บทที่ 90.2 กล้าแตะต้องคนของข้า? รนหาที่ตายชัดๆ! (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะจัดการกับฉู่อี้เจี่ยนอย่างไรดี ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยอมสารภาพว่าพวกเขาสองคนรวมหัววางแผนกันก่อเรื่องนี้ขึ้น อีกฝ่ายคงตีตราว่าเขาจงใจใส่ร้ายป้ายสีเพื่อเอาตัวรอดเป็นแน่ ขนาดจดหมายฉบับนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

ฮั่วกังโกรธจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยความแค้นออกมาได้ ทำได้เพียงจ้องขบวนของฉู่อี้เจี่ยนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโมโห

ฉู่ฉีเฟิงยังคงไม่เอ่ยคำใดขึ้น

เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะสว่าง ฉู่สวินหยางก้มหน้าลูบจับแส้ม้าในมือ พลางกล่าวขึ้นว่า “พระสนมหรงเฟย ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้ายนะเจ้าคะ ท่านจะเดินทางไปพบจุดจบอันน่าอนาถกับฮั่วกังจริงแน่รึเจ้าคะ?”

ฮั่วกังกำลังตกที่นั่งลำบาก จึงได้มีความคิดลากให้ทุกคนลำบากไปกับตน หากทั่วป๋าหรงเหยายังพอฉลาดอยู่บ้าง ก็ไม่มีทางคิดเหมือนเขาเป็นแน่

ฉู่สวินหยางพูดเร่งขึ้นอย่างรีบร้อน ทางฉู่อี้เจี่ยนคิดว่ารอดูเรื่องสนุก ส่วนฉู่ฉีเฟิงก็หาได้สนใจไม่

ทางรถม้าที่อยู่อีกฝั่ง ทั่วป๋าหรงเหยาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ฮั่วกังเพิ่งถอนหายใจออกมาว่าแย่แล้ว ทั่วป๋าหรงเหยาก็เปิดประตูรถม้าออก ยืนอยู่บนที่นั่งของคนบังคับรถม้า

นางเพิ่งคลอดลูก แถมยังบาดเจ็บหนัก หนำซ้ำยังต้องมารีบหนีด้วยจิตใจที่พะวักพะวนทั้งวันทั้งคืน ทำให้ในเวลานี้สภาพจิตใจของนางย่ำแย่เป็นอย่างมาก

ร่างกายอ่อนแรง ใบหน้าขาวซีด ไร้ซึ่งชีวิตชีวา

แสงคบเพลิงส่องส่องสะท้อนลงบนใบหน้าของนาง เผยให้เห็นสีหน้าที่จะตายแหล่มิตายแหล่ของนาง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง นางใช้มือข้างหนึ่งกุมท้องของตนเองไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งมีนางรับใช้คอยช่วยพยุง ร่างกายของนางสั่นระริก

“พระสนมขอรับ เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไม่มีโอกาสถอยกลับแล้วนะขอรับ” ฮั่วกังร้อนรน กล่าวเตือนอย่างเย็นชา “หากกลับไปตอนนี้ สิ่งที่รอคอยท่านอยู่ก็มีแต่ความตายนะขอรับ”

จับฮ่องเต้เป็นตัวประกัน มีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต หาได้มีโอกาสปล่อยให้เราได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย

ทั่วป๋าหรงเหยาไม่แยแสเขา กลับพูดขึ้นกับฉู่สวินหยางที่อยู่เบื้องหน้า “ท่านหญิงสวินหยาง เรื่องนี้ท่านตัดสินใจได้คนเดียวงั้นรึ?”

ฉู่สวินหยางยิ้มอ่อน ใช้แส้แม้ชี้หน้าฮั่วกัง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ความเป็นความตายของมัน ข้าเป็นคนตัดสินแต่เพียงผู้เดียว!”

สีหน้าของฮั่วกังมืดมน ร่างกายเย็นเยียบเต็มไปด้วยแรงอาฆาตพยาบาทจนสัมผัสได้

เขาไม่กลัวว่าทั่วป๋าหรงเหยาจะทรยศ พูดง่ายๆ คนทั้งหมดนี่เป็นคนของเขา หากจะบอกว่าทั้งสองร่วมมือกัน สู้พูดว่าเขากำลังควบคุมบงการทั่วป๋าหรงเหยาอยู่เสียจะดีกว่า

ทหารผ่านศึกผู้แกร่งกล้าอย่างเขา ในวันนี้เวลานี้กลับโดนเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมข่มขู่เอาเสียได้ ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก

เขาแทบไม่คิดไตร่ตรองให้มากความ

เมื่อเห็นทั่วป๋าหรงเหยาเม้มปาก ใบหน้าที่เคยอ่อนแรงแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นในฉับพลัน ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “พวกเจ้าทุกคนจงฟังข้าให้ดี ฮั่วกังมีความแค้นส่วนตัวกับคนอื่น วันนี้อย่างไรพวกเจ้าก็ไม่มีทางถอยทัพเอาชีวิตรอดไปได้อีกแล้ว หากพวกเจ้าต้องการภักดีต่อเขา ก็จงเสียสละพลีชีพเพื่อเขา หากพวกเจ้าคนใดยินยอมติดตามข้าไป ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดิมพัน อนาคตที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร พวกเจ้าเลือกเอาเองแล้วกัน!”

