ตอนที่ 520 คำท้ามาแล้ว

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ท่านป้าหกหรือ” มั่วชิงเฉินสีหน้านิ่ง มองไปยังมั่วเฟยเยียนปราดหนึ่ง 

 

 

ตอนที่นางมายังตระกูลมั่วอายุเพียงหกขวบ หลังจากอยู่ที่นั่นได้สองปีก็เกิดหายนะต่อตระกูล จึงไม่มีวาสนาจะได้พบมั่วโฉวหญิงสาวคนที่หกแห่งตระกูลมั่ว 

 

 

ทว่าเพราะตอนนั้นเคยเข้าใจผิดเข้าไปในที่พำนักของมั่วโฉว จึงพอได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับท่านป้าหกอยู่บ้าง  

 

 

มั่วเฟยเยียนคิดว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมั่วโฉว จึงพูดอธิบายว่า “ป้าหกคือพี่สาวแท้ๆ ของอาสิบสาม เพียงแต่สติเลอะเลือนอาศัยอยู่ตามลำพังที่โถงเหยี่ยนเย่ว์ คิดดูแล้วน้องสิบหกเจ้าคงไม่รู้เรื่องสินะ” 

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปาก “เช่นนั้นวิญญาณของป้าหกตอนนี้อยู่ที่ใด เกี่ยวข้องอะไรกับท่านอาสิบสี่หรือ” 

 

 

ในวันมงคลใหญ่ของอาสิบสาม ไม่รู้ว่าเหตุใดอาสิบสี่จึงไม่มาร่วม ในตอนนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากเกิดเรื่องแล้วก็รู้สึกยินดีนับครั้งไม่ถ้วนที่อาสิบสี่สามารถหนีรอดไปได้ แต่ในหลายปีมานี้นับแต่นางมีตำแหน่งขึ้นมาบ้าง เคยใช้ความสัมพันธ์ในสำนักเพื่อลอบสืบหา แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวของอาสิบสี่แม้เพียงสักน้อย ได้แต่ค่อยๆ ละทิ้งความคาดหวัง ไม่ถึงว่าในวันนี้จะได้ยินข่าวคราวอันน่ายินดีเช่นนี้ 

 

 

มั่วหร่านอีพูด “วิญญาณของท่านป้าหกถูกข้าเก็บเอาไว้ในไข่มุกหยิน เจ้าสิบหก เจ้าเคยตามหาไม้สะกดวิญญาณเพื่อท่านปู่ห้ามิใช่หรือ หากมีเหลือ แบ่งมาให้กับท่านป้าหกบ้างคงดี ท่านป้าหกถึงแม้จะไม่ใช่เสี้ยววิญญาณที่ทิ้งไว้จำเป็นต้องใช้ไม้สะกดวิญญาณเพื่อรักษาเลี้ยงดูเหมือนท่านปู่ห้า แต่ตอนที่นางมีชีวิตจิตได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนทำให้สติไม่สมประดีไปบ้าง วิญญาณดวงนี้แม้จะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างแต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง นี่คือเหตุผลที่ข้าและพี่เก้ารีบกลับมาหาเจ้า” 

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเอาไม้สะกดวิญญาณก้านหนึ่งยื่นออกไป มั่วหร่านอีกลับพูดปฏิเสธ “ไม่ต้องให้ข้า ข้าเอาไข่มุกหยินให้เจ้าแล้วกัน”  

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินท่าทีสับสนไม่เข้าใจ ก็พูดออกไปว่า “ตอนนี้ข้าทำให้เจ้าสำนักเม่ยหมัวเคืองใจ ฝ่ายบำเพ็ญพรตเองก็ไม่ต้อนรับ ชีวิตเอาแน่เอานอนไม่ได้ พาดวงวิญญาณท่านป้าหกไปด้วยเกรงว่าจะนำภัยมาให้นาง แต่เจ้า มีทั้งอาจารย์และสามีคอยปกป้อง เจ้าเก็บเอาไว้เถิด” 

 

 

พูดพลางยื่นไข่มุกหยินออกไป 

 

 

