หลังจากที่ไป๋จิ่นตีมั่วอยู่สักพักในที่สุดก็จับทางได้ ได้ความมั่นใจเพิ่มจากสีหน้าของฉิวฉิวที่คอยมองเธออยู่
“ฉิวฉิว ครั้งนี้ฉันตีได้—ว้าย!”
ไป๋จิ่นคิดเอาเองว่าตีได้เพอร์เฟค ถึงมันจะเบี้ยวตามเคย แต่ก็ดีกว่าครั้งก่อนๆมาก
ฉิวฉิวเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องแหกปากตะโกนว่าโฟร์แล้ว ปรากฏว่าอยู่ๆก็มีใครไม่รู้โผล่มา ทางนี้กำลังตีกอล์ฟ แต่คนๆนั้นกลับวิ่งเข้ามาในรัศมี ไป๋จิ่นตีเบี้ยว แต่แม่นโดนคนเต็มๆ
เห็นไม่ชัดว่าเรื่องราวเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆฉิวฉิวเห็นไป๋จิ่นตีถูกคนจนล้มลง
เรื่องเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อกี้สายตาเขามัวแต่มองไป๋จิ่น ทั้งสองคนยังแอบส่งสายตาหวานๆหากันบ่อยๆ ทำเหมือนกับพร้อมจะฝ่ากำแพงข้ามไปหากันได้ทุกเมื่อ
อวี๋หมิงหลางกำลังคุยกับจูขี้บ่นไม่ได้มองทางนี้ อย่างไรเสียไป๋จิ่นก็ตีกอล์ฟได้แย่ชนิดที่หาได้ยาก คนโง่ที่โผล่เข้ามาในรัศมีคนตีกอล์ฟก็มีไม่มาก ใครจะไปคิดว่าโอกาสที่พบเจอได้ยากแบบนี้มันจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
กว่าทุกคนจะรู้สึกตัว คนๆนั้นก็โดนลูกกอล์ฟจนล้มลงไปแล้ว
“ว้าย!” ไป๋จิ่นตกใจรีบโยนไม้กอล์ฟทิ้งแล้ววิ่งไปหาคนๆนั้น หลิวเหมยที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นตกใจเอามือปิดปาก
สามคนที่อยู่ในโซนพักผ่อนพากันยืนขึ้น ยกเว้นฟู่กุ้ย
“ตีโดนตรงไหนเห็นหรือเปล่า?” เสี่ยวเฉียงวิ่งไปทางนั้นพลางถามหลิวเหมย
“ที่น่อง จากประสบการณ์การฝึกศิลปะป้องกันตัวมาหลายปีของฉัน เลี่ยงจุดสำคัญได้ หรือนี่จะเป็นเหมือนคำพูดที่เขาว่า ทีเดียวจอด?” หลิวเหมยเองก็ไม่รู้เส้นประสาทในสมองเส้นไหนพลิกถึงอยู่ๆก็พูดแบบนี้ออกมา
อวี๋หมิงหลางกับจูขี้บ่นชะงักไปพร้อมกัน ขณะวิ่งจูขี้บ่นได้หันไปมองเสี่ยวเฉียง ความหมายคือ ความคิดน้องแกนี่ประหลาดดีเนอะ
“ไม่เป็นไร ขายออกแล้ว คนซวยคือคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นนู่น” สมองอันชาญฉลาดของเสี่ยวเฉียงได้ประมวลผลอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น วิเคราะห์จากตำแหน่งที่ถูกลูกกอล์ฟและความเร็วของลูกกอล์ฟแล้ว คนดวงซวยแห่งปีคนนี้ไม่น่าเป็นอะไรมาก
ด้วยระยะห่างและความเร็วของลูกกอล์ฟอาจจะต้องมีปูดบวมบ้างหลายวัน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ถึงกับกระดูกหักแน่นอน
อวี๋หมิงหลางกับจูขี้บ่นวิ่งไปถึงก่อน จึงถามคนที่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไหมครับ? พวกเราจะรีบตามหมอให้”
“เอ๊ะคุณ?”
ตอนอวี๋หมิงหลางหันมาเห็น คนๆนี้ก็ล้มลงไปแล้ว พอวิ่งมาถึงเขาถึงได้พบว่า นี่มันพ่อฉิวฉิวไม่ใช่เหรอ?
