ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 173 ความสงบก่อนสายฝนห่าใหญ่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

อุณหภูมิในหอชำระธุลีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เสียงจักจั่นด้านนอกหอดังขึ้นอีกครา คนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ก็หวนคิดไปถึง นี่เป็นการแผดเผาละอองดาวของเฉินฉางเซิงที่ก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์อีกครา จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หากมองอย่างละเอียด นี่เป็นการนั่งถอดจิตปฐมภูมิครั้งที่สามที่ผู้คนได้เห็น นี่เป็นวิธีที่ฝ่าฝืนกฎการฝึกบำเพ็ญเพียรในคัมภีร์ ส่วนโก่วหานสือที่เห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกนั้นตกตะลึงไร้คำเอื้อนเอ่ย เขาไร้หนทางที่จะอธิบายได้อย่างสิ้นเชิง เฉินฉางเซิงที่ชัดเจนว่าได้เข้าไปสู่ขั้นถอดจิตแล้ว เพราะเหตุใดถึงสามารถนั่งถอดจิตปฐมภูมิได้อีกครา

แน่นอนว่าการนั่งถอดจิตปฐมภูมิเป็นเรื่องที่อันตราย ถึงแม้จะไม่เหมือนขั้นทะลวงอเวจีที่ก้าวสู่เส้นความเป็นตาย แต่เส้นปราณของเฉินฉางเซิงไม่เหมือนกับคนทั่วไป ดาวโชคชะตาก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ปริมาณและระดับพลังงานของละอองดาวที่ดึงดูดมาก็มีหลายจุดที่พิเศษ หากวันหนึ่งแผดเผาขึ้นมา พลังเปลวเพลิงลุกไหม้ท้องฟ้า ถึงแม้หลังจากเขาอาบโลหิตมังกรจนร่างกายแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ก็ยังยากที่จะแบกรับความร้อน และเข้าไปสู่สถานการณ์อันตรายอย่างรวดเร็ว

เพราะว่าเคยมีประสบการณ์มาแล้ว อีกทั้งคู่ต่อสู้สนามนี้แข็งแกร่งยิ่ง เฉินฉางเซิงปลุกดวงจิตอย่างรวดเร็ว แม้จะถอดจิตอีกครั้งแต่กลับไม่ได้หลับตาลง จ้องเขม็งโก่วหานสือที่อยู่ตรงหน้า มิได้รู้ว่าตนสีหน้ายังคงแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างกายร้อนผะผ่าว เม็ดเหงื่อใต้เสื้อผ้าเพียงชั่วพริบตาก็ถูกทำให้ระเหย หลงเหลือเพียงแค่คราบเกลือบนนั้น มองแล้วอดสูยิ่งนัก

ถ้าหากมิได้มีเรื่องอื่นเกิดขึ้น ก็เหมือนกับการนั่งถอดจิตปฐมภูมิก่อนหน้านี้สองครา ถึงแม้เขาจะไม่ถูกอุณหภูมิที่สูงจนน่าหวาดกลัวแผดเผาจนเสียชีวิต ก็จะถูกแผดเผาจนกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ แต่ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ แน่นอนเป็นเพราะว่าเขารอคอยเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ก็เหมือนที่เคยคิดในการต่อสู้กับจวงห้วนอวี่ เรื่องบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นหากกล่าวตามเหตุผลก็คงจะเกิดขึ้นอีก ดังเช่นฝนตก

เสียงซ่าดังขึ้น เป็นเสียงของสายฝนผ่านอากาศ ด้านนอกหอท้องฟ้าปลอดโปร่ง ด้านบนของหอกลับมีสายฝนตกลงมา เสียงสายฝนอ่อนโยน ทำให้คนอยากนอนหลับ

สายฝนร่วงหล่นบนกระบี่สั้นในมือที่กุมแน่นของเฉินฉางเซิง เม็ดฝนและกระบี่เพิ่งจะสัมผัสกัน ก็ระเหยออกไปในอากาศ หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย มองแล้วก็เหมือนซึมเข้าไปในกระบี่ที่แข็งแรงนั้น

สายฝนจำนวนมากร่วงหล่นบนร่างกายของเฉินฉางเซิง แทรกเข้าไปในเสื้อผ้า เมื่อสัมผัสกับกล้ามเนื้อก็ระเหยออกไป คล้ายกับว่าเข้าไปในร่างกาย

ตามสายฝนที่มาอย่างกะทันหัน ความร้อนอบอ้าวในหอชำระธุลีพลันถูกชำระล้างจนว่างเปล่า ระดับอุณหภูมิที่ลดลงชัดเจน ร่างกายของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นเปียกชื้นและแห้งสลับกัน ระดับความร้อนแผ่กระจายตามไอหมอก อุณหภูมิในร่างกายค่อยๆ ลดลง รู้สึกเพียงว่ามีสายลมพัดผ่านมา รู้สึกยินดีสบายผ่อนคลายยิ่ง

