ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 171 เพลงกระบี่ลำนำชาวประมงสามกระบวนท่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คนทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกัน

เมื่อใกล้จะเริ่มการต่อสู้ ซึ่งเป็นการต่อสู้รอบสุดท้าย และเป็นการต่อสู้ชี้ขาดอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ หากเปรียบเทียบกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว บรรยากาศไม่เหมือนกัน

หน้าต่างบนชั้นสองเปิดขึ้น บรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นมาถึงยังริมหน้าต่าง นักบวชที่รับผิดชอบการสอบเหล่านั้นก็มาอยู่ริมระเบียง มิใช่เพราะจะมาดูความครึกครื้น แต่ทว่าเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เข้าสอบทั้งสองที่เข้าร่วมการสอบใหญ่

เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือทำความเคารพผู้คนที่อยู่บนชั้นสองอีกครา

เวลานี้เอง ในหอมีเสียงดังแอ๊ดขึ้น จากนั้นก็ได้เห็นนักบวชพระราชวังหลีต่างทยอยทำความเคารพ ท่าทางของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นพลันเปลี่ยนไป มีเสียงดังขึ้นเพื่อปรี่เข้าไปรับ

ผู้นำกลุ่มอำนาจเก่าของนิกายหลวง เหมยหลี่ซาแห่งสำนักการศึกษากลางมาดูด้วยตนเอง

เพราะว่าอายุและประสบการณ์ความสามารถ อีกทั้งเพราะครึ่งปีมานี้ที่คอยคุมเชิงระหว่างสังฆราช ใต้มุขนายกยิ่งมีฐานะสูงส่งอยู่ภายในของนิกายหลวง เฉินหลิวอ๋องและเซวียสิ่งชวนเข้ามาแสดงความเคารพและความห่วงใยก่อน สวีซื่อจีทำความเคารพ และมุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองต่างหน่วยงานทั้งสอง ก็เข้ามาทำความเคารพด้วย

ใต้เท้ามุขนายกมองม่ออวี่แล้วพยักหน้า

ม่ออวี่รู้ความหมายที่ผู้ชราท่านนี้มาดูการแข่งขันด้วยตนเองดี สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น กลับมิได้เอ่ยสิ่งใด

……

……

บนชั้นสองคึกคักเล็กน้อย ผู้ยิ่งใหญ่ต่างทยอยกันทำความเคารพ จากนั้นจึงจัดการที่นั่ง ชงน้ำชานำผลไม้ออกมา เพียงชั่วครู่ โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง นักแสดงนำทั้งสองคนต่างก็ถูกลืมเลือน

เพียงชั่วครู่ยังมิได้ต่อสู้ พวกเขาทั้งสองจึงสนทนากัน

โก่วหานสือเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ผู้คนเหนือความคาดหมาย”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “โชคการจับฉลากของข้าคงไม่เลวนัก”

นี่เป็นคำพูดที่จริงใจ มิใช่การถ่อมตัว ยิ่งไม่ใช่การถ่อมตัวเพื่อการปิดบังความลำพองใจ

โก่วหานสือมองเขาเงียบๆ เอ่ยออกมา “ตามความสามารถของเจ้า อยู่จิงตูเป็นเวลาครึ่งค่อนปีที่จริงแล้วเงียบสงบเกินไป เห็นทีไม่ควรจะเงียบนิ่งเช่นนี้ เจ้ามีคุณสมบัติในการดำรงชีวิตที่มีอิสระกว่านี้”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ข้าคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าที่แนะนำข้า”

โก่วหานสือยิ้มพลางเอ่ยต่อ “ต่างก็เป็นคนที่ชื่นชอบศึกษาตำรา ที่จริงแล้วไม่ชื่นชอบออกไปข้างนอก เพียงแค่เมื่อนก่อนประโยคนี้ศิษย์พี่เคยแนะนำข้า ข้าคิดว่ามีเหตุผล ด้วยเหตุนี้จึงมอบให้แก่เจ้า”

