“เหอๆๆ…”
เสียงร้องของราชาตะขาบฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะอันเย็นเยียบ มันก้มหน้าจ้องหลิงม่อ น้ำลายไหลออกจากปากไม่ขาดสายด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้เจ้ามนุษย์ตัวเล็กนี่จะอดทนได้เก่งกว่าที่เห็น แต่ในสายตาของราชาตะขาบ หลิงม่อต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง…เทียบกับรูปร่างใหญ่โตของมัน เจ้ามนุษย์คนนี้ช่างบอบบางจนเหมือนไม่สามารถทนรับการโจมตีได้เลย
กลิ่นอายบนตัวของมนุษย์คนนี้…แล้วไหนจะยังพลังงานอันน่าทึ่งที่แผ่กระจายออกมาจากสมองของเขาอีก…สิ่งเหล่านี้ทำให้ราชาตะขาบตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว หนวดของมันถูไถกันไปมาเป็นช่วงๆ ราวกับว่ามันอดใจเริ่มมื้ออาหารไม่ไหวแล้ว ลิ้นยาวๆ ของมันพยายามแลบไปที่หัวของหลิงม่อ เขี้ยวฟันที่เหมือนตะขอเหล็กขยับไปมาในปากที่เต็มไปด้วยน้ำลาย เหมือนอยากเขมือบสมองหลิงม่อซะเดี๋ยวนั้น…
“เหอๆ…”
“เวรเอ๊ย…” หลิงม่อขมวดคิ้ว พยายามเบิกตาให้กว้างเข้าไว้ เพราะเหงื่อทำให้สายตาเขาพร่ามัว แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขากลับไม่สามารถทำได้แม้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ถึงแม้ร่างกายเขาไม่ได้กำลังต่อสู้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่พลังจิตกำลังถูกเผาผลาญอย่างบ้าคลั่ง ความสามารถในการควบคุมร่างกายของหลิงม่อก็ได้ลดลงตามไปด้วย ซึ่งก็หมายความว่า ทันทีที่พลังจิตถูกเผาผลาญจนหมด เขาก็จะกลายเป็นอาหารเลิศรสที่ไม่สามารถขยับเขยื้อน ทำได้แค่รอดูตัวเองถูกกินเท่านั้น…
และสิ่งที่ราชาตะขาบกำลังรอคอย ก็คือการมาถึงของช่วงเวลานั้นนั่นเอง…
“แย่ล่ะ…เผาผลาญเร็วเกินไปแล้ว…” หลิงม่อกระพริบตาสองสามครั้ง พยายามเพ่งมองไปที่ราชาตะขาบ “ที่แย่กว่าก็คือ ความเร็วและพลังงานของมันไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ…แต่ว่า เราเองก็ไม่กล้าหยุดกลางคัน…”
ถ้าหากทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าตอนที่เขาคิดอยากพักหายใจ เขาคงตายไปแล้ว…
ความจริงแล้วเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองอาจตายได้ทุกเมื่อแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอย่างนี้ก็รุนแรงขึ้น…หลิงม่อกระทั่งรู้สึกว่าสติของเขาเริ่มเลือนราง ภาพตรงหน้า และในสมอง ล้วนหลงเหลือเพียงสัตว์ประหลาดตัวนั้น รวมถึงพลังงานที่ไหลทะลักออกมาจากสมองอย่างต่อเนื่อง…
“ตึกตัก…ตึกตัก…”
เสียงหัวใจเต้นเหมือนค่อยๆ ไกลออกไป หลิงม่อรู้สึกว่าสายตาของเขาเริ่มกลายเป็นสีแดงอย่างช้าๆ…
“ยังยืนหยัดได้อีกนานแค่ไหน? หนึ่งนาที? ไม่สิ สามสิบวินาที?…ความเร็วในการสูญเสียพลังจิต ราวกับน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อน…รู้สึกหนักหัวจัง ร่างกายล่ะ? ทำไมเราไม่รู้สึกถึงร่างกายแล้ว…น่าแปลก ทั้งที่สติเลือนรางแล้ว แต่ทำไม…กลับรู้สึกชัดเจนอย่างนี้…”
แม้แต่ราชาตะขาบตัวนี้ ก็ยังดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองสายตาของเขา…
ไม่ ไม่สิ…สิ่งที่ชัดเจนขึ้นไม่ใช่ตัวราชาตะขาบ แต่เป็นดวงแสงแห่งจิตของมัน รวมถึง…จุดแสงมากมายบนตัวของมัน…
“นั่นมันอะไรน่ะ? พลังจิตที่เกิดขึ้นหลังจากที่หัวไปงอกอยู่ที่จุดอื่นงั้นหรอ? หรือว่า…”
หลิงม่อพลันค้นพบว่า สายตาของเขามีมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ราชาตะขาบตัวนี้ รอบกายเขา กระทั้งด้านหลัง มีดวงแสงแห่งจิตอยู่จำนวนมาก รวมถึงจุดแสงอีกมากมายนับไม่ถ้วน…
“มันไม่ใช่พลังจิต…” บนตัวของพวกมู่เฉินก็มีจุดแสงอย่างนี้อยู่เหมือนกัน…
“นั่นมันอะไรน่ะ? พลังงาน? พลังงานที่ไม่ใช่พลังจิตงั้นหรอ?”