เมื่อวานพ่อฉิวฉิวยังหิ้วของพะรุงพะรังไปขอร้องให้เสี่ยวเชี่ยนช่วยอยู่เลย แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับหนีไป วันนี้เขามาถึงสนามกอล์ฟได้เป็นเรื่องบังเอิญหรืออยู่ในแผน?
“เขาเป็นไงบ้าง ฉันจะไปตามหมอ ขอโทษนะคะเมื่อกี้ฉัน—เอ๊ะ? คุณเองเหรอ?” ไป๋จิ่นวิ่งมาถึงแล้ว พอเห็นว่าคนที่ล้มลงคือพ่อฉิวฉิวเธอก็อึ้ง
ฉิวฉิวเองก็วิ่งมา พอเห็นว่าเป็นพ่อตัวเองสีหน้าก็เปลี่ยนไป เห็นพ่อทำหน้าเจ็บปวดเขาก็รีบนั่งลงเช็คอาการ “โดนตรงไหน?”
“น่อง…เมื่อกี้ฉันกำลังจะวิ่งไปหาแก แต่เหมือนได้ยินเสียงปืน แล้วฉันก็ล้มลง…” พ่อฉิวฉิวเจ็บจนต้องกัดฟันทน เสียงปืนที่เขาบอกอันที่จริงคือเสียงลูกกอล์ฟที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วกระแทกเข้าที่ขาของเขา พอเสียงนั้นสะท้อนเข้าหูเลยฟังดูเหมือนเป็นเสียงปืน
ชาวต่างชาติที่มากับพ่อฉิวฉิวเริ่มพากันซุบซิบ
พวกเสี่ยวเชี่ยนเดินเข้ามาดู พ่อฉิวฉิวทนเจ็บพยายามจะลุก แต่ถูกฉิวฉิวกดให้นั่งลงไป
“นั่งดีๆ ขอผมเช็คดูหน่อยว่าอาการหนักหรือเปล่า”
ไป๋จิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆทำตัวไม่ถูก ได้แต่มองฉิวฉิวอย่างเป็นกังวล
“ไม่ได้…งานนี้สำคัญมาก…พยุงฉันขึ้นมา…”
“X! จะพิการอยู่แล้วงานบ้างานบออะไรเล่า! อยู่เฉยๆเลย!” ฉิวฉิวที่เป็นคนอ่อนโยนมาตลอดกล้าพูดจาแรงขนาดนี้ออกมา นาทีนี้กลิ่นอายความเป็นผู้ชายมาเต็มเปี่ยม
“ขอโทษนะฉิวฉิว เมื่อกี้ฉันไม่ทันได้มองว่าตรงนี้มีคน” ไป๋จิ่นพยายามขอโทษ
“เรื่องนี้ไม่โทษเธอหรอก เขามีตาไม่รู้จักใช้เอง นี่ลุง ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอ่านหนังสือให้มากๆจะช่วยได้เยอะ หาเงินได้ตั้งมากมายทำไมไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง? รู้จักเอาใจฝรั่งพามาสนามกอล์ฟ แล้วทำไมไม่รู้จักวิ่งไปทางอื่น? ดูตัวเองซิ ทำเสียภาพลักษณ์เศรษฐีใหม่ประเทศเราหมด เงินเยอะแต่สมองไม่พัฒนา!”
พ่อฉิวฉิวทั้งเจ็บปวดทั้งถูกฉิวฉิวหักหน้าอย่างไม่เหลือชิ้นดี
ครั้งนี้ที่เขามาที่นี่นอกจากจะอยากมาขอร้องเฉินเสี่ยวเชี่ยนจิตแพทย์ได้รับการขนานนามว่าเก่งที่สุดในประเทศแล้ว เขายังถือโอกาสมาคุยธุรกิจกับลูกค้าต่างชาติด้วย ชาวต่างชาติพวกนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มาสำรวจตลาด ปกติถ้าอยู่ที่บ้านเกิดไม่มีทางนัดได้แน่นอน พ่อฉิวฉิวเลยอยากมาเมืองQด้วยตัวเอง รู้ว่าคนต่างชาติชอบเล่นกอล์ฟจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อนัดออกมาให้ได้
ปรากฏว่าพอเห็นฉิวฉิวด้วยความดีใจจึงวิ่งเข้าไปอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
พ่อฉิวฉิวปกติจะชอบต่อปากต่อคำกับฉิวฉิว เวลานี้ได้แต่กัดฟันทน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดแดกดันของฉิวฉิว เขาพยายามจะลุกขึ้นมานั่ง
“ประธานเชี่ยนเซียว จะอธิบายกับลูกค้ายังไงดีครับ?” ล่ามที่มาด้วยกันเห็นลูกค้าต่างชาติบ่นอยู่ด้านหลังจึงกระซิบถามพ่อฉิวฉิว
“บอกพวกเขาว่าผมไม่เป็นไร ลุกขึ้นมาต่อได้ อย่าเพิ่งหมดสนุก ผมก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก! คนประเทศเราเข้มแข็งที่สุด อดทนเก่งที่สุด เลือกร่วมงานกับพวกเราคิดไม่ผิดแน่นอน!” พ่อฉิวฉิวแสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร
ฉิวฉิวโมโหจนเส้นเลือดปูด
“จะอวดดีไปไหน? คุยธุรกิจห่าอะไรเล่า รีบไปหาหมอเดี๋ยวนี้!”