นางแปรพักตร์อย่างเปิดเผย ทั้งยังวางแผนดึงคนของเขาไปด้วย?

ฮั่วกังคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาหันหวับไปจ้องมองนางอย่างโมโห

ทหารข้างกายทั่วป๋าหรงเหยาที่อยู่ไม่ไกล ก็รีบวิ่งเข้ามาล้อมวงปกป้องอารักขานาง

ส่วนบรรดาลูกน้องของฮั่วกังแต่ละคนลนลานวิ่งพล่านอย่างไม่เป็นท่า ไม่รู้ว่าจะเข้าพวกกับฝ่ายไหนดี…

พวกเขาไม่ใช่หน่วยกล้าตาย จึงไม่มีเหตุผลจะยินยอมพลีชีพเพื่อหัวหน้าของตน ระหว่างเสียชีวิตแน่ๆ กับมีชีวิตต่อด้วยความหวังริบหรี่ ทางเลือกของคนส่วนมากก็ชัดเจนอยู่แล้ว

สีหน้าของฮั่วกังดำมืด จู่ๆ ก็รู้สึกหวาดกลัว ระแวงขึ้นมา

ทั่วป๋าหรงเหยาไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย นางหันไปกล่าวกับฉู่สวินหยางว่า “คนคนนี้ ข้ามอบให้เจ้า แต่ข้าขอต้องการให้เจ้าพูดมาหนึ่งประโยค!”

“คำพูดอันใด?” ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้มมุมปาก มองนางกลับอย่างสนอกสนใจ

ฉู่สวินหยางรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าแม่นางทั่วป๋าหรงเหยาผู้นี้เป็นคนเจ้าแผนการ แต่ไม่คิดเลยว่านางจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในเวลาคับขันเยี่ยงนี้

“ข้าพาตัวฮ่องเต้ไป ข้ารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการบังคับให้พวกท่านปล่อยตัวข้าไปทั้งแบบนี้ แต่ในเมื่อท่านอยากได้ตัวเจ้าคนผู้นี้นัก…” ทั่วป๋าหรงเหยากล่าว พลางปรายตามองฮั่วกัง แล้วกล่าวขึ้นต่อว่า “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ท่านต้องให้เวลาข้าครึ่งวัน หลังจากครึ่งวันแล้ว หากข้าหนีไม่พ้น ถูกพวกเจ้าจับได้อีกครั้ง ข้าจะไม่พูดตัดพ้อแม้แต่คำเดียว!”

จังหวะการพูดของนางรวดเร็ว ดูท่านางได้ตัดสินใจไปแล้ว และไม่มีความคิดลังเลแม้แต่น้อย

แต่ฉู่สวินหยางยังไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน…

น้ำเสียงของนางสั่นราวกับยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถสัมผัสได้แอบซ่อนอยู่

เมื่อคำพูดของทั่วป๋าหรงเหยาจบลง ไม่ทันได้รอให้ฉู่สวินหยางรู้สึกตัว ฮั่วกังก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ฉู่สวินหยางท่านกล้ารับปากคำขอเยี่ยงนี้รึ? แม่นางต่างถิ่นผู้นี้มีเจตนาร้ายแอบแฝง หากท่านปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงตกอยู่ในน้ำมือของนาง ก็เท่ากับว่าท่านทรยศต่อแผ่นดิน”

ทั่วป๋าหรงเหยาหันขวับมองฮั่วกังอย่างแค้นเคือง ลูบท้องของตนแล้วสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นพูดกับฉู่สวินหยางอีกว่า “ข้าก็เพียงแค่หมดหนทาง อยากจะกลับไปยังโม่เป่ยใจจะขาด ถึงได้ใช้ฮ่องเต้เป็นตัวประกันเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้นหลังจากครึ่งวันแล้ว หากข้าตกในน้ำมือของท่านอีกครา ถึงตอนนั้นก็คงไร้ซึ่งหนทางให้ย้อนกลับอีกแล้ว ข้าเพียงแค่อยาก

มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป ไม่ได้มีเจตนาจะสังหารฮ่องเต้ เพราะอย่างไรมันก็ทำให้แคว้นโม่เป่ยพลอยได้รับอันตรายไปด้วย หากท่านปล่อยข้าไป ในภายภาคหน้าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร ข้าขอรับประกันว่าจะคืนฮ่องเต้ให้ท่านอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแน่นอน!”

