“ใช่สิ หลิงม่อเป็นยังไงบ้าง?” พอสวี่ซูหานหายใจเป็นปกติ เธอก็ถามขึ้นทันที
คนที่เหลือเองก็ทยอยนึกขึ้นได้ พวกเขาถามไถ่ พลางมองไปทางตำแหน่งที่พวกเย่เลี่ยนนั่งอยู่ เพราะในระหว่างที่ถอยเข้ามาในเครื่องเมื่อกี้ หลิงม่อที่กำลังยืนเหม่อถูกพวกเธอลากขึ้นมา และดูจากสถานการณ์ในตอนนั้น หลิงม่อเหมือนจะยังไม่ได้สติดี
ได้ยินคำถาม ซย่าน่าที่หันหลังให้พวกเขาก็หันมา แล้วบอกว่า “เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เอง…”
“หลับ?!”
เดิมทีทุกคนมีสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงเขา แต่พอได้ยินก็ต่างพากันอึ้งงัน
หลับไปทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ? ไม่ใช่แล้วมั้ง!
“ใช่ ตอนแรกกะจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ไม่คิดว่าพอนั่งปุ๊บ เขาก็หลับไปเลย…” ซย่าน่าเองก็พูดอย่างจนใจ ขณะเดียวกันก็เบี่ยงตัวเปิดช่องว่างให้พวกเขาเห็น “ทุกคนดูเอาเองแล้วกัน”
ทั้งหมดต่างมองไปทางนั้นอย่างสงสัย…ตามคาด หลิงม่อกำลังทิ้งตัวนอนบนตักของเย่เลี่ยน และหลับตาพริ้ม ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนเขาจะหลับสบายมากเสียด้วย…
“โอ้โห หมอนดีซะด้วย!” หลังเงียบไปหนึ่งวินาที อยู่ๆ อวี่เหวินซวนก็ตะโกนขึ้นมา
“ผิดประเด็นแล้วไหม!” มู่เฉินถลึงตาใส่เขา แล้วถามซย่าน่าต่อว่า “ตรวจสอบได้หรือเปล่าว่าเขาปลอดภัยดี?”
เขาไม่ได้ถามเกินกว่าเหตุแม้แต่น้อย…ท่าทางแปลกๆ เมื่อกี้ของหลิงม่อ ทุกคนต่างได้เห็นไม่มากก็น้อย และตอนนี้อยู่ๆ เขาก็มาหลับไปทันทีที่ขึ้นมาแบบนี้อีก มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติเลย…
“หลิงม่อเป็นหัวหน้าทีม เรื่องของเขา พวกเราจำเป็นต้องรู้ อีกอย่างภารกิจต่อจากนี้ ก็จำเป็นต้องให้เขาสั่งการด้วย…” มู่เฉินกำชับ
“เรื่องนั้นน่ะ…ลมหายใจของพี่หลิงสม่ำเสมอมาก ร่างกายก็ไม่มีบาดแผลอะไร แต่ด้านพลังจิต…” ซย่าน่าก้มหน้ามองหลิงม่อแวบหนึ่ง เธอขมวดคิ้วบางๆ เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่
เวลานี้ เฮยซือพูดแทรกขึ้น “ด้านพลังจิต…ไม่แน่ว่าอาจมีบางอย่างกำลังแปรเปลี่ยนสินะ? ถึงแม้ภายนอกไม่ได้แสดงอาการขัดขืนทรมาน แต่ก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเกิดอะไรกับเขากันแน่ แต่การที่เขาดูปกติมากทั้งที่เพิ่งใช้พลังครั้งใหญ่มาอย่างนี้ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องผิดปกติ…”
“แปรเปลี่ยน?” ทุกคนต่างเผยสีหน้าสงสัย พวกเขาเข้าใจเรื่องการอัพเกรดความสามารถพิเศษ แต่ไอ้แปรเปลี่ยนนี่มันอะไรกัน?
