บทที่ 1043 ตุ๊กตาลม

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อนิ้วมือของหลิงม่อกระดิกอีกครั้ง ราชาตะขาบที่กำลังทำท่าจะกระโจนลงมา พลันสะดุดกึก…มันพยายามยืนทรงตัวอย่างสุดชีวิต แต่กำปั้นสองข้างกับหนวดสัมผัสกลับฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปทักทายใบหน้ามันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียง “พลั่กๆๆ” เลือดจำนวนมากกระฉูดออกมา ย้อมพื้นรอบๆ ให้กลายเป็นสีแดงในพริบตา

แต่หลิงม่อกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ปากก็พึมพำอย่างจริงจัง “อื่ม…เวลาโจมตีจุดแสงที่อยู่ตรงหน้าท้อง ผลลัพธ์ที่ได้แย่ลงมากทีเดียว…ตรงต้นขาก็เหมือนกัน…ถ้าอย่างนั้น จุดที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดน่าจะเป็นจุดข้อต่อของแขนขาทั้งสี่ข้างสินะ? แต่จุดแสงที่อยู่ในตำแหน่งพวกนี้เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย ทำให้เล็งยากมาก…”

พลั่ก!

ราชาตะขาบพยายามตะครุบกำปั้นตัวเอง แต่ยิ่งมันอยากขยับ มือสองข้างนี้ก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ดั่งใจ…

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง เป็นเราที่เข้าใจผิดเอง…” ทันใดนั้น ความตื่นเต้นฉาบสะท้อนในแววตาหลิงม่อ เขายกมืออีกข้างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ไล้มือวาดตามร่างกายของราชาตะขาบเพื่อเปรียบเทียบ “ถ้าหากว่า…เรามองดวงแสงแห่งจิตเป็นจุดแสงจุดหนึ่ง…โฉมหน้าจริงๆ ของจุดแสงพวกนี้ก็จะชัดเจนมาก! จุดแสงที่ใหญ่ที่สุด ก็คือดวงแสงแห่งจิต ซึ่งความจริงก็คือศูนย์ควบคุมระบบประสาทของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง…ถึงแม้ว่านี่อาจไม่ใช่คำอธิบายที่ถูกต้องทั้งหดม แต่โดยรวมแล้วมันก็ทำนองนี้แหละ…ถ้าอย่างนั้น จุดแสงที่ปรากฏอยู่ทั่วร่างกายพวกนี้ก็น่าจะเปรียบได้กับปลายประสาทสินะ…”

พูดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็ตวัดนิ้วมืออีกครั้ง ราชาตะขาบกรีดร้อง พลันเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าตัวเองอย่างแรงอีกครั้ง

“ตามคาด…ขอเพียงเลือกจุดแสงถูก ก็จะสามารถก่อกวนการเคลื่อนไหวของมันได้แม่นยำและละเอียดอ่อนกว่า…เทียบกับพลังจิตก่อกวน นี่เรียกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการเลยทีเดียว…วิวัฒนาการของพลังก่อกวน นแล้วก็ยังเป็นวิวัฒนาการของพลังสังเกตการณ์และพลังสัมผัสรู้อีกด้วย…” หลิงม่อมองไปที่ฝ่ามือตัวเอง…เขารู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้ควบคุมที่แท้จริงแล้ว…พลังควบคุมหุ่น ไม่ได้หมายถึงการควบคุมหุ่นซอมบี้เพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างนี้อยู่ด้วย

“ถ้าหากสามารถเห็นมากกว่านี้…ก่อกวนได้มากกว่านี้…” หลิงม่อมองราชาตะขาบ พลางพูดพึมพำ “ถ้าทำได้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดอย่างเจ้านี่ เราก็จะสามารถควบคุมมันได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องกำจัดดวงจิตของมันก่อน…ทุกการเคลื่อนไหวของมัน ล้วนอยู่ในกำมือของเรา…ความรู้สึกนี้มัน เหมือนมันกลายเป็นหุ่นเชิดของเรา…”

“โฮกก โฮกกก!”

ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบวินาที ใบหน้าของราชาตะขาบก็เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ความเจ็บปวดกระตุ้นสัญชาตญาณของมัน ท่ามกลามเสียงคำรามอย่างขึ้งเคียด มันอ้าปากงับหมัดที่เหวี่ยงเข้ามา และในขณะเดียวกับที่มันกัดฝ่ามือของตัวเองจนหักดัง “กร๊อบ” นั้น กำปั้นอีกข้างของมันก็ได้เหวี่ยงไปทางหลิงม่ออย่างรวดเร็ว

“หลิงม่อ!”

“พี่หลิง!”

หลายคนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเมื่อกี้ของหลิงม่อจะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ดูมีแนวโน้มยืนหยัดต่อไปได้ แต่สภาพเขาในตอนนี้ก็ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด…ราชาตะขาบยอมแลกความเจ็บปวดของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตหนึ่งครั้ง แต่เขากลับไม่คิดหลบ อย่าว่าแต่หลบเลย ตอนนี้เขายังคงเงยหน้ามองราชาตะขาบอย่างเหม่อลอยด้วยซ้ำ

“ดวงแสงแห่งจิต…หดเล็กลงแล้ว แต่ว่าจุดแสงที่อยู่ตรงแขนข้างนั้น กลับใหญ่ขึ้น…” หลิงม่อคิดในใจ แต่กลับไม่ตอบสนองต่อเสียงร้องเรียกของคนรอบข้าง…เขายังคงอยู่ในสภาวะแปลกๆ นั้นเหมือนเดิม นอกจากจุดแสง นอกจากสติของตัวเขาเองแล้ว เหมือนเขาไม่รับรู้ถึงสิ่งอื่นใดอีก…

“โจมตีจุดแสงหรอ? ไม่สิ…จุดแสงใหญ่เกินไป โจมตีแค่ครั้งเดียวยากที่จะทำสำเร็จ…ถ้าอย่างนั้น หัวของเราก็ต้องถูกมันชกจนแบนแน่ๆ…งั้น…” หลิงม่อพุ่งเป้าความสนใจไปที่ดวงแสงแห่งจิตของราชาตะขาบ “ตรงนี้แล้วกัน…”

พลั่ก!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วปานสายฟ้าฟาด ทุกคนเห็นแค่ตอนที่ราชาตะขาบเหวี่ยงหมัดลงไป แต่เมื่อเสียงกระทบกระทั่งดังขึ้น เหตุการณ์ที่เกิด ณ พื้นที่บริเวณนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

พื้นดาดฟ้าที่ถูกกระแทกจนยุบเป็นหลุม รั้วกั้นที่ถูกยันจนเปลี่ยนรูป และหลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าราชาตะขาบอย่างไร้รอยชีดข่วน…

เขายังคงไม่เหลบ แต่กำปั้นลูกนั้น กลับเหวี่ยงเฉียดหน้าเขาไปโดยตรง…

พื้นที่อยูตรงกลางระหว่างเขากับราชาตะขาบ ปรากฏหลุมลึกที่ดูไม่น่าเกิดขึ้นได้หนึ่งหลุม แม้แต่อาคารทั้งหลังก็สั่นสะเทือนอย่างแรงชั่วขณะ

อสุรกายนรกหลายตัวที่หมายฉวยโอกาสกระโจนขึ้นมา พลันพลัดตกลงไปเพราะแรงสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงร่วง “ตุบตับๆ” ดังมาจากข้างล่างตึก…

“เหอ…”

ราชาตะขาบเพิ่งจะเงยหน้า หลิงม่อก็ดีดนิ้วดัง “เป๊าะ” ใส่มันหนึ่งที

ลำคอของมันที่เพิ่งเงยขึ้นมาได้ครึ่งทางพลันหักไปด้านข้างดัง “กรึ๊บ” เสียงลั่นร้องของมันติดอยู่ในลำคอ

ทว่าถึงแม้อย่างนั้น ราชาตะขาบก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นลม มันยกกรงเล็บขึ้นอีกครั้ง พยายามตะครุบมนุษย์คนนี้ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับจับกินไม่ได้ซักที…

ทว่า เสียง “กร๊อบบ” กลับดังขึ้นมาอีกครั้ง…

แคร่กก!

กรึ๊บบ!

โครม…

ในสิบวินาทีต่อมา เสียงทำนองเดียวกันนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบนดาดฟ้า ถึงแม้ไม่มีใครหันมามอง แต่ทุกคนกลับหน้าซีดเผือด เหงื่อเริ่มซึมหนักกว่าเดิม…เทียบกับสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวนั้นแล้ว ท่าทางของหลิงม่อในตอนนี้ดูน่ากลัวกว่าอีก…

สีหน้าใจเย็นจนถึงขั้นเย็นชา การโจมตีที่ไม่มีความลังเลและความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม…แม้ในวินาทีที่เงามืดแห่งความตายอยู่แค่ตรงหน้า เขาก็ยังสามารถยืนอยู่ที่เดิม การตอบสนองอย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้…

“จริงด้วย ถ้าพูดถึงร่างรวมของซอมบี้กับมนุษย์แล้วล่ะก็…” อยู่ๆ เฮยซือก็พูดขึ้น

ซย่าน่าใช้เคียวดาบปัดร่างอสุรกายนรกสองตัวให้ตกลงไปอย่างแรง ถามว่า “มีอะไรงั้นหรอ?”

