลั่นเสียงดัง “แกร่ก แกร่ก”

 

เขาสามารถได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจได้อย่างชัดเจน พลังปราณทะลักหลั่งไหลดั่งน้ำท่วมจนเกิดเสียงดังครืน

 

ความแข็งแกร่งทางกายภาพของจี้เทียนซิงที่อยู่ในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 นั้นเทียบได้กับพละกำลังราวๆ 2000 ปอนด์ทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม เส้นลำแสงสีน้ำเงินที่พันรอบตัวเขาอยู่นั้นแข็งแกร่งพอๆกับระดับพลังของร่างต้น การปะทุพลังทั้งหมดของจี้เทียนซิงก็ยังมิอาจสั่นคลอนมันได้แม้แต่น้อย

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินเห็นชายหนุ่มดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต มันเพียงจ้องมองดูอย่างเย้ยหยันและไม่คิดจะกินอีกฝ่าย มันกล่าวว่า  “โห ? อาหารของข้าช่างเปี่ยมไปด้วยความพยายาม”

“แต่ยิ่งเจ้าดิ้นรนมากเท่าไหร่ เลือดก็จะร้อนขึ้นและพลังปราณในร่างก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น  ข้าชอบดูการต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อแล้วค่อยกลืนลงท้องทีหลัง  เอาเลย จัดไปให้เต็มที่  ฮ่าๆๆๆ …”

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของมันจับจ้องไปที่จี้เทียนซิง ซึ่งดูเหมือนมันจะสนุกและคาดหวังอย่างมาก

 

จี้เทียนซิงทั้งหดหู่ทั้งเปี่ยมไปด้วยโทสะ แต่เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันและดิ้นรนต่อไป

 

ร่างกายของเขาเริ่มบิดเบี้ยว กล้ามเนื้อและกระดูกขยายตัวออก

 

ในที่สุดเส้นสายสีน้ำเงินก็คลายออกอย่างหลวมๆ

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “เหอๆ อายุเพียงเท่านี้ ไม่คิดว่าจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

“เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตรอด หากเจ้าสามารถสะบัดหลุดจากพลังของข้าไปได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า   แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้จนกระทั่งหมดแรง เจ้าต้องยอมให้ข้ากินแต่โดยดี”

 

จี้เทียนซิงมองเห็นถึงความหวังในการมีชีวิตรอด เขาระเบิดพลังที่รุนแรงยิ่งขึ้นจนทำให้ผิวหนังบวมเป่งจนกลายเป็นสีแดง

 

เพื่อรีดเค้นพลังให้ถึงขีดสุด เขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้ปราณกระบี่ทั้ง 12 จุดชีพจรในร่าง

 

 

อ้ากกกกกกกกกกก!!****”

จี้เทียนซิงแผดเสียงกรีดร้องและระเบิดปราณกระบี่ทั้ง 12 สายออกมาจนหมดสิ้น  ปราณกระบี่ไร้สภาพพุ่งทะยานออกมาจากจุดชีพจรของเขาและบินวนเวียนอยู่รอบตัว

 

 

 

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ! ! ! !”

ปราณกระบี่ทองคำ 12 สายหมุนอย่างรวดเร็วและแผ่กระจายออกไปรอบทิศ มันเปล่งแสงสีทองที่ส่องประกายไปทั่วและทำให้เกิดเสียงดัง

 

ในช่วงวิกฤตนี้ จี้เทียนซิงได้รับแรงบันดาลใจจากศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขาพบว่าปราณกระบี่ในร่างกายสามารถเรียกออกจากร่างและนำมาใช้เช่นนี้ได้

 

เขาควบคุมปราณกระบี่ทั้ง 12 เล่มที่โคจรไปมารอบๆเพื่อให้ตัดลำแสงสีน้ำเงินที่พันรอบตัวเขาอยู่

 

 

“เคร้ง !”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ปราณกระบี่กระทบกับลำแสงสีน้ำเงิน มันเพียงเกิดเสียงที่ดังแหลมเท่านั้น แต่ไม่บังเกิดผลใดๆ

 

ลำแสงสีน้ำเงินไม่สามารถทำลายได้ไม่ว่าปราณกระบี่ทั้ง 12 จะผลัดเปลี่ยนหมุนวนกันฟัน ฟาด หรือแทง

 

ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของจิ้งจอกสีน้ำเงินกับจี้เทียนซิงนั้นก็ห่างไกลกันเกินไป  ระดับพลังงานต่างกันราวกับอยู่คนละโลก !

 

 

จี้เทียนซิงสามารถควบคุมปราณกระบี่ให้ออกมาจากร่างได้ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

 

“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !”

สุดท้ายปราณกระบี่ทั้งหมดก็พุ่งกลับเข้าสู่ร่างและซ่อนตัวอยู่ในจุดชีพจรทั้ง 12 ตามเดิม

 

พละกำลังและจิตวิญญาณของจี้เทียนซิงถูกใช้ไปมากกว่าขีดจำกัดถึงสองเท่า   ขณะนี้ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นสีดำแต่ดูว่างเปล่า  ส่วนจิตสำนึกของเขาเริ่มเบลอเสียแล้ว

 

“บัดซบ…. วันนี้ข้าต้องจบชีวิตที่นี่หรือ ? นี่ข้าต้องกลายเป็นอาหารของจิ้งจอกระยำตนนี้ ?”

