ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 172 ทุ่งหิมะแผดเผาอีกครา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เพลงกระบี่ลำนำชาวประมงสามกระบวนท่า ไม่ได้มีกระบวนท่าที่สี่

ม่ออวี่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด นักบวชพระราชวังหลีจำนวนมากมองเห็นเพียงแค่ลำนำชาวประมงของโก่วหานสือที่สง่างามและยิ่งใหญ่ กลับมิได้มองเห็นดังเช่นนาง เพราะว่าโก่วหานสือต่อสู้กับเจ๋อซิ่วครั้งก่อนได้สูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อรอบตัดสินจึงใช้กระบี่ที่แข็งแกร่งทั้งสามทันที สิ่งเขาต้องการก็คือชัยชนะแบบรวดเร็ว

แน่นอนว่า ถึงแม้เฉินฉางเซิงโชคดีหลบหลีกลำนำชาวประมงของโก่วหานสือไปได้ นางยังคงไม่คิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะมีโอกาสชนะใดๆ เพราะว่าระยะห่างของระดับวิทยายุทธ์ไม่อาจใช้ศาสตราวิเศษมาเสริมได้ ยิ่งมิได้เกี่ยวข้องกับความกล้าหาญราคาถูกเหล่านั้น ประตูบานนั้นยังคงอยู่ อีกทั้งยังไม่อาจข้ามผ่านไปได้

ประตูบานนั้นเรียกว่าทะลวงอเวจี

โก่วหานสืออยู่ขั้นทะลวงอเวจี เฉินฉางเซิงห่างไกลจากขั้นทะลวงอเวจีจนไร้สิ่งใดเปรียบ เช่นนั้นไม่ว่าโก่วหานสือจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด เหนื่อยล้ามากแค่ไหน ผลการต่อสู้รอบนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

อะไรคือขั้นทะลวงอเวจี ขั้นทะลวงอเวจีก็คือการเชื่อมกับฟ้าดินผ่านดินแดนลี้ลับ เพียงแค่สามารถฝึกบำเพ็ญถึงระดับนี้ เส้นปราณภายในร่างกายก็สามารถเชื่อมต่อหากันได้ การขับเคลื่อนพลังปราณแท้ในระหว่างนั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ฟ้าดินและผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อเกิดการเหนี่ยวนำได้อย่างง่ายดาย พลังปราณแท้ยิ่งเพิ่มความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่ง ถ้าหากเอ่ยว่าพลังปราณแท้ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นถอดจิตดุจก้อนหิน เช่นนั้นแล้วพลังปราณแท้ของขั้นทะลวงอเวจีก็ดุจเหล็กกล้า ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากกว่าไม่รู้กี่เท่า

การฝึกบำเพ็ญเพียรยิ่งลึกเข้าไปยิ่งอันตราย ขั้นทะลวงอเวจียิ่งมีความพิเศษ อัตราการเสียชีวิตยิ่งสูง ด้วยเหตุนี้ขั้นนี้มักจะถูกบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหนุ่มน้อยที่จิตใจขี้ขลาดตาขาวเรียกว่าขั้นความเป็นตาย เหตุที่อัตราความตายของขั้นทะลวงอเวจีสูงเช่นนี้ เป็นเพราะว่าดินแดนลี้ลับ…อยู่ที่หัวใจ

หัวใจเปราะบางเกินไป วันหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ก็ยากที่จะช่วยเหลือไว้ได้ ดังนั้นในขั้นทะลวงอเวจีจึงต้องมีการวางแผนอย่างช้าๆ ต้องรอจนกระทั่งหลังจากเข้าสู่ขั้นนั่งถอดจิต และต้องควบจิตสัมผัสในการสำรวจตนเองอย่างละเอียด ดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่างกาย เคาะประตูดินแดนลี้ลับ จนกระทั่งจิตใจและฟ้าดินก็เป็นหนึ่งเดียวในท้ายที่สุด ประตูของดินแดนลี้ลับจะค่อยๆ เปิดขึ้น ด้วยเหตุนี้มักจะกล่าวกันว่าการทะลวงอเวจีก็คือการฝึกบำเพ็ญเพียรจิตใจ ยากลำบากยิ่ง อย่างน้อยที่สุดต้องการละอองดวงดาวในการเคาะประตูหนึ่งร้อยคืน แค่ไม่ระมัดระวังเพียงน้อยนิด ดินแดนลี้ลับของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรก็จะแตกหัก หากเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นอัมพาต แต่ที่พบมากที่สุดก็คือเสียชีวิต