ความผ่อนคลายก็คือการรับรู้ของสรีระร่างกาย ความยินดีก็คือการรับรู้ของจิตใจ

สายฝนห่านี้เป็นสิ่งที่เขารอคอย สายฝนห่านี้ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ว่ามีคนจำนวนมากไม่อยากให้เขาตาย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ได้คุยกับลั่วลั่ว ใต้เท้าสังฆราชกำลังมองดูการต่อสู้สนามนี้อยู่

ทุ่งหิมะกำลังแผดเผา ละลายเป็นลำน้ำสายเล็ก กลายเป็นพลังปราณแท้ที่ชโลมชุ่มฉ่ำไปบนร่างกายเขา มอบพลังที่แข็งแกร่งให้กับเขา เขากุมกระบี่สั้น เดินไปยังโก่วหานสือ ในขั้นตอนการเดิน หมอกควันสีขาวฟุ้งกระจายออกจากร่างกายเขา เป็นภาพที่ชัดเจนว่าแปลกประหลาด

มุ่งไปข้างหน้าไม่ถึงสามก้าว ก็เปลี่ยนเป็นย่างก้าวหยั่งเทวา หมอกสีขาวที่อยู่รอบกายของเขาพลันเผาไหม้ขึ้นมา จากนั้นค่อยกระจายออก ในม่านหมอกไม่มีแม้เงาเขา

ลมกระบี่ที่บ้าคลั่งสายหนึ่ง เกิดขึ้นที่กำแพงหินด้านหลังของโก่วหานสือ ด้านในซุกซ่อนพลังไว้มหาศาล พลังปราณแท้โหมซัด เฉินฉางเซิงกุมกระบี่ปรากฏอีกครา แทงเข้าไปด้านหลังของโก่วหานสืออย่างเงียบเชียบและเด็ดเดี่ยว จากนั้นกลายเป็นกระบี่หลายพันหลายหมื่นเล่มกลางทาง

สายฝนร่วงหล่นยังคงดำเนินต่อเนื่อง ปลายแหลมของกระบี่แปรเปลี่ยนจำนวนเป็นนับไม่ถ้วน ยังคงถี่ยิบมากกว่าสายฝนเสียอีก กระบวนท่าที่เขาใช้ก็คือกระบี่ลมฝนจงซานที่แข็งแกร่งที่สุด

พลิกสวรรค์คลุมปฐพี

อานุภาพของกระบวนท่านี้ ดุจสายฝนห่าใหญ่ก็มิปาน ปรารถนาจะครอบแผ่นฟ้าคลุมผืนดิน

เวลานี้ในหอชำระธุลีมีสายฝนกำลังตกกระหน่ำ

เฉินฉางเซิงต้องการหยิบยืมพลังของสายฝนนี้ สิ่งที่หยิบยืมเป็นอันดับแรกนั่นคืออานุภาพ

สายลมคลั่งโหมกระหน่ำนับไม่ถ้วนพัดจากด้านนอกหอชำระธุลีเข้ามายังข้างใน บานหน้าต่างชั้นสองที่เปิดอยู่ถูกลมพัดตีกระหน่ำ เกิดเป็นเสียงทำให้คนรู้สึกไม่สงบสุข และยังเหมือนหลุมฝังศพที่ไร้คนอาศัยเป็นเวลาหลายปี

สายฝนสายลมก่อรวมกันบ้าระห่ำ กระบี่ของเฉินฉางเซิงก็เป็นเช่นนี้ เปล่งแสงสว่างทุกทิศทุกทาง แทงไปยังโก่วหานสือ

กระบวนที่พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกระบี่ลมฝนจงซาน ผนวกเข้ากับพลังปราณแท้ที่สมบูรณ์ซึ่งได้รับจากการนั่งถอดจิตปฐมภูมิครั้งที่สามของเฉินฉางเซิง แม้เป็นโก่วหานสือก็ยากที่จะโต้ตอบได้ คิดที่จะหลบหลีกยิ่งยากลำบาก

โก่วหานสือมิได้หลบหลีก กุมด้ามกระบี่ยืนเงียบนิ่งอยู่ท่ามกลางสายลมสายฝนรวมถึงลมฝนกระบี่ของเฉินฉางเซิง กระบี่ยื่นออกไปข้างหน้าอก ใบหน้ามิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความสงบนิ่งที่เป็นตัวแทนของความมั่นใจ

