ตอนที่ 182 แนะนำผู้หญิง (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“แต่ว่าเจ้า——”

เมี่ยวเอ๋อร์มองและกุมมือนางเอาไว้เพื่อให้นางหยุดพูด นางพูดพร้อมกับยิ้ม “เอาล่ะ ข้ารู้”

แววตาแน่วนิ่งไร้ความวุ่นวาย

เพราะหญิงสาวคนตรงหน้าคนนี้ ในวันที่คนในจวนดูถูก เห็นนางเป็นเพียงคนไร้ค่าที่มีแต่เสียข้าวเปล่า นางกลับเลือกให้มาอยู่ด้วย

และเพราะหญิงสาวคนนี้ในวันที่ถูกทำโทษตามกฎของครอบครัวจนเกือบตาย นางไม่เคยทอดทิ้งแต่ยังช่วยนางเอาไว้

และยิ่งเพราะหญิงสาวคนนี้ที่เป็นคนบอกความจริงเกี่ยวกับตัวตนของนางให้นางได้รู้

หากยังไม่เอ่ยถึงเรื่องการตอบแทนบุญคุณ บนโลกใบนี้มีอวิ๋นหว่านชิ่นคนเดียวเท่านั้นที่มีสายเลือดเดียวกัน ยอมรับนาง แล้วนางมีเหตุผลอันใดที่จะไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้หญิงคนนี้มากกว่าชีวิตตนอีกเล่า

เมี่ยวเอ๋อร์แอบถอนหายใจแต่ก็ปลอบใจนางว่า “แม้ว่าเรื่องนี้ถูกเปิดเผย แต่ข้าคิดว่าฮ่องเต้น่าจะลงโทษสถานเบา เพราะอาจเห็นแก่ข้าที่ปรนนิบัตรับใช้เมื่อตอนพระองค์ทรงประชวร”

“แต่นั่นมันคือการหลอกลวงเบื้องสูง ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เพราะการปรนนิบัตรับใช้เพียงไม่กี่วันหรอก” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของนางก็ยิ่งเป็นห่วง นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดวิธีแก้ไขปัญหาออกมา “หรือพวกเราเข้าไปพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนตอนนี้ เข้าไปสารภาพกับฝ่าบาท ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงให้อภัยหรือไม่ อย่างน้อยเราก็สารภาพก่อนแล้ว ถึงเวลานั้นหากฮองเฮาตรัสถามฝ่าบาท อย่างน้อยก็อาจลดความกริ้วลงได้บ้าง”

สายตาของเมี่ยวเอ๋อร์เหมือนมีอะไรบางอย่าง เหมือนรู้ว่าหากนางไม่พูดความจริงออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นคงไม่มีวันวางใจแน่ นางหันไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิทและพูดว่า “ข้าบอกแล้ว ฝ่าบาทไม่ถือโทษข้าหรอก”

อวิ๋นหว่านชิ่นงุนงงและเห็นสีหน้าของเมี่ยวเอ๋อร์ไม่สู้ดีนัก นางขยับเข้ามาใกล้ “…อาการประชวรของฝ่าบาท หาใช่ไข้หวัดธรรมดาไม่ มีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ข้าเองก็บังเอิญรู้เมื่อวันที่ฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าพบเมื่อตอนที่อยู่หอชมจันทร์ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าครั้งนี้ทำไมถึงให้สนมต่ำต้อยอย่างข้าเข้าปรนนิบัต เมื่อเช่นนี้แล้วหากไม่ใช่เพราะความผิดฐานใหญ่หลวง ฝ่าบาทไม่มีทางโกรธข้าแน่ ถึงเวลานั้นฮองเฮาต้องการสอบสวนทำโทษข้าไม่แน่ฝ่าบาทอาจยื่นมือเข้าช่วยข้าด้วย”

เพราะเป็นเช่นนี้สินะ เมี่ยวเอ๋อร์ถึงได้กล้าทำถึงเพียงนี้

อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งอกแต่แล้วนางก็รู้สึกเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