มั่วชิงเฉินรับไข่มุกสีดำเย็นยะเยือกไปทั้งเม็ด รู้สึกถึงพลังหยินอันหนาวเหน็บที่แผ่ออกมา แทรกซึมเข้าสู่กลางฝ่ามือ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจ วิญญาณท่านป้าอยู่ในหอกักวิญญาณ จนสามารถแผ่พลังหยินอันยะเยือกของร่างผีผ่านทะลุไข่มุกออกมา 

 

 

“พี่สิบ ท่านบอกว่าสติปัญญาของวิญญาณท่านป้าหกไม่ครบถ้วน เคยพูดกับนางหรือ” มั่วชิงเฉินไม่ได้เก็บไข่มุกหยิน แต่วางไว้กลางฝ่ามือ ใช้ปลายนิ้วสีไปมาช้าๆ  

 

 

มั่วหร่านอีชำเลืองมองไข่มุกหยินปราดหนึ่ง แล้วผงกศีรษะ “วิญญาณของท่านป้าหก ดูเหมือนจะได้สติและเสียสติสลับกันเป็นพักๆ ข้าได้คุยกับนาง จึงได้รู้ว่าที่แท้ในตอนนั้นท่านอาสิบสี่ไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งของท่านอาสิบสาม เป็นเพราะคืนก่อนงานมงคลใหญ่ท่านป้าหกถูกคนลักพาตัวไป ท่านอาสิบสี่จึงถูกท่านปู่หัวหน้าตระกูลส่งตัวออกไปตามหาท่านป้าหก” 

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” มั่วชิงเฉินถอนใจ แล้วถามต่ออีกว่า “เช่นนั้นท่านอาสิบสี่ เขาคงไม่…” 

 

 

“ท่านป้าหกสติเลอะเลือน พูดจาสะเปะสะปะสับสน เพียงแต่พูดซ้ำๆ ไปมาอยู่สองสามคำ ก็คือคำว่าสิบสี่และจงหลาง…” มั่วหร่านอีพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเจ้าคิดดู คำว่าสิบสี่ที่ว่า คงหมายถึงท่านอาสิบสี่ แต่จงหลางหมายถึงสิ่งใด หรือว่าจะเป็นชื่อสามีท่านป้าหกในอดีตที่ตายไปแล้ว…” 

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินคำว่า ‘จงหลาง’ ในใจก็เต้นตุบ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย 

 

 

มั่วเฟยเยียนใคร่ครวญ ในวันปกติแม้จะพูดไม่มากแต่ก็มักจะถามได้ตรงประเด็น “น้องสิบหก หรือว่าเจ้าจะรู้ความหมายของคำว่าจงหลาง”  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้ายืนยัน รู้สึกว่าบางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ในเวลาเช่นนี้คิดเผื่อไว้ก็ไม่ได้เสียหาย นางพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง มีชื่อว่าจงหลาง” 

 

 

มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนประสานสายตากัน เลิกคิ้วสูงแล้วพูดขึ้นว่า “ทวีปแห่งเทพแม้จะกว้างใหญ่ แต่ก็แบ่งออกเป็นเพียงห้าแคว้น แบ่งเป็นดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก ทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้ แดนไท่ไป๋ภาคตะวันตก ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือ แดนเทียนหยวนภาคกลาง แล้วจงหลางอยู่แห่งใด เหตุใดไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย” 

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย “ถ้าจะบอกว่า ในโลกแห่งนี้นอกจากทวีปแห่งเทพแล้ว ยังมีดินแดนอื่นที่ยังไม่รู้จักล่ะ” 

 

 

เห็นทั้งสองคนสีหน้าประหลาดใจ จึงพูดต่อว่า “เมื่อก่อนข้าหลงเข้าไปในดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง ได้พบกับดวงจิตที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ ได้ยินจากปากเขาว่ายังมีสถานที่หนึ่งที่ห่างจากทวีปแห่งเทพออกไปแสนไกล และตัวเขาเองก็มาจากจงหลาง” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้น ท่านอาสิบสี่ก็อาจจะไปที่จงหลางสินะ แต่ว่า ท่านป้าหกรู้ได้อย่างไรกัน” มั่วหร่านอีรู้สึกยิ่งสับสน  