นางหลบซ่อนออกจากพระราชวังอย่างรีบร้อน จึงไม่ได้คิดการณ์ใดล่วงหน้าเป็นพิเศษ เพราะว่าฮ่องเต้รู้ความลับระหว่างนางกับทั่วป๋าไหวอัน นางถึงได้กระทำเช่นนั้นไปเพื่อปกป้องตัวเอง

พูดง่ายๆ ได้ว่า แม่นางผู้นี้ยังไม่โหดร้ายมากพอ และยังเห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก นางคิดถึงแต่ชีวิตของตนเอง เพราะฉะนั้นคำพูดของนางเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย

ฉู่สวินหยางยิ้มแต่ไม่ตอบรับคำขอ แล้วหันหน้าไปหาฉู่อี้เจี่ยน แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอาคิดเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

นี่นางโยนเรื่องปวดหัวรับมือยากมาให้เขาชัดๆ เลยนี่…

ฉู่อี้เจี่ยนเม้มปาก จ้องมองเธออย่างใจเย็น ไม่แม้แต่เอ่ยเสียงใดขึ้นมา

ทั่วป๋าหรงเหยาทนรอไม่ไหวอีกต่อไป นางโบกมือ จากนั้นทหารทั้งสองนายก็กระโดดขึ้นไปยังรถม้า แล้วนำตัวฮ่องเต้ที่สลบไปด้วยฤทธิ์ยาออกมา

ทั่วป๋าหรงเหยาพยุงตัวลุกขึ้น รับกระบี่มาจากทหาร จากนั้นปาดลงบนคอของฮ่องเต้ พร้อมพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พวกเจ้าไม่ตอบรับคำขอของข้าก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามข้าก็เหลือเพียงแต่ความตายเท่านั้น งั้นตอนนี้ข้าฆ่าสังหารฮ่องเต้ก่อนแล้วกัน”

ในขณะที่นางพูดอยู่นั้น คมกระบี่ในมือก็กดแรงขึ้น เผยให้เห็นแผลเลือดออกบนลำคอของฮ่องเต้ในทันที

เลือดสีแดงสดกระเซ็นไปทั่วเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองทอง สองสีตัดกันอย่างเห็นได้ชัด

“ข้ารับปากท่าน!” ในที่สุดฉู่ฉีเฟิงที่นิ่งเงียบอยู่นานโขก็เอ่ยปากขึ้น ใบหน้าเย็นชาเข้มงวด “ท่านหนีไปเสียเถิด ระยะเวลาครึ่งวัน หากท่านรักษาคำพูดได้คงดีไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่ใช่แค่ตัวท่าน เพราะข้าทำจะให้ทุกคนในแคว้นโม่เป่ย

ถวายชีวิตเพื่อฮ่องเต้เป็นแน่!”

เป็นเพราะทั่วป๋าหรงเหยาดึงดันทำให้เรื่องมาถึงขั้นนี้ ในเวลานี้สิ่งที่เขายอมทำได้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว ไม่งั้นแม้แต่หนทางตามหาฮ่องเต้ก็คงไม่มีเหลือ

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั่วป๋าหรงเหยาก็โล่งอก

ฮั่วกังเห็นว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง ทำให้ตนเริ่มเสียเปรียบ ก็ครุ่นคิดจนโมโห โพล่งตะโกนออกมาด้วยความโกรธ กวัดแกว่งทวนยาวในมือ ง้างมือขึ้นเป้าหมายก็คือทั่วป๋าหรงเหยา

เดิมทีทั่วป๋าหรงเหยาเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว เมื่อยิ่งเจอกับสถานการณ์แบบนี้เข้าก็ยิ่งหวาดกลัวจนอ่อนแรงไปทั้งตัว

ทหารองครักษ์ของนางรีบเข้ามาคุ้มกัน

บนหลังม้าในด้านนี้ ฉู่สวินหยางกลับยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ส่วนฉู่ฉีเฟิงที่ไม่รู้ว่าจู่ๆ เกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกหวั่นวิตกขึ้นมาในขณะที่สองขายืนอยู่บนพื้น มือข้างหนึ่งของเขาก็หยิบคันธนูและลูกศรมาจากด้านหลังของทหารองครักษ์

เขาดึงคันธนู ใส่ลูกศรเข้าไป ปักลงเข้าเป้าในทันที

ใบมีดของฮั่วกังที่มุ่งเป้าหมายไปยังศีรษะของทั่วป๋าหรงเหยายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็โดนลูกธนูทิ่มแทงจนทะลุข้อมืออย่างโหดเหี้ยม

ภายใต้ความเจ็บปวดร้ายแรงนั้น เขาจึงคลายมือออก

กระบี่ร่วงหล่นลงพื้น เขากระโดดหลบไปด้านข้าง เพื่อหลบทวนในมือเหล่าทหารองครักษ์ของทั่วป๋าหรงเหยาอย่างช่วยไม่ได้

ทั่วป๋าหรงเหยาโมโหเกรี้ยวกราด สองขาอ่อนแรงจนคุกลงบนที่นั่งของคนบังคับระม้า ตะโกนขึ้นเสียงแหลมว่า “สังหารมันให้สิ้นซาก!”

บรรดาทหารองครักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการตามคำสั่งในทันที

 ———————-