ขณะที่หลิงม่อตะโกนสั่ง ประตูก็ได้ถูกสกัดกั้นไว้แล้ว นอกจากเจ้าลิงผอมที่ยังไม่ได้สติกับกู่ซวงซวงที่เป็นผู้มีพลังจิตที่ยังคงยืนอยู่ตรงประตู คนที่เหลือต่างกระจายตัวกันไปทั่วสี่มุมของดาดฟ้าตามคำสั่งหลิงม่อ พลันยกปืนขึ้นเล็งไปด้านล่าง
พวกอสุรกายนรก…เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
หลังจากที่ตัวที่หนึ่งเริ่มปีนขึ้นมา อสุรกายนรกทั้งฝูงก็ระเบิดความเร็วอันบ้าคลั่งภายในเสี้ยววินาที…พวกมันแต่ละตัวราวกับมนุษย์ตะขาบที่ใช้แขนขาทั้งสี่ข้างปีนป่ายตามผนัง และมุ่งหน้าขึ้นมาบนดาดฟ้าอย่างคล่องแคล่ว
มองจากมุมที่พวกหลิงม่ออยู่ พวกมันเหมือนเกลียวคลื่นสีดำที่ซัดสาดขึ้นมาจากข้างล่าง…
“เอื้อก…” มู่เฉินลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขารู้สึกฝ่ามือชื้นเหงื่อเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่มีเวลาหันไปมองคนอื่น แต่คิดว่าในสถานการณ์คับขันอย่างนี้ ทุกคนคงจะรู้สึกเหมือนกัน แม้แต่พวกเย่เลี่ยน ในยามนี้ก็ยังมีสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าปกติ
ห้านาที…ไม่สิ ตอนนี้เหลือสามนาทีกับอีกห้าสิบวินาทีแล้ว หากอยากยืนหยัดให้ได้นานขนาดนั้น ก็หมายความว่าพวกเขาจะพลาดไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ทันทีที่มุมใดมุมหนึ่งในสี่มุมเกิดช่องโหว่ ผลที่ตามมาคงไม่ต้องให้บอกว่าจะเลวร้ายขนาดไหน
ด้านกู่ซวงซวง เธอเฝ้าเจ้าลิงผอมไปด้วย และเตรียมพร้อมรับมือไปด้วย เพียงฟังเสียง “สวบสาบๆ” ที่ดังกระหึ่มท่ามกลางควาเงียบ เธอก็รู้แล้วว่าการจะโจมตีสัตว์ประหลาดพวกนั้นให้ร่วงลงไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่นอน…
“เตรียมตัว…” หลิงม่อยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงขอบดาดฟ้าอย่างเงียบงัน…เมื่อสัตว์ประหลาดตัวที่ปีนเร็วที่สุดอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงยี่สิบเมตร หลิงม่อก็ยกมือขึ้น และตะโกนออกมาในที่สุด “ยิง!”
เมื่อคำนี้หลุดออกจากปาก เลือดมากมายพลันกระเซ็นออกมาจากหัวของสัตว์ประหลาดตัวนั้น ร่างกายที่กำลังปีนป่ายของมันชะงักค้าง จากนั้นก็กลิ้งตกลงไปบนพื้น
โครม!
พริบตาเดียว เสียงศพกระแทกพื้นดังสนั่น ตามมาด้วยเศษเลือดเนื้อที่กระจายไปทั่วพื้น เย่ไคคำรามเสียงดุดัน “ย๊ากกกก! พี่น้องเอ๋ย ฆ่าเจ้าหนูสกปรกพวกนี้ให้ตาย! แม่เอ็ง! แน่จริงก็ตามขึ้นมา!”
วินาทีถัดมา การต่อสู้ที่แทบจะไร้เสียงแต่กลับดุเดือดร้อนแรงก็ได้เกิดขึ้นรอบอาคารหลังนี้…
ท่ามกลางเสียงลั่นไก อสุรกายที่กำลังปีนป่ายตามผนังด้านนอกของตึก ร่วงลงไปกระแทกพื้นจนกลายเป็นกองเนื้อเละๆ ตัวแล้วตัวเล่า แต่ในระหว่างที่พวกเดียวกันกำลังร่วงตกลงไปอย่างต่อเนื่อง อสุรกายอีกส่วนมากกลับกำลังเข้าใกล้ดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว…
“โฮกกก!”