คัมภีร์สวรรค์ได้ตกลงมายังโลก ตั้งแต่นั้นมาเผ่ามนุษย์จึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรมากน้อยเท่าใดที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ด้านหน้าธรณีประตูบานนี้ ไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์ฉลาดปราดเปรื่องพากันกุมมือร่วงหล่นลงจากที่แห่งนี้มากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้ต้าลู่จึงมักจะมีคำกล่าวเช่นนี้มาตลอด มีเพียงแค่ผู้มีพรสวรรค์ที่ผ่านขั้นทะลวงอเวจี ถึงจะเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

โก่วหานสืออายุยังไม่เต็มยี่สิบปีก็ผ่านขั้นทะลวงอเวจี แน่นอนว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ยิ่งเป็นคนที่มีปรีชาสามารถ

แล้วเฉินฉางเซิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร

……

……

เพลงกระบี่ลำนำชาวประมงสามกระบวนท่าคล้ายกับว่าง่ายดาย ในความเป็นจริงสิ้นเปลืองพลังปราณแท้อย่างยิ่ง ถึงแม้ความสามารถระดับโก่วหานสือ หลังจากออกกระบี่ทั้งสามติดต่อกันก็ยังต้องพักชั่วครู่ อีกทั้งเขายังไม่แน่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นบางอย่าง

เฉินฉางเซิงใช้แส้วิรุณโปรยกับกระบี่เวิ่นสุ่ยรับกระบี่สองครั้งก่อนหน้านี้ สิ่งสำคัญก็คืออาศัยกำลังที่แข็งแกร่งของศาสตราวิเศษทั้งสอง แต่เมื่อสัมผัสแล้ว โก่วหานสือรับรู้ได้ถึงปัญหาบางอย่างของพลังปราณแท้เขา ไม่เหมือน หรืออาจจะกล่าวว่าไม่ควรแข็งแกร่งเหมือนที่เขาได้แสดงออกมาเช่นนี้ ควรจะธรรมดากว่านี้อีกเสียหน่อย

“เส้นลมปราณของเจ้า…” เขามองเฉินฉางเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

เฉินฉางเซิงพิงกำแพง มือกุมกระบี่สั้น จ้องมองเขาด้วยความระแวดระวัง ท่าทางหนักอึ้งตั้งใจเป็นพิเศษ รอคอยจนไม่มีกระบี่ที่สี่ เขาถึงผ่อนคลายลงบ้าง ใช้ความรวดเร็วที่สุดพลิกมือดีดปลายนิ้ว

เขาดีดนิ้วนางข้างซ้ายเบาๆ เส้นสีทองที่พันอยู่ปลายนิ้วมือก่อเกิดเสียงฟิ้วเบาๆ กลายเป็นเข็มทองแท่งหนึ่ง ปลายแหลมยิ่งนัก เปล่งแสงให้ความรู้สึกหนาวเย็น

เขานำเข็มทองแท่งนี้ปักเข้าไปที่ต้นลำคอ เข้าไปลึกจนเหลือเพียงปลายเข็ม

ตามการกระทำนี้ เข็มทองเข้าไปในรู ไม่หยุดสั่นไหว ช่วยให้ดวงจิตของเขากลับมาสงบได้อย่างรวดเร็วที่สุด เวลาเดียวกันก็ไปกระตุ้นเส้นลมปราณของร่างกายท่อนบนที่บิดเบี้ยวขาดจากกันทั้งสามเส้น เกิดการเสียดสีอย่างไร้รูปร่างในระยะที่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย เป็นธรรมดาที่ไม่อาจทำให้เส้นปราณประสานกัน ทว่ากลับทำให้หนทางการขับพลังปราณแท้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ร่างกายของลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อไม่เหมือนกับเขา ทว่าเมื่อผ่านการแนะนำร่วมถึงการรักษาจากเขา เฉินฉางเซิงจึงยิ่งมีความลึกซึ้งทางด้านการวิจัยเส้นปราณ แม้ไม่อาจรักษาอาการป่วยของตนได้ แต่สามารถแก้ไขได้บ้างเล็กน้อย

