ในขณะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว มือข้างนั้นพุ่งพรวดไปที่หลิงม่อโดยตรง มันเคลื่อนไหวเร็วมาก เร็วกว่าอสุรกายนรกธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด คนที่เหลือล้วนมองเห็นเพียงเงาดำพุ่งผ่าน และได้ยินเสียงดัง “โครม” ในเสี้ยววินาทีต่อมา

“พี่หลิง!” เสียงเรียกอย่างร้อนใจของซย่าน่าดังมาจากด้านหนึ่ง แต่เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเธอ หรือเย่เลี่ยน หรือใครก็ตาม ล้วนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ เมื่อสัตว์ประหลาดตัวนี้ปรากฏตัว อสุรกายนรกตัวอื่นๆ พลันคลุ้มคลั่งขึ้นมา พวกมันเร่งความเร็วพุ่งตัวขึ้นมาบนดาดฟ้าราวกับฝูงผึ้ง

ถึงแม้ว่าพวกซย่าน่าเองก็กำลังโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แต่อสุรกายนรกเหล่านี้กลับไม่หวาดหวั่นต่อการบาดเจ็บล้มตายเลยแม้แต่น้อย พวกมันถ่วงพวกเขาไว้อย่างอยู่หมัดโดยอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน…

“แค่กๆ…ฉันไม่เป็นไร!” หลิงม่อตะโกนตอบทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ทีมแตกตื่น ทว่าขณะเดียวกับที่ตะโกน เขากลับเซถอยหลังไปสองก้าว มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องหัวโดยสัญชาตญาณ เงยหน้าซีดขาวมองฝ่ามือข้างนั้นที่ถูกเขาป้องกันไว้ได้อย่างเฉียดฉิว

มือข้างนั้นอยู่ห่างจากหัวเขาไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร มันอยู่ใกล้มาก ใกล้จนหลิงม่อได้กลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่ตามซอกเล็บ รวมถึงกลิ่นประหลาดอ่อนๆ…กลิ่น ที่มาจากใต้ดิน…

“ฮู่ว…” หลิงม่อลอบนึกหวาดเสียวในใจ…ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขามีการตอบสนองทางจิตที่รวดเร็วมากพอ เมื่อกี้ เขาคงหลบไม่พ้นแน่…และจุดจบที่ต้องเจอ ก็คงจะเป็นถูกกรงเล็บข้างนี้ตะกุยสมองจนเละ…

ทั้งสองฝ่ายชะงักค้างไปไม่ถึงศูนย์จุดหนึ่งวินาที ทันใดนั้น มือข้างนั้นหดกลับไป ภาพตรงหน้าหลิงม่อพร่ามัวชั่วขณะ วินาทีถัดมาเขาก็เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นนั่งยองๆ อยู่บนรั้วกั้น…

“นี่มัน…” หลิงม่อดวงตาเบิกโพลง

ร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้ซีดขาวจนแทบจะโปร่งแสง รอบแขนและขาทั้งสี่ข้างของมันยังมีหนวดงอกออกมามากมาย เส้นหนวดเหล่านั้นกำลังกระเพื่อมไหวไปมา ขณะเดียวกันดวงตาที่แทบปูดโปนออกมานอกเบ้าของมันก็จ้องเขม็งมาที่เขา ปากกว้างๆ นั้นเหมือนกำลังฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาด ซ้ำยังทำท่าแลบลิ้นเลียปากใส่หลิงม่อ

“มนุษย์ตะขาบ!”

ตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นอสุรกายนรกสายพันธุ์ใหม่ แต่ไม่คิดว่ากลับกลายเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย…ทว่ามนุษย์ตะขาบตัวนี้กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกว่า มันต่างจากก่อนหน้านี้ไปมาก ในเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเผชิญกันตรงๆ หลิงม่อกระทั่งรู้สึกว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้…กำลังยิ้มให้เขาจริงๆ…

เห็นชัดเจนว่า อีกฝ่ายมีสติปัญญา…

“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง…” หลิงม่อจ้องสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างระแวดระวัง พลางใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว

“พี่หลิง! ดูที่มือของมัน!” เฮยซือพลันตะโกนบอกเสียงดัง

มือ? มือของมันทำไมหรอ? เมื่อกี้ก็เห็นไปแล้วนี่…เขาคิดในใจ แต่หลิงม่อกลับยังคงเหลือบมองที่มือของมันอีกครั้ง…มือของมันใหญ่กว่าของมนุษย์ตะขาบธรรมดาเล็กน้อย แต่นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษแล้วนี่นา…

“ไม่ ไม่สิ! ยังมีอีก! ถึงแม้ไม่ถือว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ว่า…”

นั่นมันเลือดนี่!