“พูดง่ายๆ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ หรือจะบอกว่าเป็นการกลายพันธุ์อย่างหนึ่งก็ได้ ฉันพูดถูกไหม?” ซย่าน่าเงยหน้าพูด
เฮยซือพยักหน้า “ถูกแล้วล่ะ เป็นอย่างที่เธอพูด”
ซย่าน่าก้มหน้าครุ่นคิด ไม่นานเธอก็กระจ่าง “ฉันเข้าใจแล้ว…เธอหมายความว่า ก่อนที่พี่หลิงจะเริ่มสู้ เขาได้ก้าวมาถึงขอบของการวิวัฒนาการแล้ว แต่กลับไม่สามารถก้าวข้ามได้ซักที แต่หลังจากที่พลังงานที่สั่งสมมาเหล่านี้ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ?”
“ประมาณนั้นแหละ พลังจิตของหลิงม่อมีมากเกินไป ถ้าหากเขาสามารถหาเวลาเพื่อวิวัฒนาการขั้นต่อไปได้อย่างมั่นคง ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจมีสภาพต่างออกไปอีกแบบ แต่วันนี้ทั้งวัน เขากลับต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิตตลอดเวลา บวกกับ…” เฮยซืออยากจะพูดว่า “บวกกับเขาใช้พลังจิตเกินขีดจำกัดอยู่ตลอด” แต่หลังจากครุ่นคิด ก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “บวกกับแรงกดดันรอบด้าน สุดท้ายเลยมีสภาพแบบนี้”
“ฉันกลับรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ปัจจัยทั้งหมดที่เธอบอกมา บางทีอาจเพียงทำให้ระยะเวลาในการเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพสั้นลงเท่านั้น” ซย่าน่าบอก
เฮยซือนิ่งคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย บอกว่า “ก็เป็นไปได้…ปัจจัยในการวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์มีมากเกินไป แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามทิศทางวิวัฒนาการยังคงไม่เปลี่ยนไป บางทีหลิงม่อไม่กลายพันธุ์วันนี้ แต่อาจกลายพันธุ์พรุ่งนี้…”
“ถ้าอย่างนั้นหลิงม่อจะกลายไปเป็นแบบไหน?” สวี่ซูหานอดทนฟังพวกเธอพูดจนจบ แล้วรีบถามขึ้น
“เรื่องนั้น…” เฮยซือหันไปมองหน้าซย่าน่าแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็ส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่รู้”
ซย่าน่าบอกว่า “ถึงแม้จะเป็นพี่หลิงก็ตาม แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เกรงว่าเขาเองก็คงไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าสู่สภาวะกลายพันธุ์ในสถานการณ์อย่างนี้ได้…”
“ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ…” กู่ซวงซวงร้อนใจ
“การกลายพันธุ์นั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ก็เหมือนกับจิ้งจอกหิมะที่อยู่อาศัยอยู่ตามแนวหิมะ หรือหมีขั้วโลกเหนือที่อาศัยอยู่ในอาร์กติก พวกมันเปลี่ยนสีขนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ซึ่งก็เหมือนกัน สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันต้องกลายพันธุ์ เพื่อจะสามารถใช้ชีวิตต่อไป” เฮยซือยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายให้ฟัง มันม้วนผมตัวเองเล่น แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้นนะ ไม่ว่าหลิงม่อจะกลายพันธุ์ไปยังไง ล้วนเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของเขาเลือก แล้วก็เป็นการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่สัญชาตญาณเขาเลือกด้วยเหมือนกัน…ยกตัวอย่างเช่น หากเขาคิดว่าการทำให้ XX ของตัวเองมีรูปร่างเหมือนปืนใหญ่ ถ้าอย่างนั้นตามทฤษฎีแล้วเรื่องแบบนี้ก็ทำให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้…”
“เดี๋ยวๆ ตามทฤษฎีเรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เหอะ!”
