บทที่ 361 พระอาทิตย์อัสดง

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 361 พระอาทิตย์อัสดง
พอคิดถึงตรงนี้ จ้าวเทียนจีหัวเราะฮ่า ๆ

“นายท่านอาน น้องจุยเฟิง พวกคุณจะตื่นเต้นเกินไปแล้วมั๊ง?”

“มือทั้งสองข้างของผม ก็แค่ปรับบรรยากาศเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นเอง”

“นายท่านอาน เป้าหมายแท้จริงที่ผมมาในครั้งนี้ คุณอยากฟังดูหน่อยมั๊ย?”

อานกั๋วปัดมือ ให้จุยเฟิงถอยไปแล้วหัวเราะเอ่ยว่า: “นายท่านจ้าวสามเชิญเล่ามา”

จ้าวเทียนจีทำเป็นจริงใจเอ่ยด้วยเสียงดังว่า: “หยุนชวนกับหนานเจียง ไม่ข้องเกี่ยวกันมาแต่ไหนแต่ไร”

“ครั้งนี้ กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ แม้จะมีคนจงใจใส่ร้ายป้ายสี ยุแยงตะแคงรั่ว”

“แต่ว่า พี่สองของผม ก็เป็นเจ้าบ้านตระกูลจ้าว ให้ความสำคัญเช่นกัน”

“เขารู้สึกว่า ไม่ควรให้โอกาสคนที่มีเจตนาร้ายยุแยงความสัมพันธ์ของพวกเรา”

“ดังนั้น เขาเตรียมตัวว่าวันมะเรื่อง จะจัดงานเลี้ยงที่หอว่างเจียงจุดตัดพรมแดนของสองเมืองหลวง เชิญนายท่านอานเป็นประธาน”

“ถึงเวลานั้น เขาจะใช้สถานะเจ้าบ้านตระกูลจ้าว อธิบายต่อนายท่านอานให้ชัดเจน”

พูดจบ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนไป จ้องไปที่อานกั๋วหัวเราะอย่างเยือกเย็นว่า: “นายท่านอาน พี่ชายรองให้ผมถามคุณว่า คุณกล้าไปมั๊ย?”

พอได้ยินคำนี้ สีหน้าของหูปิน หนิงทง และจุยเฟิงก็ถอดสี

หนิงทงเกือบจะหลุดปากไปว่า ไปไม่ได้

แต่ก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะสม ได้แต่อดทนกลับไป พวกเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอานกั๋ว

ใคร ๆ ก็รู้ว่านี่เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน (หมายถึงงานเลี้ยงที่ฉวยโอกาสกำจัดอีกฝ่าย)

อานกั๋วหัวเราะฮ่า ๆ

“ได้!”

“เจ้าบ้านจ้าวอุตส่าห์มีอารมณ์สุนทรีย์กับความจริงใจอย่างนี้ พบปะกันต่อหน้าย่อมดีกว่าลอบฆ่าลับหลังอยู่แล้ว”

“นายท่านสาม ขอบคุณที่ท่านไม่เกี่ยงความลำบากมาต้อนรับด้วยตัวเอง”

“มื้อนี้ ผมไปกินแน่นอน!”

จ้าวเทียนจีคิดไม่ถึงว่าอานกั๋วจะตกลงอย่างสบาย ๆ สำหรับอานกั๋วที่อายุมากปูนนี้ ยังองอาจกล้าหาญขนาดนี้

เขาเองก็รู้สึกนับถืออยู่ในใจ

“ไม่เสียแรงที่เป็นราชาแห่งหนานเจียง”

“อย่างนั้นวันมะรืน พวกเราเจอกันที่หอว่างเจียงก็แล้วกัน”

“นายท่านอาน พี่ชายรองของผมบอกว่า ระหว่างทางอาจจะไม่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการถูกลอบสังหารของท่าน ดังนั้นทางที่ดีควรพาคนไปด้วยเยอะ ๆ”

“ข้างกายคุณซ่อนยอดฝีมือคนหนึ่งไว้ ชื่อฉินเทียนไม่ใช่เหรอ?”

“เอาเขาไปด้วยสิ”

อานกั๋วหัวเราะ: “ขอบคุณนายท่านสามที่เตือนความจำ”

“ในเมื่อนายท่านสามห่วงใยความปลอดภัยของผมขนาดนี้ เพื่อเป็นการตอบแทน มีข่าวหนึ่งที่ต้องบอกนายท่านสามไว้ดีกว่า”

“นายท่านสาม นักฆ่าที่จะฆ่าผม ก่อนตายเอ่ยคำว่า ตระกูลจ้าว จ้าวข่าย”

“ไม่ทราบว่าจ้าวข่ายคนนี้เกี่ยวข้องกับนายท่านสามยังไง?”