โก่วหานสือไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด คิดว่านี่เป็นวิธีกระตุ้นพลังอย่างหนึ่ง สำหรับพรรคกระบี่หลีซานซึ่งเป็นพรรคที่ยึดถือตามหลักทำนองคลองธรรมแล้ว นี่เป็นวิชาที่ผิดธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะคิดอะไร ใช้มีดสั้นตัดเสื้อของตนมาเส้นหนึ่ง พันมือข้างขวาและด้ามกระบี่ไว้ด้วยกัน ใช้ฟันมัดเป็นเงื่อนตาย

โก่วหานสือขมวดคิ้วเข้าหากัน มือที่กุมกระบี่แนบแน่นเข้าไปอีกหลายเท่า เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป

ในตอนที่นิ้วของเขากุมกระบี่แน่น เฉินฉางเซิงพลันเคลื่อนไหว จากตำแหน่งดาวเจี่ยวซู่จนถึงหนิวซู่ จากทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นท้องฟ้า ในช่วงเวลาชั่วพริบตา ร่างกายพลันหายไป แล้วปรากฏอีกครั้ง มาอยู่ข้างหน้าโก่วหานสือ

กระบี่สั้นทะลวงอากาศร่วงลงไป แต่กลับปะทะเข้าไปกระบี่ของโก่วหานสือ

โก่วหานสือไม่รู้ทิศทางที่มีเป็นจำนวนมากของย่างก้าวหยั่งเทวา แต่กลับรู้ว่าเป็นย่างก้าวหยั่งเทวา มิเช่นนั้นก็คงไม่ใช้ประโยคเดียวทำลายย่างก้าวหยั่งเทวาของลั่วลั่วในการชุมนุมไม้เลื้อยได้ เขาคาดคิดไว้ล่วงหน้าก่อนคู่ต่อสู้ จึงสามารถเตรียมการรับมือกระบี่ในมือของเฉินฉางเซิงได้เป็นอย่างดี ทิศทางรอบๆ ตัว ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย

กระบี่ทั้งสองตัดกัน กลับมิได้ตัดกัน มีระยะห่างเพียงเล็กน้อย เพียงแค่พลังปราณแท้บนกระบี่ที่ได้ประสานกัน พลังปราณเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นระลอก จากนั้นหายสาบสูญไร้ร่องรอย ถูกบีบบังคับให้แยกจากกัน

เสียงตูมดังขึ้น เฉินฉางเซิงลอยไปข้างหลัง

เขาอยากใช้วิธีเดิมที่เอาชนะจวงห้วนอวี่ ซึ่งเป็นวิธีที่โก่วหานสือแนะนำว่าจะเอาชนะถังซานสือลิ่วอย่างไร ใช้กระบี่แลกกระบี่ ใช้การบาดเจ็บแลกการบาดเจ็บ อาศัยระดับความแข็งแกร่งของร่างกายตนเพื่อแสวงหาโอกาสชนะ จะคิดได้อย่างไรว่า กระบี่ทั้งสองยังมิได้สัมผัสกันจริงๆ ก็ถูกกระบี่ของโก่วหานสือวาดลวดลายบีบบังคับให้ถอยหลัง

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ กระบี่ทั้งสองแยกจากกัน เขากลับรู้สึกได้ชัดเจน พลังปราณแท้ที่หล่อหลอมดุจเส้นด้ายไหลตามกระบี่ ผ่านจุดเส้นปราณ แล้วทะลวงเข้ามายังดินแดนลี้ลับของตน!

เสียงอั่กดังขึ้น ดวงจิตของเฉินฉางเซิงถูกพลังกระบี่ทำให้บาดเจ็บ โลหิตไหลรินออกจากมุมปาก ฝ่าเท้าร่วงหล่นบนพื้น ไม่อาจยืนได้มั่นคง ถอยหลังต่อเนื่อง จนกระทั่งมาถึงยังกำแพงหิน ถึงฝืนใจยืนได้อย่างมั่นคง

ปลายแหลมกระบี่ทำลายอากาศ เขาตั้งกระบี่ไว้ข้างหน้าเพื่อป้องกัน สีหน้าขาวซีด โลหิตไหลรินออกจากริมฝีปาก มองแล้วรู้สึกว่าใช้พละกำลังจำนวนมหาศาล ทว่ายิ่งใช้พละกำลังมากกว่าก็คือจิตใจของเขา