หลิงม่อครุ่นคิด…เขากระทั่งไม่สังเกตเห็นว่าการตอบสนองของราชาตะขาบเปลี่ยนไปแล้ว…และพวกเย่เลี่ยนที่อยู่ไม่ไกล ก็กำลังหาจังหวะหันหน้ามาทางเขา
โดยเฉพาะเฮยซือ…มันกำลังจ้องหลิงม่ออย่างตะลึงงัน จากนั้นก็คว้ามือไปกลางอากาศ ถึงแม้คว้าอะไรไม่ได้ แต่มันกลับทำหน้าเหมือนมองเห็นอะไรบางอย่าง…
“นี่มันอะไร…” ซย่าน่าเงยหน้า แล้วพึมพำ เงาร่างเลือนรางหนึ่งปรากฏทาบทับบนตัวเธอ ซึ่งก็คือร่างดวงจิตน่าน่านั่นเอง…แต่ในเวลาอย่างนี้ เธอกลับปรากฏตัวออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้…
“ไม่รู้…” เฮยซือพูดเสียงเบา มันรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ และอวี๋ซือหรานที่อยู่ห่างจากมันไม่ไกล ก็กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับรู้สึกได้เช่นกัน
ท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ มีเพียงกู่ซวงซวงเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดเรื่องอะไรกัน…ตอนนี้เธอเบิกตากว้าง และกำลังมองขึ้นไปบนหัวตัวเองอย่างหวาดกลัว…
ข้างบนนั้นคือพายุลูกหนึ่ง ที่เกิดจากเส้นสายสีแดงเลือดมากมายนับไม่ถ้วนประสานกัน…มันกำลังกรีดหมุน และป่วนพล่านอย่างบ้าคลั่ง และสิ่งที่แผ่กระจายมาจากข้างในนั้นก็ไม่ใช่อะไรอย่างอื่น แต่เป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวนั่นเอง
ราวกับว่าอยู่ๆ ข้างบนนั้นก็มีดวงตาขนาดมหึมาโผล่มา และมันก็กำลังจ้องเขม็งมาที่พวกเขา…มันไม่เพียงสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางทั้งหมดของเราได้ แต่ยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในสมอง และมองเห็นความคิดทั้งหมด ทั้งร่างกาย และทุกสิ่งทุกอย่างของเราได้ด้วย…
“นี่มัน…”
กู่ซวงซวงยกมือปิดปาก จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปที่หลิงม่อ…
พายุพลังจิตที่น่ากลัวอย่างนี้ กำลังหยุดอยู่เบื้องบนของหลิงม่อ…หนวดสัมผัสสีแดงเหล่านั้นสานตัวกันจนกลายเป็นพายุ สีแดงส่องประกายระยิบระยับ และเชื่อมต่อกับสมองของหลิงม่อโดยตรง
ขณะเดียวกัน สายตาของหลิงม่อได้แปรเปลี่ยนเป็นนเหม่อลอย…ใบหน้าของเขาซีดขาวจนผิดปกติ และยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เผชิญหน้ากับราชาตะขาบตัวนั้นด้วยสีหน้าท่าทางที่แปลกสุดๆ
ไม่ใช่หวาดกลัว แล้วก็ไม่ใช่เหยียดหยาม…
พูดให้ถูกต้องก็คือ เหมือนเขากำลังสังเกตการณ์ราชาตะขาบมากกว่า…มีแววตาแห่งความสงสัย รวมถึงตื่นเต้นปนอยู่ด้วย
ส่วนราชาตะขาบที่ยืนจ้องเขาน้ำลายไหลในตอนแรก กลับดูลนลานขึ้นมาในตอนนี้ มันเหมือนกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เอาแต่ร้อง “เหอๆ” ไม่หยุด หลังจากลนลานอยู่พักหนึ่ง มันก็แหงนหน้าขึ้น จากนั้นก็จู่โจมอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้ก่อนหน้านั้น ไม่ใช่แค่มัน แต่รวมถึงอสุรกายนรกเหล่านั้นด้วย อยู่ๆ พวกมันก็เริ่มพุ่งตัวเข้ามาโจมตีราวกับมีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” จางซินเฉิงตะโกน คราวนี้อย่าว่าแต่ยิงลงไปข้างล่างเลย แค่อสุรกายที่กระโจนมาตรงหน้าพวกเขา ก็มีมากจนพวกเขารับมือไม่ทันแล้ว
“อดทนไว้ให้ได้!” ซย่าน่าตะโกนเสียงดัง พลางเหวี่ยงเคียวดาบโจมตี ฝั่งหลิงม่อเกิดเหตุพลิกผัน ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งไม่ควรประมาท…จะให้ดีต้องรีบฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นถึงจะไปช่วยหลิงม่อได้…
สวี่ซูหานเหลือบมองไปยังทางที่หลิงม่อกับราชาตะขาบยืนอยู่ แล้วพูดเร็วๆ ว่า “หลิงม่อ นายกำลังทำอะไร…ตอนนี้ไม่ใช่เวลามายืนเหม่อนะ!”