กระบี่ของเขาก็เหมือนเป็นบันไดหินขั้นสุดท้ายก่อนปีนเขาของพรรคกระบี่หลีซาน

ตัวของเขาก็เหมือนเป็นต้นไม้ไม่รู้ชื่อที่หน้าประตูของพรรคกระบี่หลีซาน

ต้นไม้ต้นนั้นดำรงอยู่หลายร้อยปีที่เขาหลีซาน อยู่ในสายตาของคนจำนวนมาก ต้นไม้ต้นนี้สามารถดำรงจนถึงขณะนี้ เพราะว่าโชคของมันดีอย่างยิ่ง ทว่ากลับมีคนสังเกตเห็นได้น้อยยิ่งนัก ต้นไม้ต้นนี้มิได้ส่งเสียงใดๆ มิได้สั่นไหว ทว่ากลับบดบังลมฝนให้ลูกศิษย์เขาหลีซานจำนวนมาก

โก่วหานสือก็คือต้นไม้ต้นนี้

เขายกกระบี่ขึ้นมารับกระบี่ลมฝนของเฉินฉางเซิง ท่าทางสงบนิ่งนุ่มนวล

ที่เขาใช้ก็คือเพลงที่สมบูรณ์แบบ

บนชั้นสองมีเสียงร้องตะโกนของใต้เท้ามุขนายกศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น “ขั้นทะลวงอเวจีสามารถแสดงวิชากระบี่ได้ระดับนี้ หลีซานยอดเยี่ยมจริงๆ โก่วหานสือยิ่งยอดเยี่ยม”

คนที่สามารถได้รับการชื่นชมวิชากระบี่จากใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าไม่ธรรมดายิ่ง

เงากระบี่ของเฉินฉางเซิงประหนึ่งลมฝน ทั้งหมดร่วงลง กระบี่มิได้ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายโก่วหานสือแม้แต่เล่มเดียว

ไม่รู้ว่าหวาดกลัวกระบี่สั้นในมือของเขา หรือว่ามีวิธีป้องกันเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิง โก่วหานสือมิได้ใช้กระบี่โจมตีไปตรงๆ แต่ใช้วิธีโจมตีพลางป้องกัน เสียงกระบี่ประหนึ่งเสียงลมพัดป่าสนดังหวีดหวิวและเสียงระลอกคลื่นดังซัดสาดดังมาจากที่ไกลๆ ล้อมรอบร่างกายเขา ปิดกั้นพลังกระบี่ของเฉินฉางเซิงทั้งหมดไว้ด้านนอก

เสียงลมพัดป่าสนดังหวีดหวิวและเสียงระลอกคลื่นซัดสาดมิใช่เพลงกระบี่ แต่เป็นวิชาฝ่ามือของพรรคฉางเซิง โก่วหานสือนำวิชาฝ่ามือใช้แทนที่วิชากระบี่ อานุภาพเพลงกระบี่ทรงพลัง ไร้ความคมกลับมีความแข็งแกร่ง กระบี่ของเฉินฉางเซิง เดิมทีไม่อาจคุมคามเขาได้

เสียงเปรี้ยงดังสนั่น หน้าอกของเฉินฉางเซิงถูกโก่วหานสือโจมตี โลหิตพุ่งออกมา กระทบเข้ากับกำแพงหิน จากนั้นก็กลิ้งลงมาดุจดินโคลน ไม่อาจยืนขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง

เวลาต่อมา เขายันกายกับกำแพงลุกขึ้นอย่างยากเย็น มองโก่วหานสือที่อยู่ตรงข้าม เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด สีหน้าซีดขาว ความมั่นใจที่เพิ่งจะมีก่อนหน้านี้พลันหายสาบสูญไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ได้คิดว่ากระบี่ของโก่วหานสือจะเหมือนดังเช่นเขา จิตใจสงบ ไม่ยินดียินร้าย คล้ายกับว่ามิได้มีพละกำลังอะไร ทว่ากลับทำให้คนยากที่จะต้านทาน

แผดเผาทุ่งหิมะแล้ว ก็ยังคงไม่มีโอกาสใดๆ เช่นนั้นแล้วควรจะทำอย่างไร

เขายื่นมือซ้ายออกไป เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนใบหน้า ยกกระบี่ขึ้นก้าวไปข้างหน้าอีกครา

ชั่วเวลาที่เท้าขวาของเขาย่ำไปในแอ่งน้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่จิตสัมผัสของเขาจุดไฟที่ทุ่งหิมะสิบผืน น้ำฝนที่ร่วงหล่นมาบนร่างกายของเขาเหล่านั้นเพียงชั่วพริบตาพลันระเหยกลายเป็นไอ

สายฝนที่ตกลงมาลงคล้ายกับว่าสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นมา