โก่วหานสือแข็งแกร่งจริงๆ แข็งแกร่งมากกว่าจวงห้วนอวี่หลายเท่าตัว เขาอยากจะใช้ความบาดเจ็บแลกความบาดเจ็บ คาดไม่ถึงว่าจะทำไม่ได้

อากาศของหอชำระธุลีเกิดเสียงแหลมเล็กขึ้นอีก กระบี่ของโก่วหานสือกลับมาอีกครา ครั้งนี้เขาใช้ก็คือเพลงกระบี่สิบสามดารา กระบี่ทะลวงออกไปประหนึ่งดวงดาว คล้ายกับว่ามั่นคง ทว่ายากจะคาดเดาได้

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงดังขึ้นต่อเนื่องกันสิบกว่าครั้ง

เฉินฉางเซิงไม่อาจป้องกันพื้นที่ใต้เท้าได้อีก ถูกบีบให้หมุนตัวไปยังด้านซ้าย ถอยแล้วถอยอีกถอยอย่างต่อเนื่อง ย่างก้าวสับสนพัลวัน ย่ำไปบนเม็ดทรายที่เปียกชื้นเล็กน้อย ถอยติดต่อกันสิบกว่าจั้ง ในที่สุดเมื่อเขายืนได้มั่นคง ทว่าไม่อาจสะกดกลั้นความปองร้ายของหน้าอกได้ เสียงพรวดดังขึ้นคราหนึ่ง พ่นโลหิตสดออกมาจากปาก

โก่วหานสือกุมกระบี่ ยืนนิ่งอยู่ในสนาม ดวงตาที่มองเฉินฉางเซิงไร้วี่แววการหัวเราะเยาะเหยียดหยามหรือว่าฉีกหน้า ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความชื่นชมและเลื่อมใส

ตั้งแต่เพลงกระบี่ลำนำชาวประมงสามกระบวนท่าจนมาถึงเพลงกระบี่สิบสามดารา เขาใช้สิ่งที่ตนเองชำนาญที่สุด เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลัง อาศัยการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบากมาสิบกว่าปี กระบวนท่าเหล่านี้ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย รวดเร็วประหนึ่งอสนีบาต โต้ตอบกันทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นผู้ใด อยู่ภายใต้การโจมตีที่ต่อเนื่องนี้ ล้วนจะต้องมือไม้สับสนพัลวัน และหมดท่าเหมือนที่ปรากฏอยู่นี้

เฉินฉางเซิงต้านทานกระบี่ไม่อยู่ ก้าวถอยอย่างจนตรอก ถูกพลังปราณแท้ทำให้สั่นคลอน พ่นโลหิตออกมาไม่หยุด แต่ว่าย่างก้าวของเขากลับยังคงยืนได้มั่นคง จิตใจสงบนิ่งเป็นปกติ

เพราะเขารู้ว่าควรจะโต้ตอบกระบี่เหล่านี้อย่างไร

ทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิง เพราะสาเหตุของเวลาที่จำกัด จึงไม่อาจฝึกฝนถึงระดับสูงสุด รู้ทุกอย่างทว่าไม่อาจแสดงออกมาได้ แต่ความรู้ทางด้านกระบี่เต๋าของเขากว้างไกลลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุ้นเคยในวิชากระบี่ของพรรคเขาหลีซาน หากเป็นผู้อื่นเดิมทีก็ไม่รู้จะทำลายกระบวนท่านี้ของโก่วหานสือได้อย่างไร เขากลับเสาะหากระบวนท่าโต้ตอบที่เหมาะสมที่สุดได้ ถ้าหากมิใช่ความห่างชั้นระหว่างวิทยายุทธ์ของทั้งสอง เขาอาจจะรับกระบี่ได้สบายกว่านี้

สิ่งที่น่าเสียใจก็คือ ระยะห่างระหว่างระดับขั้นนั้นยังคงยากที่จะเหนือชั้นข้ามไปได้