ในขณะที่จางซินเฉิงกำลังเปลี่ยนซองกระสุน อสุรกายนรกตัวหนึ่งพลันยื่นมือมาจากข้างล่าง มันกรีดร้อง และพุ่งมือมาทางแขนของจางซินเฉิง ทว่าในตอนนั้นเอง ประกายดาบเยือกเย็นเส้นหนึ่งฟาดฟันมาจากด้านข้าง สับแขนข้างนั้นขาดอย่างแม่นยำ ขณะเดียวกับที่เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ศพได้ถูกเขี่ยออกไป เลือดมากมายกระจายเป็นวงกว้างกลางอากาศ
“ขอบคุณ” จางซินเฉิงเปลี่ยนซองกระสุนเสร็จอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดชะงัก ราวกับมองไม่เห็นแขนที่ร่วงอยู่ข้างเท้า เขาพูดขอบคุณเร็วๆ พลางชะโงกตัวออกไป เล็งปืนและลั่นไกอีกครั้ง…
เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้น ณ สี่มุมของดาดฟ้าอย่างต่อเนื่อง…พวกเย่เลี่ยนอาศัยความสามารถในการสังเกตการณ์อันเฉียบแหลมและความสามารถในการเคลื่อนไหวอันยอดเยี่ยม คอยให้ความช่วยเหลืออยู่รอบๆ มีพวกเธออยู่ ถึงแม้มีสัตว์ประหลาดฝ่าด่านเข้ามาได้สำเร็จ แต่ก็ยากจะทำลายด่านป้องกันของพวกเขาได้
เวลานี้ ทุกความโลเลและสับสนล้วนนำมาซึ่งภัยยิ่งใหญ่ถึงชีวิต แต่ในการต่อสู้อันดุเดือดนี้ กลับทำให้ทีมปาฏิหาริย์ระเบิดความสามัคคีและร่วมมือร่วมใจกันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…
“อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! มาเลย! เข้ามาให้หมด! แล้วคอยดูว่าฉันจะฆ่าพวกแกให้ตายด้วยวิธีไหน! หรือไม่พวกแกก็มาฆ่าฉันให้ตายเลยก็ได้!” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของอวี่เหวินซวนดังขึ้นทันที เขายืนอยู่บนกล่องไม้กล่องหนึ่ง แทบจะชะโงกตัวทั้งตัวออกนอกรั้วกั้นเลยทีเดียว ยังไม่ต้องพูดถึงอสุรกายนรกพวกนั้น แค่ท่ายืนของเขาก็อันตรายมากพอแล้ว …
ในอีกด้าน หลิงม่อยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่หลังรั้วกั้น แต่เขากลับใช้หนวดสัมผัสโจมตีสัตว์ประหลาดไปเกือบสามสิบตัวแล้ว ทุกครั้งที่มีสัตว์ประหลาดเข้าใกล้เขาในระยะยี่สิบเมตร พวกมันจะนิ่งค้างไปทันใด จากนั้นก็ร่วงตกลงไปอย่างไม่มีทางขัดขืน วิธีการต่อสู้อย่างเยือกเย็นแต่มีประสิทธิภาพสูงอย่างนี้ ราวกับได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับอสุรกายนรกพวกนั้นไม่น้อยทว่าที่สำคัญที่สุดคือ เขาทำให้จิตใจที่กำลังลนลานหวาดหวั่นของทุกคน สงบนิ่งลงมาก
ในสายตาของทุกคน แน่นอนว่าอวี่เหวินซวนเป็นเฟิ่งจื่อ (คนบ้า) แต่คนอย่างหลิงม่อ กลับน่ากลัวยิ่งกว่าเฟิ่งจื่อเสียอีก…และพอพวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงนั้น กลับทำให้คนรู้สึกกดดันได้มากกว่าอสุรกายพวกนั้นเสียอีก!