ใบหน้าจ้าวเทียนจีถอดสีกัดฟันเอ่ยว่า: “เป็นลูกชายของผม”

อานกั๋วฉุกคิดในทันที

“นักฆ่าเอ่ยแซ่เอ่ยนาม พูดถึงลูกชายของนายท่านสาม เกรงว่าเบื้องหลังนี้จะไม่ธรรมดานะ”

“เรื่องของตระกูลจ้าวผมไม่ค่อยเข้าใจ เชื่อว่าในใจนายท่านสามรู้ว่าควรจัดการอย่างไร”

สายตาจ้าวเทียนจีมีไฟความแค้นปะทุ

เมื่อสักครู่ เขาแกล้งพูดกดดันอานกั๋ว พออานกั๋วบอกเรื่องนี้ก็เหมือนได้ป้อนแมลงวันตัวหนึ่งเข้าปากเขา

“ลาก่อน!”

เขาถอนหายใจแล้วก็เดินสะบัดจากไป

ภายใต้การคุ้มกันของหลี่จื้อเจียนและข่งหลง ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป

ก่อนหลี่จื้อเจียนจะจากไป ก็จ้องจุยเฟิงเขม็งแวบหนึ่ง

“วันมะรืนที่หอว่างเจียง ไม่พบไม่เลิกรา”

จุยเฟิงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า: “เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้ตัดสินความเป็นความตาย”

สีหน้าหลี่จื้อเจียนถอดสีแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ปัดมือแล้วก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป

“นายท่าน เห็นชัด ๆ ว่านี่เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน (หมายถึงงานเลี้ยงที่ฉวยโอกาสกำจัดอีกฝ่าย)

ตระกูลจ้าวมีแผนร้ายแอบแฝง ทำไมท่านยังรับคำพวกเขา?” ในที่สุดหนิงทงก็เอ่ยความในใจออกมาก

อานกั๋วแสยะยิ้มเอ่ยว่า: “ไม่เช่นนั้นล่ะ?”

“ในเมื่อระหว่างหยุนชวนกับเจียงหนาน ช้าหรือเร็วก็ต้องทำสงครามกัน แล้วแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรือ?”

สีหน้าหูปินเคร่งขรึม: “ตระกูลจ้าวมี 13 องครักษ์ แม้จะเสียชีวิตไป 3 คนแล้วก็ยังมีอีก 10 คน”

“จากการคาดการณ์ผ่านหลี่จื้อเจียนกับข่งหลง พวกเขาฝีมือสูงส่งกันจริง ๆ”

“นายท่าน ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ฝ่ายเรา น้องจุยเฟิงรวมผมแล้วก็มีแค่สองคน เกรงว่าจะไม่ไหวนะขอรับ”

เขาไม่ได้ดับศักดิ์ศรีตัวเองจากความมุ่งมั่นของคนอื่น คนสองคนรับมือกับ 10 องครักษ์ มันเหนื่อยจริง ๆ

ที่เขาพูดออกมาเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของอานกั๋ว

จุยเฟิงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า: “คุณหูอารักขาค่ายใหญ่นี้อยู่ ไม่จำเป็นต้องไปแนวหน้า”

หูปินตะลึงไปสักพัก: “นายจะไปเดี่ยวกับพวกเขาเหรอ?”

จุยเฟิง: “ไม่ ยังมีฉินเทียน”

หูปินหัวเราะฮ่า ๆ: “ทำไมฉันถึงลืมมหาเทพองค์นี้ไปได้นะ!”

“เมื่อสักครู่จ้าวเทียนจีก็เรียกชื่อน้องฉินเทียนด้วยตัวเอง นายท่าน สถานการณ์ช้าไม่ได้ รีบเรียนน้องฉินเทียนมาโดยเร็ว เพื่อปรึกษากัน”

“ครั้งนี้ หวังว่าจะชนะตระกูลจ้าวในคราวเดียว!”

จุยเฟิงลังเลสักครู่เอ่ยว่า: “นายท่าน ผมมีเรื่องหนึ่งจะขอร้อง”

“ว่ามา”

“ผมอยากไปหลงโจวเองสักครั้ง”

อานกั๋วส่ายมือหัวเราะแล้วเอ่ยว่า: “ไปเถอะ ๆ”

“หลงเจียงเป็นดินแดนซ่อนรังพยัคฆ์มังกร ฉันรู้ ว่านายอยากไปเห็นมานานแล้ว”

“คนหนุ่มก็ควรอยู่กับคนหนุ่ม จะเฝ้าตาแก่อย่างฉันไปวัน ๆ ทำไม”

“นายวางใจได้ ที่นี่มีหูปิน ฉันไม่เป็นอะไรแน่นอน”

“อีกอย่าง ในเมื่อตระกูลจ้าวนัดงานเลี้ยงหงเหมินแล้ว ก่อนหน้าที่จะถึงวัน ไม่ส่งคนมารบกวนแน่”

“ใช่!”

“ผมไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ!” สายตาของจุยเฟิงฉายแววความดีใจ

เหมือนเด็กน้อยที่ทำการบ้านทุกวัน ในที่สุดก็ได้เดินออกจากห้องหนังสือไปลิงโลดภายนอกแล้ว

ณ เมืองหลงเจียง

ช่วงยามอาทิตย์อัสดง มีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายแว่วมาเป็นระยะ ๆ

แม้จะเป็นฤดูหนาว สายลมเย็นยะเยือก

แต่ว่า ในเขตสัตว์ร้ายกลับเป็นภาพไฟลุกโชนโชติช่วง

เขต A เงาของหมาในกลุ่มหนึ่งแฉลบผ่านทุ่งหญ้า คอยเล็งเหยื่อตลอดเวลา ย่อตัวแล้วกระโดดขึ้นเริ่มท่าไม้ตาย

แม้ร่างกายของพวกมันจะไม่ใหญ่โต แต่ว่า มีความแม่นยำแน่นอน

อีกทั้ง ยังเชี่ยวชาญการสงครามแบบทีม

สิ่งที่พวกมันล่า คือชายสองคนที่ดูซื่อ ๆ พวกเขาคือหลางจงกับเถียเจี้ยง

เขต B หมาป่าหอนเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางกลุ่มหมาป่า เงาสีแดงงดงามสองเงาเป็นระรอกสะดุดตาเป็นพิเศษ

เถี่ยหนิงซวงกับเหมยหงเซว่ คนหนึ่งถือกระบี่ไม้ อีกคนถือมีดไม้

สายตาที่หนาวสะท้าน กับฝูงหมาป่าหนึ่งฝูง

เขต C กับ เขตD คึกคักที่สุด

ฝูงสิงโตฝูงหนึ่งกับเสือร้ายสองสามตัว กำลังล่าชายสองคน

ชายทั้งสองมือเปล่าไร้อาวุธ ลำตัวไร้เสื้อ สายตาดุยิ่งกว่าสัตว์ร้าย

หมัดที่เหมือนค้อนเหล็ก ฟาดเสือสิงโตที่กระโจนเข้ามาล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า

พวกเขาคือถงชวนกับเถียปี้

ที่พิเศษสุดก็คือเขตหนองน้ำแห่งหนึ่ง

หม่าหงเทากับชุยหมิง

มีดในมือของพวกเขา เปลี่ยนเป็นมีดไม้ ภายใต้วงล้อมของกลุ่มจระเข้ กระโดดไม่หยุดเหมือนออกกำลังกาย

นี่เป็นการเริงระบำบนฟันจระเข้สินะ

หากไม่ระวัง ก็จะถูกฟันเลื่อยนั่นบดละเอียดได้

จากเสียงดังกึกก้อง เห็นแต่ก้อนหินบนพื้นถนน

ยักษ์ตนหนึ่งที่ยังกับผีพรายแล้ง บนคอแขวนโซ่เหล็กขนาดใหญ่เท่าลำแขนยาวเป็นเมตร

โซ่ทั้งสองด้าน แขวนรถเข็นคันหนึ่งไว้

บนรถกองไปด้วยเนื้อสดเปื้อนเลือด

เขาลากรถเดินจากเขตสัตว์ร้ายออกไปข้างนอก กลับไม่โยนเนื้อเข้าไปป้อน แต่กลับให้กลิ่นคาวเลือดกระตุ้นความดุร้ายของสัตว์ร้ายเหล่านั้น

หลังจากผ่านการเผชิญหน้าเป็นเวลานาน สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็เหมือนรู้สึกตัว

นั่นก็คือ การเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ยิ่งพวกมันดูดุร้าย ก็ยิ่งแสดงว่ามีเนื้อให้กิน

กระทั่ง สัตว์ร้ายที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ ก็จะได้รับรางวัลต่างหาก

มีเพียงเช่นนี้ จึงจะทำให้สัตว์ร้ายเหล่านี้มีความก้าวร้าว

ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีแรง เสียสัญชาติการจู่โจม ฝึกไปก็เปล่าประโยชน์