เฉินฉางเซิงจ้องมองโก่วหานสือ มิได้เอ่ยสิ่งใด มือขวาที่กุมกระบี่สั่นเทาเล็กน้อย ตระหนักชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของระดับขั้นทะลวงอเวจี ยังคงรับรู้ถึงพลังปราณแท้เส้นนั้นที่โจมตีผ่านเข้ามาจากเส้นปราณ มั่นใจยิ่งนัก ถ้าหากมิใช่เพราะว่าเชือกผ้าที่มัดกระบี่กับมือไว้ กระบี่ก็อาจจะหลุดร่วงจากมือไปอีกคราแล้ว

ระยะห่างระหว่างระดับขั้นนี้ การแสดงที่เด่นชัดที่สุดก็คือระดับการหล่อหลอมของพลังปราณแท้ หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นความห่างชั้นระหว่างความแข็งแกร่ง เขาชัดเจนยิ่งนัก ระยะห่างชนิดนี้ไม่อาจใช้ระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ใกล้เข้ามาได้ เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่น ทดลองนำปริมาณมาทำให้ความห่างนี้ใกล้ขึ้น

สิ่งที่ข้ามีล้วนแต่เป็นโลหะเงิน เจ้ามีก็คือทองคำ เงินต่ำต้อยแต่ทองสูงส่ง เช่นนั้นแล้วหากปรารถนาให้ทรัพย์สินนั้นเหนือกว่าเจ้า ก็ทำได้เพียงมุ่งหวังว่าเงินของข้าจะมีมากกว่าเจ้า ใช่แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นนี้

จิตใจตั้งมั่น เฉินฉางเซิงไม่ลังเลที่จะเริ่มนั่งถอดจิตสำรวจตน ดวงจิตจากข้างนอกเข้าสู่ข้างใน เพียงชั่วพริบตาก็ไกลหมื่นลี้ มาถึงยังทุ่งหิมะขาวสะอาดผืนนั้น ดวงจิตดุจสายลมเย็นสบาย ร่วงหล่นบนทุ่งหิมะทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อเวลานั้น เหมือนเขาได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงนั้นก็คือเสียงใบไม้ร่วงที่ทับถมกันมาหลายปีถูกจุดไฟเผา มีคนนำตะบันไฟโยนใส่ในถ้วยน้ำมัน เป็นการพบกันระหว่างสุราร้อนแรงกับหญิงสาวผู้งดงาม

สายลมประหนึ่งเปลวไฟ พัดโชยมายังด้านล่าง มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้เพียงชั่วพริบตาก็ถูกแผดเผา ละอองดาวที่สงบนิ่งเป็นระยะเวลาหลายเดือน กลายเป็นเปลวเพลิงที่บ้าคลั่ง เผาไหม้บริเวณรอบๆ ทั้งหมด

ร่างกายของเฉินฉางเซิงกลายเป็นร้อนผะผ่าวฉับพลัน อากาศที่อยู่รอบๆ ร่างกายเปลี่ยนเป็นร้อนระอุขึ้นมา

ระดับอุณหภูมิที่น่าหวาดกลัวอยู่ภายใต้จิตใจและร่างกายของเขา น้ำได้แบ่งเป็นเม็ดเหงื่อแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ ผิวหนังของเขาได้สูญเสียชุ่มชื้น ก่อเกิดเป็นรอยแตกที่น่าเจ็บปวด

ความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่มาจากความรู้สึก เดิมทีเขาสามารถแลบลิ้นออกมาเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้ ทว่าระหว่างริมฝีปากและลิ้นพลันรับรู้ได้ถึงความแห้งผาก

เขากระหายจริงๆ อยากดื่มน้ำอย่างยิ่ง อยากจะเข้าไปในสายฝนที่เหน็บหนาว

ผู้คนที่ชมการต่อสู้อย่างสงบนิ่งมาตลอด จนกระทั่งเวลานี้เห็นเฉินฉางเซิงถือกระบี่ไว้ข้างหน้า อากาศด้านในของหอชำระธุลีกลายเป็นร้อนระอุฉับพลัน พวกเขาถึงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

……

……

“เขานั่งถอดจิตปฐมภูมิอีกครารึ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร”

“ภายในร่างกายของเขาแท้จริงแล้วมีละอองดวงดาวเท่าใด”

“ละอองดาวเหล่านั้นซุกซ่อนอยู่แห่งไหน”

บนชั้นสองของหอชำระธุลี มีเสียงตกใจเอ่ยถามนับไม่ถ้วน