“อีกอย่างการต้องแบก ‘ปืนใหญ่’ แบบนั้นไปด้วย จะไม่เป็นการดึงดูดซอมบี้เข้ามามากกว่าเดิมหรอ…”
“เหมือนพกเหยื่อล่อติดตัวเลยก็ว่าได้…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว! อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกหนาววูบขึ้นมา…”
ได้ยินเด็กสาวตัวน้อยที่ภายนอกดูน่าจะไม่กี่ขวบพูดเรื่องแบบนี้ด้วยน้ำเสียงใจเย็น ทุกคนต่างอดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นหลิงม่อจะนอนหลับ…กลายพันธุ์นานแค่ไหน?” มู่เฉินกระแอม แล้วถามคำถามสำคัญขึ้นมา
เย่เลี่ยนลูบแก้มหลิงม่อเบาๆ พูดเสียงเบา “ไม่รู้…”
ไม่รู้อีกแล้ว!
“เวลาที่แน่นอน…บอกไม่ได้…” เย่เลี่ยนพูดต่อ “ภายใน…หนึ่งอาทิตย์ล่ะมั้ง…”
“ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้เจ้าหมอนี่เป็นเหมือนดักแด้ตัวหนึ่ง…” อวี่เหวินซวนสรุป
ทว่าในเมื่อเป็นการกลายพันธุ์ ถ้าอย่างนั้นเวลาหนึ่งอาทิตย์ก็ถือว่าสมเหตุสมผล นอกจากนี้ เจ้าลิงผอมก็บาดเจ็บหนักไม่เบา ยากที่จะฟื้นตัวในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่ ทุกคนจึงตัดสินใจหาที่พักก่อน หลังจากพักผ่อนช่วงหนึ่งแล้วค่อยว่ากันใหม่…
“ดูแผนที่ตรงนี้สิ…” อวี่เหวินซวนกางแผนที่ แล้วบอก “ที่นี่ ก็คือเป้าหมายต่อไปของพวกเรา คลังอาวุธอยู่ที่นี่…คลังเสบียงอยู่ตรงนี้ ถ้าหากโชคดี พวกเราน่าจะสามารถจัดการทั้งสองที่ได้พร้อมกัน ดังนั้นฐานที่พักฉุกเฉินของพวกเราในช่วงนี้ เลือกที่นี่กันเถอะ…” เขาชี้ไปยังจุดกึ่งกลางของเครื่องหมายสองจุดบนแผนที่ จากนั้นก็เงยหน้าเชิงถามความเห็น “ฉันแค่เสนอ ทุกคนว่ายังไง?”
ซย่าน่าดูแผนที่ พยักหน้าบอกว่า “เอาที่นี่แหละ ตอนที่รอพวกพี่หลิงฟื้นตัว พวกเราก็สำรวจสถานการณ์รอบๆ ไปก่อน ครั้งนี้พวกเรามีประสบการณ์แล้ว การสำรวจเส้นทางในครั้งหน้า ให้คำนึงถึงเรื่องอสุรกายนรกไว้ด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว…” มู่เฉินพิงผนัง พ่นลมหายใจ “อีกอย่าง พวกเราก็ต้องการเวลาพักผ่อนเหมือนกัน…”
“ใช่…การมีชีวิตอยู่ช่างลำบากจริงๆ” เย่ไคยืดเอวบิดขี้เกียจ
แต่ขณะที่มองตึกและอาคารที่เรียงรายอยู่เบื้องล่าง ทุกคนกลับเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมาอย่างไม่รู้ตัว…ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็รอดชีวิตมาได้อีกครั้งแล้ว…
พั่บๆๆๆ—
เฮลิคอปเตอร์บินผ่านน่านฟ้าของเมือง X และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไปที่พวกเขาเลือกบนแผนที่อย่างรวดเร็ว …
——————————————–