ได้ยินเสียงผู้ชมโห่ร้องกันขึ้นมา และเสียงหัวเราะเยาะของนักพรตฉงกวน มั่วชิงเฉินก็พูดขึ้นอย่างสัตย์ซื่อว่า “สหายฉงกวน อันที่จริงข้าก็กล้าอยู่”
นางไม่ใช่พวกชอบใช้พลังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถึงจะได้ทำทีเป็นอ่อนแอให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะ แล้วจึงเล่นงานกลับจนคนอื่นเจ็บตัวสะบักสะบอมเป็นเสือเล่นไล่จับวัว
นางคิดมาตลอดว่า คนประเภทนี้จิตใจช่างวิปริต ถึงกับเยาะเย้ยถากถางผู้อื่นไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ เพื่อแสวงหาความสุขความสะใจแก่ตนในนาทีสุดท้าย
นี่เปรียบได้กับหญิงสาวที่หมายจะพิสูจน์ว่าสามีของตนจริงใจหรือไม่ จึงได้แสวงหาสุดยอดหญิงงามมายั่วยวน หาสามีท่ามกลางความเย้ายวนนั้นไม่ได้ ก็จะโศกเศร้าเสียใจ ตำหนิโทษว่าสามีไม่ดีต่อนาง
ความจริงแล้วถึงแม้อีกฝ่ายจะมีความผิด แต่ผู้กระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า นางเองก็กำลังคันไม้คันมือมานานแล้ว แต่เพราะฟ้าดินไม่ให้โอกาสสักที
นักพรตฉงกวนไม่รู้ความคิดมั่วชิงเฉิน จึงหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ในเมื่อเช่นนี้ สหายชิงเฉิงไยจึงปฏิเสธเล่า”
มีคนร้องเสริม “นั่นสิๆ”
ผู้คนจากพรรคเหยากวงต่างสีหน้าดูไม่จืด ได้แต่มองหน้ากันไปมา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจพร้อมกัน คนผู้นี้คงไม่ได้คิดจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่หรอกกระมัง ไหนว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักนั้นระมัดระวังรอบคอบมิใช่หรือ ไยเขาจึงได้อาจหาญเช่นนี้
ความจริงนักพรตฉงกวนผู้นี้ สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายได้ทั้งที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ความสามารถย่อมอยู่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน ในเวลาปกติไม่ว่าจะทำอะไรก็นับว่าระมัดระวังรอบคอบ
เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจำนวนมากจะมีความรู้สึกคลางแคลงใจต่อผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักขึ้นชื่อ ผ่านฉลุยติดกันถึงสี่รอบ มั่วชิงเฉินถ้าไม่ใช่ผ่านเข้ารอบโดยไร้คู่แข่งก็ต้องพบกับคู่ประลองที่สละสิทธิ์ ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านี้ต่างก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจแต่แรกแล้ว นักพรตฉงกวนผู้ซึ่งไร้สำนักออกร่อนเร่ฝึกฝนอย่างยากลำบากยิ่งรู้สึกไม่พอใจกว่า หนำซ้ำยังรู้สึกภาคภูมิในระดับการบำเพ็ญที่เหนือกว่าผู้อื่นของตนเอง สิ่งไหนที่จะทำให้มั่วชิงเฉินต้องเป็นที่อับอายต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายในใต้หล้าสักครั้ง อย่างแรกเพื่อทำลายหน้าตาของบรรดาสำนักพรรคขึ้นชื่อต่างๆ อย่างภาคภูมิ อย่างที่สองก็เพื่อสลายความอัดอั้นตันใจที่ได้เก็บสะสมมานานนับแรมปี
แต่ในสายตาของผู้คนจากเหยากวง กลับเห็นว่าคนผู้นี้อยู่ดีไม่ว่าดีรนหาที่เจ็บตัว
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แต่การกระทำของมั่วชิงเฉินในหลายปีมานี้ติดอยู่ในใจของบรรดาลูกศิษย์พรรคเหยากวงอย่างลึกซึ้ง ทันทีที่พวกเขานึกถึงมั่วชิงเฉิน ก็จะนึกถึงภาพพี่นางเอาก้อนอิฐไล่ตีผู้คนขึ้นมา สำหรับการจะเป็นผู้ถูกเล่นงานแทน ไม่มีอยู่ในความคิด
ซุนอาหนิวมองไปยังคนที่กำลังหัวเราะเซ่ออยู่บนเวที หลิวต้าฝานตบไหล่เขาเบาๆ “มัวเหม่ออะไรอยู่”
ซุนอาหนิวยื่นมือออกไปปัดมือของหลิวต้าฝานออก แล้วพูดขึ้นอย่างสนุกสนานว่า “อย่าเกะกะ ไม่ได้เห็นอาจารย์อามั่วตีคนมานานแล้ว ข้าละตื่นเต้นเหลือเกิน”
พูดจบก็มองไปยังสายตาดูถูกของนักพรตฉงกวน ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก หัวร้อนผ่าวร้องขึ้นออกมาเสียงดังว่า “อาจารย์อามั่ว จัดการมัน!”
ลูกศิษย์เหยากวงสองสามคนที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับมั่วชิงเฉิน ก็รู้สึกเลือดเดือดพล่านขึ้นมา แล้วร้องเสียงดังสําทับว่า “อาจารย์อามั่ว จัดการมัน!”