“ยังเหลืออีก…สองนาที!” มู่เฉินยกปืนขึ้นเล็ง แล้วลั่นไกอีกครั้ง ในขณะที่คอยนับถอยหลังในใจ…
ไม่นาน บนพื้นก็มีแต่ศพนอนเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด เลือดจำนวนมากย้อมผนังด้านนอกของอาคารหลังนี้จนกลายเป็นสีแดงแทบทั้งหมด ถ้าหากเวลานี้มีใครมองเข้ามาจากที่ไกลๆ จะต้องตกใจกับภาพที่เห็นอย่างแน่นอน…อาคารหลังนี้ ราวกับกำลังมีเลือดไหลออกมา…
“อึกๆ…” ซอมบี้ตัวหนึ่งพลันชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินร่อนเร่ไปมา มันค่อยๆ หันมามองทางทิศที่อาคารหลังนี้ตั้งอยู่…แม้มีถนนกั้นขวางอยู่ทั้งเส้น แต่มันก็มองเห็นเลือดสดๆ พวกนั้น กระทั่งได้กลิ่นเลือดอันเข้มข้นพวกนั้นอย่างชัดเจน…
ตึงๆๆๆ…
หยาดเหงื่อไหลเข้าตาจนทำให้สายตาของทุคนต่างพร่ามัว กระบอกปืนเริ่มร้อนขึ้น ความเร็วในการลั่นไกปืนก็เริ่มช้าลงอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่แขนของพวกเขาก็เริ่มมีอาการชาเพราะแรงสะท้อนกลับของปืน แต่อสุรกายนรกเหล่านั้น พวกมันกลับยังคงปีนป่ายขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน…
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า จำนวนของพวกมันไม่เคยลดลงเลยล่ะ…” อยู่ๆ เย่ไคก็หัวเราะ แล้วพูดขึ้น
จางซินเฉินพูดขึ้นอย่างเห็นด้วยกับเขาอย่างนับครั้งได้ “นั่นสิ…คงเพราะเรายังฆ่าพวกมันไม่มากพอล่ะมั้ง…”
“อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ เรื่องดีๆ อย่างการเรียงคิวเข้ามาให้นายฆ่าถึงที่แบบนี้ จะไปหาได้จากที่ไหนกัน…” เย่ไคบอก
“แบกปืนกระบอกหนึ่งแล้วสุ่มเดินขึ้นดาดฟ้าซักที่ แค่นั้นก็เจอโอกาสดีๆ ที่นายว่าแล้ว…” มู่เฉินไม่ลืมพูดเหน็บแนม
“ชิท อย่าคิดว่าตัวเองเป็นโค้ชแล้วจะ…เดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ เย่ไคก็ตะโกนเสียงสูง แต่ก็เงียบไป หนึ่งวินาทีต่อมา เขาตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “เชี่ยย! นั่นมันตัวอะไรน่ะ?!”
สวบสาบๆๆ!
เขายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้น เสียงดังชัดเจนเสียงหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมา…ทุกคนได้ยินเสียง “เพล้งง” ดังขึ้นอย่างกะทันหัน…
เศษกระจกมากมายแตกกระจาย และไม่นาน เศษกระจกที่มีขนาดเกือบครึ่งเมตรก็พุ่งแหวกลมดัง “สวบ” มาอยู่ตรงหน้าหลิงม่อ…
หลิงม่อม่านตาหดตัว ไม่รอให้เศษกระจกโดนตัว พลังงานไร้รูปกลุ่มหนึ่งพลันปัดป้องกลางอากาศ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น กลับเป็นเสียงดังสนั่นแสบแก้วหู และเศษกระจกที่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…
ท่ามกลางแสงสะท้อนระยิบระยับของเศษกระจกที่ลอยอยู่กลางอากาศ มือข้างหนึ่งที่แห้งเหี่ยวราวศพเฉาพลันคว้ารั้วกั้นไว้ได้…
“โฮกกก!” หลังมือข้างนี้ปรากฏ เสียงคำรามน่าพรั่นพรึงพลันดังเสียดแทงแก้วหูของทุกคน…
—————————————-