ศิษย์พี่ของข้า แน่นอนว่าคือชิวซานจวิน

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด มิได้เอ่ยตอบ แต่ได้กล่าวตอบการแนะนำประโยคแรกของโก่วหานสือ “ข้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ด้วยเหตุนี้จึงเคยชินกับการใช้ชีวิตที่ระมัดระวังรอบคอบเสียแล้ว”

โก่วหานสือเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เคร่งครัดกับระมัดระวังรอบคอบเป็นคนละคำกัน”

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ ยังคงยืนหยัดต่อไป “เป็นการระมัดระวังรอบคอบ”

โก่วหานสือเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดเล่า”

“นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่เข้าใจ และเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจอธิบายได้” เฉินฉางเซิงตอบ

โก่วหานสือเอ่ยต่อ “ระมัดระวังรอบคอบในการใช้ชีวิต แน่นอนว่าไม่รวมถึงการเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่”

เฉินฉางเซิงมองไปยังชั้นสอง กล่าวว่า “วันนั้นเจ้าก็อยู่ด้วย รู้ดีว่าประโยคนี้มิใช่ข้าที่พูดออกมา”

โก่วหานสือจ้องเขม็งดวงตาของเขาเอ่ยออกมา “ไม่ใช่เจ้าพูด นั่นมิใช่เรื่องที่เจ้าต้องทำรึ”

เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด ยอมรับในจุดนี้

โก่วหานสือกล่าวต่อ “ด้วยเหตุนี้ข้าถึงรู้สึกว่าขัดแย้งกันอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเอยตอบ “ข้าเคยบอกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่เข้าใจ และเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจอธิบายได้ แต่มิได้ขัดแย้ง เพราะว่าไม่มีใครชื่นชอบชีวิตที่ระมัดระวังรอบคอบ”

เวลานี้เอง มีเสียงเอ่ยถามดังมาจากชั้นสอง

ยังคงเป็นประโยคที่วันนี้ถามซ้ำไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

“พวกเจ้า…เตรียมตัวเสร็จหรือยัง”

……

……

ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น เฉินฉางเซิงเอ่ยขออภัยต่อโก่วหานสือ

“ข้าจะต้องเอาอันดับแรกประกาศแรก ข้ายินยอมทำทุกอย่าง เจ๋อซิ่ว…รับเงินจากสำนักฝึกหลวง ข้ากับเขาได้ตกลงกัน เขาตอบตกลงในการพยายามเอาชนะเจ้า อย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าเสียพลังมากที่สุด ถ้าหากพบกับเขา เขาก็จะสละสิทธิ์เสีย”

โก่วหานสือตกตะลึง เงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “มิน่าเล่าเขาถึงสู้สุดชีวิตเช่นนั้น”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้เสร็จ เขาก็ไอขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าเจ็บปวด จากนั้นมองเฉินฉางเซิงถามออกไป “เจ้ามิใช่คนที่สนใจชื่อเสียง เพราะเหตุใดถึงให้ความสำคัญกับการสอบใหญ่”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ข้าบอกแล้ว มีเรื่องมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้”

โก่วหานสือมิได้เอ่ยสิ่งใด

ประโยคของเฉินฉางเซิงกลับมิได้เอ่ยจนจบ เขามองไปยังกระบี่เหน็บอยู่ที่ข้างเอวโก่วหานสือ เอ่ยถามอย่างลังเลเล็กน้อย “เคล็ดลับเพลงกระบี่ สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งใดได้บ้าง”

เคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่เขาหลีซาน สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซาน ไม่ต้องเอ่ยถึงอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ ถึงแม้จะเป็นสิ่งของที่สำคัญเพียงใด พวกเขาก็ยอมสละ