น่าขันสิ้นดี แค่พูดจาถากถางใครๆ ก็ทำได้ พวกเราชาวเหยากวงหากได้ลงมือจริงขึ้นมาก็ไม่แพ้ผู้ใด มากไปกว่านั้น ตอนที่อาจารย์อามั่วทำร้ายคน ไอ้เจ้าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักฉงกงฉงกวนอะไรนั่นยังไม่รู้ว่ามุดหัวอยู่ที่ไหนเลย
นักพรตฉงกวนได้ยินเสียงโห่ร้องเหล่านั้นก็ไม่ได้หวั่นไหว พูดขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ที่นี่คือสนามประลอง สหายชิงเฉินในเมื่อยืนอยู่ที่นี่ กล้าจะสู้กันสักทีหรือไม่ แน่นอนหากสหายกลัวว่าคมดาบคมกระบี่ไร้เมตตา ผู้น้อยก็จะไม่ฝืนใจ”
ฮึ ที่แห่งนี้ไม่ใช่พรรคเหยากวงของพวกเจ้า นักพรตชิงเฉิงผู้นี้ คงถูกอาจารย์รักใคร่เอาใจจนเหลิงแล้วสินะ
นักพรตฉงกวนเหลือบมองเหอกวงเจินจวินที่กำลังอมยิ้มมุมปากนั่งสง่าประจำที่ของพรรคเหยากวงโดยไม่เป็นที่สังเกตปราดหนึ่ง แล้วแอบพูดกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกคู่ที่เหลือต่างเริ่มต่อสู้ประลองในสนามของตัวเอง บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำซึ่งไม่ค่อยจะมีความคิดมากนักถูกเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจ สนามแห่งอื่นที่เหลือจึงดูเงียบหงอยลงไป มีเพียงลูกศิษย์ที่จิตใจแน่วแน่บางคนและนักพรตระดับก่อแก่นปราณ ที่ตัดสินใจเลือกเข้าดูสนามที่ตนคิดว่าคุ้มค่า โดยไม่ได้สนใจที่จะมองมาทางด้านนี้
มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ หนึ่งที “สหายฉงกวน ท่านไม่สู้ลองถามอั้นตู้เจินจวินดูสักหน่อย ขอเพียงเขาเห็นด้วย ข้าก็ยินดีจะปฏิบัติตาม”
อั้นตู้เจินจวินสนใจความเคลื่อนไหวนี้อยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครให้ความสนใจ จึงรู้สึกยินดีขึ้นมา
นักพรตฉงกวนเดินสาวเท้าไปด้านหน้าอั้นตู้เจินจวิน คำนับแล้วพูดว่า “ท่านเจินจวิน อนุชนและนักพรตชิงเฉิงต้องการประลองกันสักครั้ง มิทราบว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่”
“เห็นด้วย” อั้นตู้เจินจวินพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้สักนิด
ผู้คนต่างตะลึง แล้วก็หันไปมองยังอั้นตู้เจินจวิน
อั้นตู้เจินจวินก้มหน้านิ่ง แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า อย่างไรเสียสายตาผู้คนที่มองมาก็ไม่ได้ปกป้องข้า พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญเถิด ในเมื่ออีกคนหนึ่งยินดีจะตีอีกคนหนึ่งยินดีจะถูกตี คนอื่นก็ไม่ต้องเข้าไปเป็นห่วง
คิดถึงตรงนี้ก็มองมั่วชิงเฉินและนักพรตฉงกวนอย่างใคร่ครวญปราดหนึ่งโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต แล้วพูดกับตัวเองว่านักพรตฉงกวนผู้นี้เกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้ว นักพรตชิงเฉิงนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แต่เก็บซ่อนจิตได้ดี พื้นฐานมั่นคง รับมือไม่ง่ายอย่างแน่นอน เหอกวงเจินจวินช่างสั่งสอนลูกศิษย์ได้ออกมาดีจริงๆ
นักพรตฉงกวนไม่คิดว่าเรื่องราวจะง่ายดายถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าอั้นตู้เจินจวินเองก็มาจากสำนักขึ้นชื่อ เพื่อที่จะปกป้องอีกฝ่าย คงจะใช้กฎเกณฑ์มาขัดขวางเป็นแน่ จากนั้นเขาก็ใช้คำพูดโจมตีให้เขาตอบรับตาม ถึงตอนนั้นภาพลักษณ์เขาก็จะดูเหนือกว่ามาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ช่างง่ายดายเหลือเกิน จนเขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก
อันที่จริงนักพรตฉงกวนไม่ได้เข้าใจผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจากสำนักขึ้นชื่อเหล่านี้ การกระทำของพวกเขาบางครั้งหละหลวมเสียยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักด้วยซ้ำ ไม่ใช่ปัญหาด้านกฎเกณฑ์ นอกนั้นล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“สหายฉงกวน เชิญเถิด” มั่วชิงเฉินพูดพลางเอาปลายเท้าจิกลงพื้น ไม่ได้ย่ำลงบนสมบัติวิเศษเหาะเหินหรือไหมเกล็ดน้ำแข็ง ก็ทะยานขึ้นไปอย่างพลิ้วไหว จนถึงหอสูงแล้วก็หมุนตัวหนึ่งที ร่อนลงมาอย่างสง่างาม อมยิ้มมองไปยังนักพรตฉงกวน
เสียงโห่ร้องของผู้คนเบาลงโดยไม่รู้ตัว
นักพรตฉงกวนที่ล้าหลังไปหนึ่งก้าวก็รีบอัญเชิญสมบัติวิเศษเหาะเหินออกมา วิ่งขึ้นไปบนหอสูง ในสายตาคนอื่นที่มองภาพลักษณ์ดูด้อยลงไปทันที
เพียงแต่ต้นกำเนิดของเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก จิตใจแข็งแกร่ง จึงไม่ถูกเรื่องภายนอกเช่นนี้รบกวนใจ ร่อนลงมายืนประจันหน้ากับมั่วชิงเฉิน กุมหมัดคำนับแล้วพูดว่า “สหายชิงเฉิง เชิญ”