บทที่ 90.1 กล้าแตะต้องคนของข้า? รนหาที่ตายชัดๆ! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เมื่อออกมาจากตรอกถนนจวนอ๋องหนานเหอแล้ว รถม้าของฉู่สวินหยางไม่ได้กลับตำหนักบูรพาในทันที แต่มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศเหนือ รถม้าจอดอยู่กลางทางแยก ระยะห่างจากประตูเมืองออกมาห้าลี้[1]

นางยังไม่ได้นอนมาทั้งคืน ในเวลานี้เองจึงพิงผนังแล้วหลับไป

เหล่าสาวรับใช้เกรงกลัวว่าจะเป็นการรบกวนนาง จึงถอยห่างออกไปรออยู่ด้านนอก

รอจนผ่านไปประมาณครึ่งยามก็ใกล้จะได้เวลาเที่ยงวันพอดี เสียงฝีเท้าของม้าดังกึกก้องมาจากในตัวเมืองหลวง ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นขบวนใหญ่พอสมควร

เจี๋ยหงและข้ารับใช้ที่เหลือตกใจ ในขณะที่กำลังจะไปทูลความ ฉู่สวินหยางก็เปิดประตูรถม้าแล้วเดินออกมา

“ท่านหญิงระวังเจ้าค่ะ แผลที่ขาของท่านยังไม่หายดีเลยนะเจ้าคะ!” เจี๋ยหงรีบเข้าไปพยุงนาง

ฉู่สวินหยางไม่ฝืน ปล่อยให้นางช่วยพยุงลงจากรถม้า

มันก็แค่กลยุทธ์ทุกข์กาย นางรู้ดีว่าควรทำขนาดไหน จึงไม่ได้ทำร้ายตัวเองจนลำบาก อีกอย่างเฉี่ยนลวี่ก็ไปเอาเตียต๋าจิ่ว[2] สูตรลับเฉพาะจากเหยียนหลิงจวินมาให้เธอใช้แล้ว ถึงแม้จะต้องใช้เวลารักษาสักระยะ แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร

เมื่อฉู่สวินหยางยืนขึ้นตรง ขบวนม้าและเหล่าทหารก็หยุดลงตรงเบื้องหน้า

ซึ่งฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้นำขบวน มาพร้อมกับเหลียงอวี่ผู้บัญชาการทหารระดับเก้า ด้านหลังตามด้วยทหารอีกห้าพันนาย ถือว่ากองทัพใหญ่ไม่เบาเลยทีเดียว

“สวินหยางรึ?” พบเจอนาง ณ ที่แห่งนี้ ฉู่ฉีเฟิงเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างไม่รู้ตัว

“ท่านพี่ ข้าขอตามท่านออกจากเมืองไปด้วยนะเจ้าคะ!” ฉู่สวินหยางกล่าว ในระหว่างที่เธอพูดเฉี่ยนลวี่ก็จูงม้าเดินเข้ามา

ฉู่ฉีเฟิงคิ้วขมวด บังคับม้าให้เดินขึ้นหน้าเพื่อหลีกห่างจากนาง พูดเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่ยินดี “แผลบนขาของเจ้ายังไม่หายดี อย่าทำตัวเหลวไหล กลับจวนไปเสียเถิด!”

“เสด็จปู่ถูกลักพาตัวไป ข้าในฐานะหลานสาวเป็นห่วง เป็นเรื่องเหลวไหลที่ไหนกัน?” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างไม่รับฟังไม่ประนีประนอมทั้งสิ้น “หากท่านพี่ไม่พาข้าไปด้วย ข้าก็จะตามไปเอง”

ฉู่ฉีเฟิงจ้องมองนาง เขารู้ว่านางไม่ได้พูดเล่น เขาเองก็ไม่รู้จะทำเยี่ยงไรกับนางดี

เวลาใกล้เข้ามากระชั้นชิด เขาไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึก ยื่นมือไปหานาง “ขึ้นมาสิ!”

ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ผู้คนต่างรู้ว่าทั้งสองคนสนิทสนมใกล้ชิดกันมากเพียงใด ถึงแม้การที่ทั้งสองขึ้นนั่งบนม้าตัวเดียวกันจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่ฉู่สวินหยางมีแผลบาดเจ็บที่เท้า จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้น

ฉู่สวินหยางจับมือฉู่ฉีเฟิงแล้วขึ้นบนหลังม้า หันไปกำชับกับเจี๋ยหงว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”

ฉู่ฉีเฟิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณ เสียงควบม้าดังกระหึ่ม นำพาขบวนกองทัพมุ่งไปยังข้างหน้า

“ทั่วป๋าหรงเหยาจะนำตัวฮ่องเต้กลับไปยังโม่เป่ยให้ได้เลยงั้นหรือเจ้าคะ?” ฉู่สวินหยางกล่าวถามเสียงเบา ใช้เสียงควบม้าที่ดังราวกับเสียงฟ้าผ่าของคนด้านหลังเป็นตัวช่วยกลบเสียง จึงไม่ต้องเกรงกลัวว่าผู้ใดจะได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาสองพี่น้องได้

“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงตอบ “เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ฉู่อี้เจี่ยนส่งสายลับกลับไปเมืองหลวง ได้ข่าวมาว่ารู้เบาะแสของพวกมันแล้ว บอกให้ท่านพ่อนำกำลังทัพไปเสริม”

ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ หรี่ตาเงยขึ้นมองแดดแรงเปรี้ยงที่จ่ออยู่บนศีรษะ จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เขารู้ทั้งรู้ว่าท่านพ่อไม่มีทางตกหลุมพราง กลับไปยังเมืองหลวงตามคำของเขาแน่ ส่วนเรื่องที่ขอให้ท่านพ่อออกจากเมืองหลวงไปช่วยคนนั่นก็เป็นเรื่องโกหก แต่ว่าเรื่องที่ตั้งใจล่อให้พี่ออกมานี่สิ ถึงจะเป็นเรื่องจริง”

ฮ่องเต้โดนลักพาตัว ภายในพระราชวังย่อมวุ่นวายเป็นแน่ แต่ยังดีที่ฉู่อี้อันผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทนั้น ยังมีอำนาจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด

ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ หากฉู่อี้อันเดินทางออกจากเมืองหลวงมาช่วยฮ่องเต้ล่ะก็…

อำนาจในการปกครองเมืองหลวงทั้งเมือง จะตกไปอยู่ในน้ำมือของใครเป็นเรื่องยากที่จะพูดได้

ฉู่อี้เจี่ยนไม่ทีทางคิดที่จะทำแบบนั้นเป็นแน่ เพราะเหตุนั้นเขาถึงได้ส่งข่าวกลับมา เขาไม่ได้คิดมุ่งประสงค์ร้ายฉู่อี้อัน

ฮ่องเต้ถูกลักพาตัว ส่วนฉู่อี้อันเองก็ไปไหนไม่ได้ หากไม่ให้ลูกชายของตนออกไปช่วยเหลือ นั่นก็หมายความว่าเขามีจิตคิดสกปรกต้องการทำอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่

“แบ่งหน้าที่กันอย่างไรบ้างเจ้าคะ? พอมีความมั่นใจไหมเจ้าคะ?” ฉู่ฉีเฟิงไม่ตอบ ฉู่สวินหยางจึงเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง

“พอได้แล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ไม่พูดมาก

ฉู่สวินหยางเองก็เงียบลง ไม่ถามอันใดต่อ

ขบวนกองทัพม้าและทหารเดินทางต่อด้วยความเร่งรีบ

แต่ขบวนของทั่วป๋าหรงเหยาออกเดินทางจากเมืองหลวงไปได้สองวันเต็มๆ แล้ว ระยะทางย่อมห่างไกลมากพอสมควร จนกระทั่งรุ่งอรุณของวันรุ่งขึ้น ณ ด้านนอกถนนที่รายล้อมไปด้วยป่าเขา ขบวนของฉู่ฉีเฟิงถึงตามขบวนของทั่วป๋าหรงเหยาที่นำทัพโดยฉู่อี้เจี่ยนได้ทัน

ทั้งสองฝ่ายต่างนั่งอยู่บนม้า จ้องหน้ากันเป็นเวลาเนิ่นนาน

ขบวนของทั่วป๋าหรงเหยาใหญ่โตมีพลทหารถึงหนึ่งพันนาย ทุกคนปกป้องรถม้าสองคันที่อยู่ตรงกลางอย่างแข็งขัน

แต่ภายในนั้นกลับไม่เจอทั่วป๋าหรงเหยาและฮ่องเต้แม้แต่ผู้เดียว เมื่อเห็นแสงจากเปลวเพลิง ฉู่สวินหยางพลันสังเกตเห็นฮั่วกังในทันที

มุมปากของนางยกขึ้นเผยรอยยิ้ม

ฉู่ฉีเฟิงบังคับม้าเดินหน้าไปยังเบื้องหน้าของฉู่อี้เจี่ยน

ในเวลานี้ ฉู่อี้เจี่ยนนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างไม่ตื่นตระหนก แววตามืดลึกยากจะหยั่งถึงความคิด ทอดมองไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับฮั่วกัง

เมื่อเห็นว่าฉู่ฉีเฟิงและน้องสาวของเขามุ่งหน้าเข้ามา ถึงได้เบนสายตากลับมาปรายตามองทั้งสอง พลางเอ่ยขึ้นว่า “ฉู่สวินหยางก็มารึ?”