คนเราพอร้อนใจขึ้นมาแม้แต่เรื่องมารยาทก็ลืมจนหมดสิ้น คำพูดแรงๆก็พูดออกมาได้
“กลับไปค่อยคุยเรื่องของแก งานนี้สำคัญกับครอบครัวเรามาก”
“X!” ฉิวฉิวสบถด่า
เสี่ยวเชี่ยนเห็นสองพ่อลูกมัวแต่เถียงกัน พอเธอชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้วจึงเดินเข้าไปหาชาวต่างชาติพวกนั้นแล้วพูดภาษาอังกฤษรัวๆ
“หมอเฉินพูดอะไรเหรอ?” ตั้งแต่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นจิตแพทย์ พ่อฉิวฉิวก็มีท่าทียำเกรงเสี่ยวเชี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
เขาเป็นเศรษฐีใหม่ที่การศึกษาน้อย จึงให้ความเคารพคนที่การศึกษาสูงแบบนี้มากเป็นพิเศษ
“เคยบอกแล้วให้หัดหาความรู้ให้มากๆ ดูตัวเองซิ พอถึงเวลาสำคัญก็ทำขายหน้า!” ฉิวฉิวไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้แดกดันพ่อตัวเองให้ผ่านไป
“เขาพูดว่า ฉิวฉิวเป็นลูกของคุณ พวกคุณสองพ่อลูกบังเอิญเจอกัน…” ไป๋จิ่นฟังเสี่ยวเชี่ยนพลางแปลให้ พ่อฉิวฉิวจึงหันมามองเธอ
นี่มันผู้หญิงที่ดูปกติที่สุดแต่เมื่อคราวก่อนบอกว่าตัวเองเป็นรักร่วมเพศใช่ไหม?
น่าเสียดายจริงๆ ฟังภาษาอังกฤษออกน่าจะเรียนมาสูง ทำไมไม่เป็นคนปกตินะ
ไป๋จิ่นไม่รู้ความคิดของพ่อฉิวฉิวในเวลานี้ ยังคงตั้งใจฟังประธานเชี่ยนคุยกับชาวต่างชาติ สมกับเป็นประธานเชี่ยนคนของสังคมจริงๆ หาเรื่องมาคุยได้หมด ไม่ทำให้เสียบรรยากาศ
เวลานี้หน่วยปฐมพยาบาลก็มาถึง ฉิวฉิวให้พวกเขาช่วยตรวจดูอาการของพ่อ สาวน้อยที่มาน่าจะเป็นเด็กใหม่ ท่าทางเงอะงะ พ่อฉิวฉิวเจ็บจนต้องกัดฟันทน ฉิวฉิวทนดูต่อไปไม่ไหวจึงดันตัวสาวน้อยคนนั้นออกแล้วเข้าไปจัดการแผลพ่อด้วยตัวเอง
ชาวต่างชาติพวกนั้นคุยกับเสี่ยวเชี่ยนสักพักก็เห็นฉิวฉิวปฐมพยาบาลพ่อ พากันพยักหน้าแล้วพูดภาษาอังกฤษยืดยาว
“ประธานเชี่ยนบอกว่า นี่เป็นเรื่องบังเอิญที่พ่อลูกได้เจอกัน ไม่ควรจะทำเสียบรรยากาศในวันนี้ ถ้าพวกเขาไม่ถือสาเธอจะเล่นกอล์ฟเป็นเพื่อนเอง เพื่อให้คุณลุงได้ไปพักค่ะ” ไป๋จิ่นพยายามแปลอย่างสุดความสามารถ