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็ไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้เช่นกัน นางพูดขึ้นว่า “บางทีตอนนั้นนอกจากท่านป้าหกและท่านอาสิบสี่แล้ว ยังมีคนอื่นอยู่อีกด้วย อาจจะเป็นคนผู้นั้นเป็นผู้บอกก็เป็นไปได้ ท่านป้าหกยังบอกเรื่องอื่นอีกหรือไม่” 

 

 

มั่วหร่านอีส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ก็มีแต่พูดเรื่องพวกนี้ซ้ำๆ ไม่เช่นนั้นก็เล่าเรื่องราวในอดีต ล้วนแต่พูดจา วกไปวนมาไม่ได้ศัพท์” 

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งอยู่ครู่ใหญ่  

 

 

มั่วเฟยเยียนเอ่ยขึ้นว่า “น้องสิบหก เจ้ามีความคิดอะไรบ้าง” 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแล้วพูดว่า “ที่เทียนหยวนแห่งนี้ไม่มีข่าวคราวของท่านอาสิบสี่ ในเมื่อรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับจงหลาง คงต้องไปที่นั่นสักครั้งถึงจะสบายใจ และข้าเองเดิมทีก็วางแผนจะไปจงหลางสักครั้งอยู่แล้ว” 

 

 

พวกมั่วหร่านอีสองคนถามถึงเหตุผล มั่วชิงเฉินก็เล่าเรื่องที่ฝูเฟิงเจินจวินกำชับไว้ออกมาสั้น ยังแต่ไม่ได้เล่าเรื่องของตนกับฝูเฟิงเจินจวินที่ต้นน้ำออกมา  

 

 

ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะได้พบกับเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เป็นดั่งเรื่องราวชะตาลิขิตมนุษย์ยากจะเข้าถึง นึกไม่ถึงว่าจะมาเกี่ยวข้องกับท่านอาสิบสี่ได้ ต่างนิ่งเงียบกันครู่ใหญ่ จึงบอกไปว่าหากอนาคตจะมีการเดินทางไปจงหลาง พวกนางเองก็พร้อมจะร่วมด้วย 

 

 

ดินแดนอันไกลโพ้นที่ยากจะไปถึงทั้งยังสุดแสนมหัศจรรย์ มีคนร่วมทางไปมั่วชิงเฉินย่อมคิดว่าไม่เลว นี่เป็นครั้งแรกที่สามพี่น้องปรึกษาหารือกันอย่างสงบ ในที่สุดก็ตัดสินใจรอให้ผ่านพ้นการประลองเฟิงอวิ๋นของมั่วชิงเฉินไปก่อน หากได้ผ่านสู่รอบสิบคนสุดท้ายได้เข้าดินแดนสวรรค์มี่หลัว ก็จัดการกับนักพรตไป๋หมางก่อน แล้วก็จะได้จังหวะเดินทางไปจงหลางพอดี 

 

 

หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว มั่วหร่านอีก็คิดว่ามากคนมากความ จึงได้ตัดสินใจจากไป มั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าเป็นเพราะนางอยู่ในฐานะมารบำเพ็ญเพียร ให้อยู่ที่นี่คงรู้สึกอึดอัด จึงได้พูดอธิบายว่า “ในเมื่อท่านกำลังมีปัญหากับสำนักเม่ยหมัว จะกลับไปดินแดนไท่ไป๋ก็ลำบาก แต่ถ้าท่านอยู่ที่ดินแดนเทียนหยวนแห่งนี้ ด้วยเรื่องสัญญาสงบศึก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตามปกติแล้วคงไม่มาตอแยท่าน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเองก็สู้ท่านไม่ได้ อยู่ที่นี่คงสบายกว่า” 

 

 

มั่วหร่านอียังคงเตรียมที่จะไป มั่วเฟยเยียนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นมาก “ปล่อยนางไปเถิด นางก็แค่ขี้ขลาด อยู่ที่นี่จึงรู้สึกอึดอัด” 

 

 

คำพูดนี้ไปสะกิดอารมณ์ของมั่วหร่านอีเข้า จึงทิ้งตัวลงนั่งไม่ไปไหน มั่วเฟยเยียนเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เดินตรงไปยังที่พักของพรรคลั่วสยา  