“ใช่เจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทั้งสามคนหาได้มีผู้ใดพูดถึงฮ่องเต้ที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันเลยไม่

“ท่านอา ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ!”

“หึ…” ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะ ทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ จากนั้นเบนสายตาไปมองฉู่ฉีเฟิง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้ากับพวกเขาเสียเวลามาทั้งคืนแล้ว พระสนมหรงเฟยก็เพิ่งสูญเสียบุตรไป ฟังคำพูดใดไม่เข้าหูสักอย่าง เอาแต่กัดคนไม่ยอมปล่อย แถมยังพูดข่มขู่อีกด้วย ว่าถ้าเมื่อไรที่พวกข้ากล้าใช้กำลังแล้วล่ะก็ นางจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับฮ่องเต้ ดังนั้นข้าก็เลยยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”

ทั่วป๋าหรงเหยาเปลือยเท้าเปล่าไม่ยอมใส่รองเท้า นางนี่กล้าทำทุกอย่างจริงๆ

ใบหน้าของฉู่อี้เจี่ยนเต็มไปด้วยความกังวล แต่ภายในแววตาดำมืดคู่นั้น ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความผ่อนคลายสบายใจ

พลทหารองครักษ์ที่เขาพามาด้วยมีไม่ถึงสองพันนาย หากต้องการสกัดกั้นขบวนทัพของทั่วป๋าหรงเหยาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ฉู่ฉีเฟิงพาพลทหารออกมาจากเมืองหลวงถึงห้าพันนาย แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับฉู่ฉีเฟิงล่ะก็ เกรงว่าเขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้

ฉู่สวินหยางเพิ่งเข้าใจการตัดสินใจของเขาก็ตอนนี้…

เขาไม่ได้คิดอยากจะฆ่าอีกฝ่ายราบเป็นหน้ากลอง แต่ต้องการ…

ใช้ฮ่องเต้เป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้ฉู่ฉีเฟิงตกเป็นผู้รับผิดอย่างไม่อาจหลุดพ้นความผิดได้ต่างหาก

หากมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นกับฮ่องเต้ต่อหน้าพวกมัน? พวกมันก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน…

เป็นแผนอันแยบยล ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยชัดๆ

ไม่เพียงฉู่ฉีเฟิงที่จะตกระกำลำบาก แต่เป็นคนทั้งวังบูรพาเลยต่างหากเล่า

คนคนนี้ร้ายกาจมาก มองข้ามไปไม่ได้เลยจริงๆ

ฉู่สวินหยางยิ้มเยาะอย่างเย็นชาขึ้นในใจ ไม่แสดงสีหน้าใดออกมาให้เห็น เบนสายตาหันไปมองขบวนทัพของทั่วป๋าหรงเหยาที่อยู่ทางฝั่งตรงข้าม พูดขึ้นเสียง “พระสนมหรงเฟยอยู่ที่ใด? ออกมาคุยกับข้าสักหน่อยเถิด!”

รถม้าสองคันนิ่งไม่มีเสียงตอบรับ

แต่กลับมีเสียงของฮั่วกัง ผู้ที่อารักขาอยู่ด้านข้างรถม้าสองคันนั้นตะโกนขึ้นเสียงแข็ง “ท่านหญิงอย่าเปลืองแรงไปมากกว่านี้เลย เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หรือไม่งั้นท่านก็ลองพูดโน้มน้าวให้องค์ชายเจี่ยนกับคังจวิ้นอ๋องถอยทัพกลับไปเป็นหรือไม่งั้น…พวกเราก็ตายไปด้วยกัน เอาชีวิตของฮ่องเต้ฝังไว้เคียงข้างดีไหมเล่า? แบบนี้ข้าและพระสนมหรงเฟยก็หาได้รู้สึกเสียเปรียบแต่อย่างใด!”

ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นเพียงแค่พระสนมเท่านั้น ถึงแม้ตอนที่นางเพิ่งเข้าวัง จะพาข้ารับใช้และทหารที่ไว้วางใจได้มาด้วย แต่เห็นได้ชัดเลยว่า…

ขบวนทัพที่นางใช้อารักขาครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินความจำเป็น ต้องเป็นคำสั่งของฮั่วกังแน่ๆ

ฮ่องเต้มักหวาดระแวงผู้อื่นอยู่เสมอ ทรงไม่เคยอนุญาตให้ขุนนางมีกำลังพลในมือเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นคนของจวนตัวเองก็ถาม หากจำนวนของคนในจวนมีมากเกินสี่ร้อยชีวิต จะโดนรับสั่งให้แยกย้ายแตกสลายเสียให้สิ้น

ฮั่วกังกลับมายังเมืองหลวงนานกว่าครึ่งปีแล้ว ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ เขามีกองทัพทหารในสังกัดมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?