เลือดสดใหม่จำนวนมากติดอยู่เต็มฝ่ามือของมัน เศษเนื้อจำนวนหนึ่งยังติดอยู่ตามซอกเล็บของมัน…แค่เห็นท่าทางเลียปากไปมาไม่หยุดของมันก็รู้แล้วว่าเลือดเนื้อที่เหลือไปอยู่ที่ไหนแล้ว…

“เห็นหรือยัง?” เฮยซือยกเท้าย่ำหัวอสุรกายนรกตัวหนึ่งอย่างแรง และเตะมันให้ร่วงลงไป ขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกต่อ “นั่นน่ะ มันเป็นเลือดมนุษย์!”

มนุษย์?!

หลิงม่ออึ้งงันไปก่อน ต่อมาก็ตาโตเหมือนฉุกคิดขึ้นได้!

ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาก็เข้าใจความหมายที่เฮยซือพูดก่อนหน้านี้แล้ว…

สัตว์ประหลาดเหล่านี้ พวกมันกำลังดูดกลืนมนุษย์…พวกมันไม่เหมือนกับซอมบี้ที่กินเพียงเพื่อเติมท้องให้อิ่ม เหล่าอสุรกายนรกพวกนี้ สามารถกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายของตัวเอง…

ก็เหมือนกับมนุษย์หนูที่เขาเจอก่อนหน้านี้ รวมถึงผู้รอดชีวิตถังฮ่าวที่แปลงร่างโดยสมบูรณ์แล้ว…พวกมันล้วนทำให้ร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป ด้วยการกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่น และสำหรับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ น่าจะเป็นการช่วยเพิ่มสติปัญญา…

ทว่าในพื้นที่ย่านนี้นอกจากพวกหลิงม่อแล้ว ก็มีแต่ผู้รอดชีวิตที่แปลงร่างไปแล้วพวกนั้นเท่านั้น พวกเขาถือได้ว่าเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นหลังจากที่มนุษย์ตะขาบตัวนี้กลืนกินศพของพวกมัน สติปัญญาของมันจึงพัฒนาขึ้นไม่มาก ตรงกันข้าม นั่นกลับทำให้ร่างกายของมันเกิดการกลายพันธุ์บางอย่าง แต่ถึงแม้มีสติปัญญาเพียงเท่านี้ ก็มากพอที่จะทำให้มันเข้าใจถึงความสำคัญของมนุษย์…รวมถึงกลยุทธ์การต่อสู้พื้นฐาน เหมือนที่มันกำลังทำอยู่ในตอนนี้แล้ว…

“เหอๆ…” มนุษย์ตะขาบ…หรือจะเรียกว่าราชาตะขาบก็ได้ มันกำลังจ้องมองหลิงม่ออย่างตื่นเต้น จากนั้นก็ลุกพรวด

จนถึงตอนที่มันลุกขึ้นยืนหลิงม่อถึงเพิ่งค้นพบว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจนมีความสูงสองเมตรกว่าแล้ว…บวกกับความสูงของรั้วกั้น เวลานี้มันดูเหมือนตะขาบในร่างคนที่มีขนาดตัวมหึมาเลยทีเดียว…

“มันคิดจะทำอะไร…” ขณะที่ถูกราชาตะขาบตัวนี้จ้อง หลิงม่อรู้สึกกดดันอย่างแรง นี่คือความกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณ รวมถึงความปรารถนาอยากมีชีวิตรอดอย่างรุนแรง ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าหากเขาถอยหลังไปจากตรงนี้อีกแค่ก้าวเดียว มุมที่เขากำลังเฝ้าระวังอยู่ตรงนี้ ก็จะกลายเป็นช่องโหว่แรกที่เหล่าอสุรกายนรกจะฝ่าด่านเข้ามา…

และนั่นก็คือสิ่งที่ราชาตะขาบตัวนั้นต้องการ…และสาเหตุที่มันเลือกหลิงม่อเป็นเป้าหมาย ก็เพราะความตะกละของตัวมันเอง…

“แหมะ!”

น้ำลายไหลออกจากมุมปากของราชาตะขาบอย่างต่อเนื่อง เมื่อหยดลงบนพื้นก็มีควันสีขาวแปลกๆ ลอยขึ้นมา หลิงม่อเหลือบเห็นฟองสีขาวที่อยู่บนพื้น ในใจพลันตกตะลึง

“เฮ้ยๆ อย่ามาตลก นี่แกโตมาด้วยการดื่มกรดซัลฟิวริกหรือไง? ถึงฉันจะดูออกว่าแกอยากกินฉันมาก แต่ก็ไม่เห็นต้องใจร้อนถึงขนาดนี้เลยนี่…กรดในกระเพราะไหลออกมาหมดแล้วนะนั่น…”

เขาลอบคิดในใจเงียบๆ ในขณะที่เท้าไม่คิดก้าวถอยเลยแม้แต่น้อย

“เหอๆ!”