โก่วหานสือรู้ดีว่าเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่หลีซานเมื่อก่อนอยู่ที่เมืองไป๋ตี้ ขณะนี้อยู่ที่สำนักฝึกหลวง อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะเอ่ยข้อเสนอเช่นนี้ เขาเงียบนิ่งเป็นเวลานาน ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ข้าเป็นลูกศิษย์ของเขาหลีซาน ด้วยเหตุนี้ไม่อาจรับได้ ในเมื่อเป็นเคล็ดลับวิชาของเขาหลีซาน ภายภาคหน้าพวกเราเป็นลูกศิษย์จะต้องอาศัยความสามารถนำคืนกลับเขาหลีซาน แต่ไม่อาจใช้ข้อตกลงนำกลับมา”

ได้ยินเขาปฏิเสธข้อเสนอของลั่วลั่ว เฉินฉางเซิงไม่ได้ผิดหวัง ในทางกลับกันได้ผ่อนคลายลง

“เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย”

มือขวาเฉินฉางเซิงหยิบแส้วิรุณโปรย พลังปราณแท้ขับเคลื่อน ปลายแส้ชูขึ้น กวัดแกว่งอยู่กลางสายลม

นี่เป็นการต่อสู้สนามสุดท้ายและสำคัญที่สุดของการสอบใหญ่ในปีนี้

เริ่มขึ้นอย่างสงบนิ่ง และฉับพลัน

โก่วหานสือชักกระบี่ออกมาจากฝัก ขยับไหล่ตามสบาย กระบี่สั่นไหวกลางอากาศ ก่อเกิดเป็นเสียงดังขึ้น

เขาเดินไปทางเฉินฉางเซิง ย่างก้าวแน่วแน่และเชื่องช้า กลับให้ความรู้สึกไม่อาจหลบหลีกได้

โก่วหานสือออกกระบี่ พลังกระบี่สงบนิ่ง ในหอชำระธุลี มิได้มีเสียงคำรามของกระบี่ ข้างใต้ท้องฟ้าสีครามด้านนอกหอกลับมีเสียงใสกังวานดังขึ้น ประหนึ่งมีคนกำลังลุกขึ้นร้องเพลงก็มิปาน

เสียงชาวประมงต่อเพลงกลอน ดังเข้ามาในหู

กระบี่มารวดเร็วเหลือเกิน อีกทั้งยังสงบนิ่ง จนถึงขนาดว่ายินดีที่ได้พบกับคู่ต่อสู้เลือนราง เมื่อเผชิญหน้าคล้ายกับว่าเป็นกระบี่ธรรมดา เฉินฉางเซิงเกิดความรู้สึกว่าไม่อาจหลบหลีกได้ ไม่ว่าจะเป็นย่างก้าวหยั่งเทวาหรือว่าระดับความเร็วล้วนแต่ไร้หนทางแสดงผลในระยะเวลาอันสั้นได้

เขาเคลื่อนพลังปราณแท้ทั้งหมดเข้าไปในแส้วิรุณโปรย ใช้แส้เป็นกระบี่ ทัดทานอยู่เบื้องหน้า

เสียงปะทะกันดังกังวานไพเราะ แส้วิรุณโปรยสั่นไหวรุนแรงขึ้น

บนแส้วิรุณโปรยปรากฏแสงสีทองมันวาวขึ้นมา เกิดเป็นพละกำลังที่ทรงพลัง ต้านทานพลังกระบี่ของโก่วหานสือไว้ได้ แต่ไม่อาจยับยั้งพลังกระบี่ที่เข้ามาตามด้ามแส้ถึงยังข้อมือของเฉินฉางเซิง

มือของเขาสั่นเทา ตามมาด้วยแขน ความเจ็บปวดที่ชัดเจนไล่ตามพลังที่เคลื่อนไป จนกระทั่งเมื่อถึงหัวไหล่ เขาไม่อาจกุมด้ามแส้ได้อีกต่อไป เสียงทำลายอากาศดังขึ้น แส้วิรุณโปรยหลุดจากมือไป