“ก็หลิงม่อไม่ใช่หรอ?” เฮยซือพูดต่อ “ถึงแม้ส่วนใหญ่จะยังเป็นคน แต่ว่าสมองของเขา ความจริงน่าจะเริ่มกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว…”

“กลายเป็นซอมบี้หรอ…หรืออาจพูดได้ว่าเป็นสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่งสินะ…” ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วบอก

“เธอจะบอกว่าซอมบี้นั้นเพียงปลุกตื่นสัญชาตญาณสัตว์ในตัวออกมาและใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณนั้นงั้นหรอ?” เฮยซือหัวเราะ แล้วพูดเสียงเบา “แต่ฉันก็เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมร่างแม่ตัวนั้น…แล้วยังมีพวกที่เหมือนตะขาบอย่างเจ้าตัวนี้ ถึงได้สนใจหลิงม่อขนาดนี้…”

“สำหรับพวกมัน หลิงม่อคงจะเป็นอาหารเสริมชั้นเยี่ยมสินะ…หึหึหึ…” เฮยซือพูด พลางหัวเราะเย็นชา

ซย่าน่าเหลือบมองมันแวบหนึ่ง พลันพูดเตือน “น้ำลายหกแล้ว…”

“หึหึ…หื้ม? อะแฮ่มๆ ฉันลืมไปว่าร่างนี้ได้มาจากใต้ดิน…มันเป็นไปเองตามสัญชาตญาณน่ะ สัญชาตญาณ…” เฮยซืออธิบาย

โครม!

ในที่สุดมนุษย์ตะขาบก็ล้มลงไป มันกระตุกสั่น ดวงตาที่ยังเหลืออยู่ข้างหนึ่งจ้องหน้าหลิงม่อเขม็ง ด้วยระดับสติปัญญาของมัน ไม่ว่าคิดยังไงก็คงคิดไม่ออกว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกซ้อมจนกลายเป็นแบบนี้…และในระหว่างนี้ สิ่งที่มนุษย์คนนี้ทำ ก็มีเพียงตวัดนิ้วใส่มันเท่านั้น…

ตอนนี้ ความรู้สึกที่มันมีต่อมนุษย์ตัวเล็กกระจิดริดตรงหน้าได้เปลี่ยนไปจากตอนแรกแล้ว…

แต่ว่ามันเปลี่ยนไปตรงไหนกันแน่…ตัวมันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน…

“หลิงม่อ!” อยู่ๆ อวี่เหวินซวนก็ตะโกนเสียงดัง

ความจริงไม่ต้องให้เขาตะโกน ทุกคนก็สังเกตเห็นแล้ว…

“เฮลิคอปเตอร์!” กู่ซวงซวงร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ

ห้านาที ในที่สุดพวกเขาก็ทำได้แล้ว!

ทันทีที่กำลังเสริมมาถึง ทุกคนก็ราวกับฮึกเหิมขึ้นมา หลังจากที่ฝืนกำจัดอสุรกายระลอกหนึ่งเสร็จ มู่เฉินรีบยกปากประบอกปืนขึ้น ตะโกนเสียงดัง “ถอยๆๆ!”

เจ้าลิงผอมถูกนำตัวขึ้นไปบนตัวเครื่องเป็นคนแรก คนที่เหลือต่างทยอยพากันถอยหลังไปด้วย ยิงจู่โจมไปด้วย และในวินาทีที่พวกเขาเพิ่งจะขึ้นเครื่องกันครบ อสุรกายนรกก็พรั่งพรูขึ้นมาอีกระลอก พวกมันกรูเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ที่บินลอยตัวขึ้นอากาศอย่างบ้าคลั่ง

“แม่เอ็ง! พวกแกยังจะตามไม่เลิกอีกใช่ไหม!”

เย่ไคยื่นตัวออกไปและกราดยิงลงไปข้างล่าง จนกระทั่งเมื่อเฮลิคอปเตอร์หลุดพ้นจากอันตราย เขาจึงหมุนตัวกลับเข้ามาตัวเครื่อง และพิงผยังด้านในของตัวเครื่องในสภาพเหงื่อท่วมหัว

ทุกคนต่างกำลังหอบหายใจสุดชีวิต ในห้านาทีที่เพิ่งผ่านมา พวกเขารู้สึกเหมือนมันช่างยาวนานราวกับห้าชั่วโมง จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขายังรู้สึกว่าตัวเองฝันไป เส้นประสาทยังคงตึงเกร็งไปทั่วร่างกาย

อวี่เหวินซวนหันหน้ามองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง เวลานี้ ดาดฟ้าแห่งนั้นได้ถูกอสุรกายนรกยึดครองแล้ว เขาเห็นราชาตะขาบยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้ายอยู่รางๆ แต่อสุรกายพวกนั้นกลับถาโถมเข้าใส่อย่างไม่ปรานี…

“สัตว์ประหลาดพวกนี้…ไม่นานคงกระจายไปทั่วเมืองสินะ…” มู่เฉินขมวดคิ้วพูดขึ้นจากอีกด้าน

ไม่มีใครตอบเขา เพราะคำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว…

———————————-