คนผู้นี้ช่างคิดละเอียดรอบคอบเสียจริง

ฉู่อี้เจี่ยนมองอยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจไยดี

ฉู่สวินหยางไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย นางเอ่ยปากขึ้น “ฮั่วกัง ที่ข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้ เจ้าคงรู้อยู่แก่ใจดี เรื่องที่เจ้ายุยงพระสนมหรงเฟย บอกให้นางจับฮ่องเต้เป็นตัวประกัน แต่เจ้าเองน่าจะรู้ไว้นะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้านั้นมีแต่ความโกรธแค้น เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น ถึงได้ลากพระสนมหรงเฟยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสินะ?”

ณ เวลานี้ ไม่มีใครกล้าหยิบยกฮ่องเต้มาเป็นข้ออ้าง

ฉู่สวินหยางเองก็ต่อกรกับเขาโดยไม่ใช้ชื่อเสียงฮ่องเต้มาข้องเกี่ยว ฮั่วกังไม่ทันได้นึกคิด ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นโมโหเกรี้ยวกราด

ฉู่สวินหยางไม่รอให้เขาได้เอ่ยปาก นางพูดเสริมขึ้น “เจ้าบอกว่าพระสนมหรงเฟยไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าใช่ไหม? ข้าล่ะสงสัยจริงเชียว ว่าเจ้าพูดเองเออเอง เพราะจับฮ่องเต้และพระสนมหรงเฟยเป็นตัวประกันไว้แล้วทั้งสองพระองค์หรือเปล่า แล้วตอนนี้คิดอยากโยนความผิดนั่นให้พระสนมหรงเฟย ให้นางมาเป็นแพะรับบาปให้เจ้าสินะ!”

ภายใต้สถานการณ์ตรงหน้านี้ ถึงแม้จะเกี่ยวพันถึงชีวิตของฮ่องเต้ แต่ฉู่อี้เจี่ยนและฉู่ฉีเฟิงก็ไม่กล้ารุกสู้เต็มกำลัง แต่ถ้าดึงดันแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็ไม่อาจเสียเวลาได้ไปมากกว่านี้แล้ว

ฮั่วกังร้อนรน เกรงกลัวว่าทั่วป๋าหรงเหยาจะเปลี่ยนใจ รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านหญิงสวินหยาง ท่านอย่าได้ยุให้พวกเราผิดใจกันเลย องค์ชายเจี่ยนและคังจวิ้นอ๋องก็ยังอยู่ตรงนี้ เรื่องนี้ยังไม่ต้องถึงมือท่านหรอก”

เขาพูดด้วยสีหน้าขึงขัง พลางหันไปจ้องมองฉู่อี้เจี่ยน เอ่ยเสียงขึ้นอย่างเย็นชา “องค์ชายขอรับ ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจะสั่งเดินทัพต่อหรือไม่ขอรับ?”

เดิมทีฉู่อี้เจี่ยนและเขาเป็นพันธมิตรต่อกัน แต่หลังจากที่เรื่องราวถูกเปิดโปง เขาไม่เพียงไม่ให้ความช่วยเหลือ แต่ยังได้ทีขี่แพะไล่ ฉวยโอกาสโจมตีตอนที่เขาลำบากอีกด้วย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว แววตาของฮั่วกังคุกรุ่นไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความอาฆาต

สีหน้าท่าทางของฉู่อี้เจี่ยนไม่สะทกสะท้าน เอ่ยเสียงขึ้นอย่างใจเย็น “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ปล่อยตัวฮ่องเต้มา แล้วกลับไปยังเมืองหลวงรับโทษแต่โดยดี นอกเหนือจากนี้ เจ้าก็หาได้มีทางเลือกอื่นแล้ว”

ฮั่วกังกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อเกร็งจนสั่น แววตาโหดร้ายน่ากลัว

————————————

[1] ระยะทางหนึ่งลี้ เทียบเท่ากับ 500 เมตร ห้าลี้เท่ากับ 2.5 กิโลเมตร

[2] เตียต๋าจิ่ว หรือดิทตาโจว เหล้าที่ใช้สำหรับทาเพื่อรักษาอาการฟกช้ำจากการกระแทก