เวลานี้เอง กระบี่ที่สองของโก่วหานสือพลันออกตามไป ตามการปรากฏของกระบี่ ท้องฟ้าที่ไกลออกไปอยู่ด้านนอกหอชำระธุลีมีเสียงร้องเพลงดังขึ้นอีกครา แสงอาทิตย์ยามตะวันรอนเต็มทั่วท้องฟ้าฉับพลัน

แส้วิรุณโปรยโบยบินออกไป เฉินฉางเซิงยังคงมีกระบี่เวิ่นสุ่ย เขากุมด้ามกระบี่ ดึงออกไปด้านนอก ได้ยินเพียงเสียงเคร้งดังขึ้น กระบี่เวิ่นสุ่ยพลันออกจากฝัก ตัวกระบี่แวววาวส่องกระทบกับแสงอาทิตย์ข้างนอก เวลาเดียวกันก่อเกิดเป็นแสงอาทิตย์ยามตะวันรอนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้หน้าต่างและประตูทุกบานของหอชำระธุลีถูกทาทับไปด้วยสีส้มอมแดง

เก็บเมฆสนธยาของสามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย

แสงอาทิตย์ยามอัสดงทั้งสองสายปะทะกันในหอชำระธุลี ชายหลังคาสีดำได้กลายเป็นสีเหลืองทอง

พลังปราณที่บริสุทธิ์ยิ่ง แสงอาทิตย์อัสดงของพลังกระบี่ ทำลายการป้องกันของเฉินฉางเซิง จู่โจมเข้าไปที่หน้าอกของเขา ถ้าหากมิใช่เวลาเพียงชั่วพริบตาสุดท้ายนั่น กระบี่เวิ่นสุ่ยพลันคำรามออกมา ใช้พลังปราณที่แข็งแกร่งของกระบี่ ขัดขวางพลังจู่โจมส่วนใหญ่ให้เขา เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

กระบี่เวิ่นสุ่ยช่วยชีวิตเขา กลับถูกกระบี่ของโก่วหานสือสั่นสะเทือนไปยังท้องฟ้าสูง เสียงคำรามดังไปทั่ว บินออกจากหอชำระธุลีไปยังที่ไกล ไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงแห่งใด

เฉินฉางเซิงถอยไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล ปรารถนาจะใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา เวลาเดียวกันมือขวาได้ถือด้ามกระบี่สั้น มือซ้ายได้กุมวัตถุชิ้นเล็กในแขนเสื้อไว้

เป็นไปอย่างที่คิดไว้ กระบี่ที่สามของโก่วหานสือมาถึงอีกครา

กระบี่ติดต่อกันสามกระบวนท่า ระหว่างนั้นมิได้มีการเว้นว่างใด มิได้ให้โอกาสในการหายใจให้แก่เฉินฉางเซิง เสียงเพลงลอยมาจากขอบฟ้า แสงอาทิตย์ตะวันรอนเกิดขึ้นกลางท้องฟ้า จากนั้นเรือประมงปรากฏกลางอาทิตย์อัสดง

ลำนำชาวประมงสามบท ก็คือเพลงกระบี่สามกระบวนท่า

นี่ก็คือเพลงกระบี่ของโก่วหานสือ และก็เป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา

กระบี่แรกของเขาได้โจมตีแส้วิรุณโปรยของเฉินฉางเซิง กระบี่ที่สองปะทะจนกระบี่เวิ่นสุ่ยปลิวออกไป กระบี่ที่สามดุจแสงสว่างโชติช่วงของดวงอาทิตย์ แล้วเฉินฉางเซิงจะตอบโต้ได้อย่างไรเล่า

กระบี่ทั้งสามเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ สมบูรณ์แบบจนถึงขีดสุด เดิมทีเขาปรารถนาจะใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาก็ไม่อาจทำได้