ทันใดนั้นราชาตะขาบพลันขยับเขยื้อน!

มันโน้มตัวลง เส้นหนวดมากมายค่อยๆ แผ่ออก ยื่นมือสองข้างออกมา และตบมือใส่หลิงม่อ

เมื่อน้ำลายของมันหยดลงพื้น ของเหลวสีใสมากมายพลันถูกยิงออกจากหนวดของมัน และพุ่งไปทางหลิงม่ออย่างรวดเร็ว

“พรวด!”

ด้านหน้าของหลิงม่อกลับเหมือนมีเกราะป้องกันไร้รูปอยู่หนึ่งชั้น ในเสี้ยววินาทีที่น้ำกรดพวกนั้นกระเด็นออกไปหมด มือสองข้างนั้นกลับตบไปที่หัวของหลิงม่อ

“ป๊าบๆ!”

เสียงดังสองครั้งติดกัน หลิงม่อแค่นเสียงโอดครวญออกมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวอย่างช่วยไม่ได้

“ป๊าบๆๆ!”

น้ำกรดที่ถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง การโจมตีอันร้ายกาจที่เร็วจนแทบมองตามไม่ทัน…หลิงม่อยืนอยู่บนพื้น แทบไม่มีเวลาหายใจ เทียบกับราชาตะขาบที่อยู่สูงกว่า เขาเหมือนสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่จะถูกตบจนแบนเมื่อไหร่ก็ได้ และเสียงที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ นั่น ก็ทำให้ผู้ได้ยินอกสั่นขวัญแขวน…

“แม่เอ็งๆๆ! ฆ่ายังไงก็ไม่หมด!” เย่ไคตะโกนเสียงดัง พลางรัวปืนอย่างบ้าคลั่ง

“หลิงม่อ! อดทนไว้!” มู่เฉินตะโกนลั่น

อวี่เหวินซวนหยุดหัวเราะ ทว่าในขณะที่กำลังยิงปืน อยู่ๆ ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาหลายดวง

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน อสุรกายนรกพวกนั้นก็ยังคงพรั่งพรูขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย อย่าว่าแต่ยิงพวกมันให้ร่วงลงไปชั่วคราวเลย เกรงว่าแค่จะสร้างช่องว่างเพียงหนึ่งวินาที ก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ…

ถึงแม้ว่าวิธีที่อสุรกายเหล่านี้ใช้ จะเป็นวิธีที่ง่าย แต่มันกลับรับมือยากยิ่งกว่าการโจมตีหมู่ของซอมบี้เสียอีก ความสามารถในการเคลื่อนไหวแบบฝูงของพวกมัน ก็เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าซอมบี้อย่างเห็นได้ชัด…

“หัวหน้า ฉันจะช่วยหัวหน้าเอง…” กู่ซวงซวงวางร่างเจ้าลิงผอมไว้ด้านหนึ่ง พลางรีบลุกขึ้นยืน แต่ในขณะที่เธอหมายจะยื่นมือเข้าไป เธอกลับร้องเจ็บปวด และยกมือกุมหัวทันที

ตรงนั้น…รอบกายเงาร่างที่ยืนหยัดอยู่เพียงลำพัง มีพายุพลังงานที่มองไม่เห็นกำลังกรีดพัดอย่างรุนแรงอยู่ลูกหนึ่ง…

การจู่โจมอันรุนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำของราชาตะขาบ รวมถึงการต้านทานอันเงียบงันของหลิงม่อที่ดูเหมือนใจเย็น แต่กลับไม่คิดถอยแม้แต่ก้าวเดียว…พลังงานสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนิ่ง กลุ่มหนึ่งพัดโหม กลายเป็นเหมือนพายุเฮอริเคนสองลูกกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด…

การต่อสู้นี้ ไม่ได้อยู่ในระดับที่เธอจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยได้…

“หัวหน้า…”

กู่งซวงซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็รีบหันหน้าวิ่งไปอีกทาง

“ตึงตังๆๆ!”

ทันใดนั้น เสียงทุบตึงตังดังมาจากประตูดาดฟ้า กู่ซวงซวงรีบวิ่งไปที่ประตู และหลับตาปี๋

“ใช่แล้ว นี่ต่างหากคือหน้าที่ของฉัน…หน้าที่ของฉัน…”

เสียงพายุห้ำหั่นกัน เสียงคำรามของเพื่อนพ้อง เสียงร้องของอสุรกายยามที่พวกมันปีนป่ายขึ้นมา…รวมถึงสารพัดเสียงที่ดังมาจากข้างหลังประตูบานนี้…แม้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันดุเดือดอย่างนี้ แต่เสียงที่ทุกคนได้ยินชัดเจนที่สุด กลับยังคงเป็นเสียงหัวใจของตัวเอง

จะยืนหยัดได้ไหม…จะ…รอดไปได้ไหม!

————————————