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมตระกูล แต่ทั้งสองคนกลับไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไม่ต้องพูดถึงว่ามั่วหร่านอีทำตัวไม่ปกติ แม้แต่มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกอึดอัด จึงได้สั่งให้ลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่จัดที่พักให้สำหรับนาง แล้วจึงกลับห้องไป แล้วหยิบเอาไข่มุกหยินที่บรรจุวิญญาณของมั่วโฉวออกมา 

 

 

ใช้วิธีการพิเศษขัดสีไข่มุกอยู่ครู่หนึ่ง ควันสีขาวก็ลอยออกมา พลังหยินอันยะเยือกปะทะใบหน้า แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเย็นสะท้านไปทั้งตัว  

 

 

รอจนกระทั่งควันสีขาวนั้นสลายไป หญิงเปลือยเท้ารูปร่างเพรียวบางนางหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ถึงแม้ว่าใบหน้าอันงดงามนั้นจะซีดขาว เต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ก็ดูละม้ายคล้ายกับอาสิบสามมั่วโยวอยู่ไม่น้อย 

 

 

เห็นท่าทางของมั่วโฉว มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เกรงว่ามั่วหร่านอีคงจะไม่เข้าใจ แต่นางผู้เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับผีบำเพ็ญเพียรมาไม่น้อย เพียงแค่ปราดเดียวก็มองออกว่า มั่วโฉวในเวลานี้ ได้เป็นผีบำเพ็ญเพียรระดับสองไปแล้ว นางคือพลทหารผี! 

 

 

นี่อาจเป็นเพราะว่านางไม่เคยฝึกบำเพ็ญมาก่อน จึงเห็นได้ว่าหอกักวิญญาณสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวิญญาณอย่างมาก 

 

 

มั่วชิงเฉินในเวลานี้ยังไม่รู้ว่า หากร่างผีของมั่วโฉวในตอนนี้ปรากฏในแดนผี ก็จะกลายเป็นร่างผีห้าวิญญาณเปี่ยมพรสวรรค์ขึ้นมา หากอยู่บนโลกมนุษย์ ก็จะมีค่าเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรร่างหยินและหยางบริสุทธิ์ ผีบำเพ็ญเพียรระดับสูงจะแย่งชิงกันเพื่อให้ได้นางไปเป็นลูกศิษย์ 

 

 

หลังจากนั้น มั่วชิงเฉินจะได้มีโอกาสเข้าสู่แดนผี เป็นเพราะมั่วโฉวทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นเรื่องราวหลังจากนี้ 

 

 

ในขณะที่ความคิดของมั่วชิงเฉินหลุดลอยไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นแว่วๆ ว่า “เป็นเจ้า!” 

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้ง เงยหน้าขึ้นมองมั่วโฉวที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ “ท่านป้าหก” 

 

 

มั่วโฉวกลับดูเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของมั่วชิงเฉิน ดวงตาคู่งามของนางต้องนิ่งไปบนใบหน้านาง แล้วพูดขึ้นว่า “ไยเจ้าจึงอยู่ที่นี่ เจ้าพาน้องสิบสี่ไปที่ใดกันหรือ” 

 

 

มั่วชิงเฉินใจหวิว นางกดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “ท่านป้าหก ท่านรู้หรือว่าข้าเป็นใคร ท่านกำลังพูดอะไรอยู่” 

 

 

สีหน้ามั่วโฉวเปลี่ยนฉับพลัน แล้วร้องขึ้นอย่างน่าเวทนา “อย่าทิ้งข้า ข้าไปด้วย…ไปด้วย…” 

 

 

เห็นสีหน้าลนลานของนาง กำลังเริ่มคลุ้มคลั่ง มั่วชิงเฉินก็เคาะไข่มุกหยินหนึ่งที เรียกนางกลับเข้าไป 

 

 

ในห้องเงียบสงบ จนแทบจะได้ยินเสียงเข็มหล่น มีเพียงแสงจันทร์อันขาวผ่องบริสุทธิ์สาดส่องเข้ามา ทำให้ทั้งห้องสว่างไสว 

 

 

ในใจของมั่วชิงเฉินกลับรู้สึกสับสนวุ่นวาย 

 

 

คำพูดเมื่อครู่ของป้าหก ฟังดูน่าสงสัยจริงๆ นางไม่เคยเห็นหลานสาวอย่างตนมาก่อน แต่กลับพูดขึ้นว่าเป็นเจ้า หรือว่า…นางจะจำคนผิด 