ด้านในหอชำระธุลีเกิดเสียงเปรี้ยงดังขึ้นแผ่วเบา

ด้านหน้ากระบี่ของโก่วหานสือ มิได้มีร่างกายของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงปรากฏอยู่ข้างกำแพงด้านหลังเขายี่สิบกว่าจั้ง แม้มองดูคล้ายกับว่าสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วร่างกายพลันขาวซีดเพราะลำนำชาวประมงสามกระบวนท่าอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง จนถึงขนาดว่าร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย

ควันสีขาวออกมาจากซอกนิ้วมือที่กุมไว้ของเขา

โก่วหานสือชักกระบี่กลับ ยืนตัวตรง จ้องมองเขาเอ่ยถามด้วยความแปลกประหลาดใจ “กระดุมพันลี้รึ”

ถูกต้อง วิธีที่เฉินฉางเซิงใช้หลบหลีกกระบวนท่าสุดท้ายของลำนำชาวประมงก็คือกระดุมพันลี้ และก็มีเพียงแค่กระดุมพันลี้เท่านั้นที่หลบหลีกพลังที่สะสมไว้เป็นเวลานานของโก่วหานสือและเพลงกระบี่ทั้งสามได้สำเร็จ

ในช่วงเวลาที่เขากับลั่วลั่วและคนอื่นได้ครุ่นคิดว่าจะต่อสู้สนามนี้อย่างไร แล้วเหตุใดโก่วหานสือจะไม่คิดบ้างเล่า

ทั่วทั้งหอชำระธุลีเงียบเชียบ หลังจากนั้น บนชั้นสองก็ไม่อาจสะกดเสียงตกตะลึงไว้ได้

เพราะว่าต้องการหลบหลีกกระบี่นั้น คิดไม่ถึงเฉินฉางเซิงจะใช้ของมีค่าหาสิ่งใดเปรียบเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรแล้วกระดุมพันลี้มีค่าประหนึ่งชีวิต จึงทำให้ทุกคนตกตะลึง เวลาเดียวกันก็มั่นใจว่าองค์หญิงลั่วลั่วได้เคารพและรักต่ออาจารย์หนุ่มผู้นี้ระดับใด แต่ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ก็คือกระบี่ทั้งสามของโก่วหานสือ

สามกระบี่นั่นมองแล้วธรรมดา มิได้ก่อเกิดลมฝนใดๆ แสงอาทิตย์อัสดงก็สงบนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็คู่ควรเป็นกระบี่ทั้งสามกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของโก่วหานสือ ให้ความรู้สึกไม่อยากจะต่อต้านชนิดหนึ่ง

ถ้าหากเฉินฉางเซิงไม่มีแส้วิรุณโปรย กระบี่เวิ่นสุ่ยรวมถึงกระดุมพันลี้ เขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่

โก่วหานสือแข็งแกร่งจริงๆ

ผู้คนตกตะลึง ถึงแม้รอบก่อนหน้านี้เป็นเจ๋อซิ่ว โก่วหานสือก็มิได้ใช้เคล็ดวิชาลับตั้งแต่เริ่มประลอง เพราะเหตุใดเมื่อปะทะกับเฉินฉางเซิง เขากลับไม่ออมมือแม้แต่น้อยเล่า

เฉินฉางเซิงมองแส้วิรุณโปรยที่ร่วงอยู่บนพื้น คิดไปถึงกระบี่เวิ่นสุ่ยที่ไม่รู้ว่าร่วงอยู่แห่งใด กระดุมพันลี้ที่เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าในมือ เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด รู้ว่าตนนั้นห่างชั้นจากโก่วหานสือไกลยิ่ง หากเปรียบเทียบเจ๋อซิ่วกับฝ่ายตรงข้ามก็ยังห่างไกลอย่างมาก

ถ้าหากโก่วหานสือมีกระบี่บวนท่าที่สี่ เขาจะทัดทานได้อย่างไรเล่า