“ไม่ได้….  ข้าไม่ยอม !  ข้ายังไม่พบดอกไม้ดาราแดงเลย  ข้ายังไม่ได้ล้างแค้นความอัปยศครั้งใหญ่…”

 

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยสำนึกที่ไม่จำยอม แต่ในที่สุดเขาก็หลับตาและหมดสติไป

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินแสดงออกถึงสีหน้าที่ผิดหวังเล็กน้อย มันกล่าวว่า “เฮ้ เจ้าหนู เมื่อกี้ทำเก๋า แต่สุดท้ายเจ้าก็มีความสามารถเท่าหอยมด ? เฮอะ ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินค่าเจ้าสูงเกินไป !”

 

หลังจากนั้นมันก็เปิดปากกว้างออก เผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมสองข้างและกัดไปที่จี้เทียนซิง

 

ชายหนุ่มหมดสติและไม่รู้สึกตัว เขาถูกกลืนลงไปโดยจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงิน

 

ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ลำแสงสีดำอันมืดมิดก็ปรากฏขึ้นที่ท้องของเขา ณ จุดตันเถียน กลิ่นอายแห่งความตายและเยือกเย็นก็แผ่พุ่งออกมา

 

 

“วู้มมมมม !”

แสงสีดำขยายตัวใหญ่ขึ้นนับหมื่นเท่าและกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างของจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงิน

 

หลุมดำแผ่ซ่านไอมรณะอันเย็นยะเยือก มันเต็มไปด้วยมวลอากาศและบรรยากาศที่ลึกลับ

 

ทันใดนั้นเองจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินก็แข็งทื่อ ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาสีเงินคู่นั้นของมันเผยให้ถึงความสยองขวัญที่ลึกล้ำ

 

 

“นิ  นี่มันคืออะไร ?!”

มันอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว มันต้องการถอยห่างจากหลุมดำลึกลับนี่โดยเร็วที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม แสงสีดำในหลุมดำหมุนวนด้วยความเร็วสูงมาก มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างและการดูดกลืนอันน่ากลัว ภายในเวลาไม่นานจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินก็ถูกมันคลุมไปทั่วร่าง

 

มันขยับตัวไม่ได้และล่องลอยอยู่กลางอากาศด้วยความกลัว  มันทำได้เพียงโคจรพลังทั่วร่างออกมาต้านรับพลังลึกลับขุมนี้เท่านั้น

 

ฟุ่บ ฟุ่บ  ฟุ่บ ฟุ่บ !!

 

ลำแสงน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกจากร่างของมัน  ทั้งหมดพุ่งเข้าไปในหลุมดำเหมือนน้ำฝนและถูกกลืนกินโดยวังวนสีดำในนั้น

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินสังเกตเห็นว่าพลังอันมหาศาลในร่างกายของมันกำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของมันค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ

 

“หลุมดำนั่น  …มันกำลังจะ ดูดกลืนความแข็งแกร่งของข้า !?”

 

“อา ! ไม่ ไม่นะ !  บัดซบ ! ระยำเอ้ย !  เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ?”

 

จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วและหวาดกลัว ดวงตาของมันจ้องไปที่จี้เทียนซิงด้วยความคั่งแค้นชิงชัง

 

ชายหนุ่มหมดสติไร้ซึ่งการตอบสนองไปโดยสิ้นเชิง  เขาลอยอยู่กลางอากาศและไม่ได้รับรู้เรื่องใดทั้งสิ้น

 

พลังของจิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินถูกดูดกลืนเร็วขึ้นและเร็วขึ้น รูปร่างของมันหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นด้วยตาเปล่า

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงพลังของมันก็ลดลงถึง 40 %และขนาดของมันก็หดลงครึ่งหนึ่ง

 

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปพลังของมันถูกดูดไปแล้วถึง 80% ร่างกายหดเล็กจนเหลือเพียงมีขนาดเท่ากับห้องแคบๆ

 

หลุมดำยังคงห่อหุ้มตัวมันอยู่และดูดซับพลังอย่างต่อเนื่องและขนาดของมันก็ยิ่งเล็กลงอีก

 

ไม่เพียงเท่านั้น จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินยังค้นพบอีกว่าหลุมดำลึกลับที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี้ไม่เพียงแค่กลืนกินพลังของมัน  แต่มันยังดูดกลืนพลังฟ้าดินในถ้ำไปด้วย !

 

พลังในการเขมือบที่น่าสะพรึงกลัวนี้ไม่เพียงแค่ดูดไอพลังของฟ้าดินรอบถ้ำ แต่มันยังพัดทำลายพนังและกำแพงจนพังพินาศ

 

นอกจากนี้ไอพลังฟ้าดินที่อยู่ในอัญมณีรอบถ้ำก็ถูกดูดกลืนไปด้วย สุดท้ายสินแร่ล้ำค่าทั้งหมดก็กลายเป็นหินไร้ค่าที่แตกหักกองระเนระนาด

 

หลังจากนั้น สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าก็เกิดขึ้นตามมา

 

ถ้ำเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและผนังทั้งหมดของถ้ำปริแตกเป็นช่องว่าง ก้อนหินก้อนกรวดนับไม่ถ้วนถล่มลงมาจากเพดาน

 

เสียงปริแตกดัง “แกร่ก” เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามมาด้วยเสียง ‘ครืน’ ของการสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

 

ยอดเขาทั้งหมดสั่นด้วยการเคลื่อนของพื้นดินซึ่งทำให้จิ้งจอกยักษ์สีน้ำเงินตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

 

“ระยำเอ้ย ! ไอ้พลังในการดูดกลืนไร้ที่สิ้นสุดของหลุมดำนี่มันเกิดจากสิ่งใดกันแน่ ?”

“แม้กระทั่งข่ายอาคมอันแข็งแกร่งรอบภูเขาก็ยังถูกทำลายล้างด้วยหลุมดำบัดซบนี่เชียวหรือ ?”