 

 

แล้วเช่นนั้น อาสิบสี่ถูกคนพาตัวไปจริงหรือ 

 

 

มั่วชิงเฉินคิดทบทวนไปมา นอนไม่หลับทั้งคืน 

 

 

สามวันให้หลังก็ถึงการประลอง ทั้งสิบห้าคนจับสลากแบ่งเป็นเจ็ดกลุ่ม จะมีหนึ่งคนผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องประลอง ผู้ชนะทั้งเจ็ดคนและผู้ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องประลองก็จะเข้าสู่รอบแปดคน ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือก็จะเข้าสู่การประลองแบบวนรอบ จนกระทั่งเหลือเพียงสองคน 

 

 

ด้วยมีเรื่องในใจ มั่วชิงเฉินแม้ไม่ได้แสดงออกบนใบหน้า แต่ใบหน้าก็ดูเหม่อลอยอยู่เล็กน้อย จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อนางจับฉลากได้เข้ารอบโดยไม่ต้องแข็งอีกครั้ง ความรู้สึกหงุดหงิดจนปัญญาอย่างหลายวันก่อนหน้านี้ก็ไม่มี นางเพียงแต่ยื่นแถบสลากคืนเงียบๆ แล้วเดินลงสนามเวทีไป 

 

 

แต่มีคนเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกไม่พอใจ จึงพูดออกมาว่า “ช้าก่อน!” 

 

 

มั่วชิงเฉินเหลียวกลับ เห็นว่าผู้พูดคือชายผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แต่ดูหน้าแล้วกลับไม่รู้จัก นางถามขึ้นเสียงเรียบ “สหายมีเรื่องอะไรหรือ” 

 

 

ในขณะที่คนผู้นั้นร้องเรียกนางถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะฟังดูไม่ดี ในสายตาแฝงด้วยความอยามเหยียด แต่เป็นเพราะฐานะของมั่วชิงเฉิน เห็นนางหยุดแล้วหันกลับมามอง ก็ฝืนแสดงคารวะพอประมาณแล้วพูดว่า “ผู้น้อยมีฉายาว่าฉงกวน” 

 

 

“ท่านนักพรตฉงกวนเรียกผู้น้อยมีเรื่องอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินถามอย่างสงบนิ่ง  

 

 

คนผู้นี้ได้แจ้งชื่อ ในหนังสือเล่มเล็กเองก็แนะนำไว้ ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่ง ชอบไปมาเพียงลำพัง ความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา  

 

 

นักพรตฉงกวนหัวเราะแล้วพูดว่า “สหายชิงเฉิงได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องประลองติดกันถึงสี่ครั้ง ผู้น้อยรู้สึกอิจฉาจริงๆ จึงอยากได้รับส่วนแบ่งโชคดีของสหายบ้าง มิรู้ว่าสหายจะยินดีต่อสู้กับผู้น้อยในรอบนี้หรือไม่” 

 

 

มั่วชิงเฉินชำเลืองมองผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลออกไปปราดหนึ่ง แล้วพูดว่า “ท่านนักพรตฉงกวนดูเหมือนจะมีคู่ประลองแล้ว ทำเช่นนี้ผิดกฎนะ” 

 

 

ทันทีที่พูดออกไปดังนี้ ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นไม่น้อย 

 

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตความสามารถคือศักดิ์ศรี มั่วชิงเฉินจะหน้าตาสวยไปกว่านี้ แต่ในการประลองครั้งใหญ่เช่นนี้ สิ่งที่ผู้ชมให้ความสนใจก็คือความสามารถที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง และการประลองนั้นสนุกดุเดือดหรือไม่ 

 

 

เรื่องที่นางชนะโดยไม่ต้องประลองเกิดขึ้นติดต่อกันไม่ขาด ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นย่อมต้องรู้สึกดูแคลน และรู้สึกขบขันราวกับดูเรื่องตลก 

 

 

“พูดเช่นนี้ หมายความว่าสหายชิงเฉิงกลัวใช่หรือไม่” นักพรตฉงกวนพูดพลางยิ้มเยาะ