เป็นอย่างนั้นจริงๆ…ในสายตาของคนรอบข้าง ท่าทางของหลิงม่อเหมือนกำลังยืนเหม่อจริงๆ และในความจริง ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร…สติ ร่างกาย สมอง…สามสิ่งนี้ราวกับได้แยกออกจากกัน…แต่ความคิดของเขาที่ไม่สามารถควบคุมได้ในตอนนี้ กลับชัดเจนยิ่งกว่าในเวลาปกติหลายเท่า…
“จุดแสงใหญ่ขึ้นแล้ว…” หลิงม่อกำลังจ้องไปที่ราชาตะขาบ พลางคิด
สำหรับเขาในตอนนี้ ราชาตะขาบที่กำลังลนลาน ไม่ได้ต่างอะไรจากจุดแสงจุดหนึ่งเลย…
“ร่างกายของมัน น่าจะโจมตีได้ยากสินะ?” หลิงม่อคิด พลางขยับนิ้วมือไปมา
เต๊ง!
สะเก็ดไฟพลันกระเด็นออกจากบนร่างกายของราชาตะขาบ สวี่ซูหานที่มองอยู่เกือบกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“หลิงม่อ! นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่!”
“อื่ม ตามคาด…แล้ว…จุดแสงนั่นล่ะ?” หลิงม่อหันไปสนใจจุดแสงนั้นอีกครั้ง…เขากระทั่งไม่สังเกตเห็นว่าตอนนี้ตัวเองสามารถใช้หนวดสัมผัสได้แล้ว ในการต่อสู้เมื่อกี้ เขาทำได้เพียงเป็นฝ่ายป้องกันเท่านั้น…
“แปลกจัง ทั้งๆ ที่เผาผลาญเร็วกว่าเดิม แต่ทำไมไม่รู้สึกเวียนหัวแล้วล่ะ? ช่างเถอะ…ยังไงก็ลองนี่ก่อนแล้วกัน”
หลิงม่อพยายามกวัดแกว่งนิ้วมืออีกครั้ง
และเมื่อเขาดีดนิ้วชี้ออกไป แขนของราชาตะขาบก็สะบัดออกไปราวกับถูกดีด
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของสวี่ซูหาน มือข้างนั้นของราชาตะขาบสะบัดขึ้นไปบนหน้าตัวเอง จากนั้นก็ต่อยปากตัวเองจนเลือดกลบ
“ทำได้…ยังไง?” สวี่ซูหานยืนจ้องแผ่นหลังของหลิงม่อ…ไม่รู้ทำไม เธอสัมผัสได้ถึงบางอย่างแปลกๆ จากตัวเขา…ทั้งที่เขาหันหลังให้เธอ และกำลังยืนเหม่ออยู่อย่างนั้นแท้ๆ แต่สวี่ซูหานกลับรู้สึกว่า หลิงม่อกำลังมองเธออยู่…
พลั่ก!
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง
หมัดของราชาตะขาบต่อยลงบนหัวของหลิงม่ออย่างแม่นยำและรวดเร็วทุกครั้ง แต่สองครั้งนี้กลับพลาดเป้า กระทั่งต่อยกลับไปที่ร่างตัวเองด้วยซ้ำ
ไม่ว่าพลังป้องกันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางต้านทานพลังโจมตีของตัวเองได้…
“เหอๆ…”
ราชาตะขาบมึนงง มันเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อ พลันอ้าปากกว้าง เปล่งเสียงคำรามน่าพรั่นพรึง “โฮกกกก!”
พลั่กๆๆๆๆ!
หลิงม่อกลับชูนิ้วมือขึ้นในเวลานี้ จากนั้นก็กวัดแกว่งซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว…
“ลองดูอีกทีแล้วกัน…” เขาพูดพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อๆ
—————————————