นางรู้สึกแปลกมานาน ไข้หวัดเล็กๆ แค่นี้เหตุใดถึงรักษาไม่หายสักที

อาการประชวรของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ต้องการให้ใครรับรู้ ถ้าเช่นนั้นอาจเป็นอาการประชวรแบบรุนแรงที่กลัวว่าหากมีใครรู้เข้า จะเกิดความวุ่นวายภายในขึ้นได้——

นางไม่กล้าถามเพิ่ม ตอนนี้เมี่ยวเอ๋อร์มีตำแหน่งใหม่ ความสัมพันธ์นอกในระหว่างนางมีความแตกต่างกัน อาการประชวรของฝ่าบาทในเมื่อต้องการปกปิดนั่นก็แปลว่าเป็นความลับ หากแพร่งพรายออกไปจะไม่มีผลดีต่อเมี่ยวเอ๋อร์ ถึงแม้จะรู้ แต่ก็หาใช่เรื่องดีต่อจวนฉินอ๋องไม่

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นสีหน้าของนางดูสบายใจขึ้นเหมือนเริ่มวางใจ นางไม่พูดอะไรต่อจากนั้นนางขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ทางฝั่งของฮองเฮาข้าจัดการได้ แต่เจ้าเนี่ยสิที่ควรเป็นห่วงตัวเองด้วย ฮองเฮานำสำนักดาราศาสตร์ออกมาพูดเพื่อโยนความผิดให้เจ้า โอกาสเช่นนี้ไม่มีทางจบแค่นี้เป็นแน่” พอพูดถึงตรงนี้นางเหมือนลังเลเล็กน้อย นางพูดเสียงทุ้มต่อว่า “เมื่อหลายวันก่อน เจิ้งกูกูได้ยินมาจากคนสนิทที่อยู่ตำหนักเฟิงจ๋าพูดว่า ช่วงนี้ฮองเฮาฝากสาส์นออกไปยังภายนอกพระราชวัง ถามไถ่ญาติตระกูลเจี่ยง ว่ามีหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนและเหมาะที่จะแต่งงานหรือไม่ อายุที่พูดถึงรุ่นราวคราวเดียวกับฉินอ๋องพอดี ตอนนั้นข้าฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร แต่วันนี้ตอนข้าเห็นฮองเฮาตำหนิเจ้าที่ตำหนักซือฝา ข้าก็เลยนึกขึ้นได้หรือว่าฮองเฮาคิดใช้โอกาสนี้หาคนเข้าไปยังท้ายเรือนของจวนฉินอ๋อง”

การกลับเข้าสำนักพระราชวังของฉินอ๋องเป็นเรื่องที่ถูกจับตามอง ตำแหน่งและอำนาจของเขาสูงขึ้นและมีมากขึ้น ปัจจุบันขุนนางนับร้อยต่างก็มาประจบสอพลอ ส่วนฮองเฮาก็เริ่มสนใจเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของฉินอ๋อง คงไม่มีวิธีไหนได้ผลได้เท่ากับส่งผู้หญิงเข้าไปยังท้ายจวนฉินอ๋องแล้ว

ก็เหมือนกับเมื่อตอนส่งหลานสาวเจี่ยงอวี๋ให้กับตงกงเพื่อให้นางคอยจับตามองไท่จื่อ

ส่วนฉินอ๋องสองสามีภรรยาคู่นี้เพิ่งออกเรือน หากให้เพิ่มภรรยาเข้าจวนอ๋องทันทีเกรงว่าจะเป็นการไม่เห็นใจกันเกินไป และหากมีการพูดออกไปฮองเฮาก็จะกลายเป็นไร้ความเห็นใจต่อผู้อื่นทันที

แต่หากพระชายาเอกฉินกลายเป็น “ปีศาจร้าย” ตามคำทำนาย มีชื่อเสียงย่ำแย่ เรื่องนี้ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ฮองเฮาเป็นห่วงฉินอ๋อง การเพิ่มคนเข้าไปยังจวนฉินอ๋อง ให้เหล่าหญิงสาวที่มีความนุ่มนวลเป็นแม่ศรีเรือนคอยดูแลท้ายจวน ดูจากภายนอกช่างเป็นแม่ที่มีความละเอียดอ่อนและคิดเผื่อทุกเรื่องจริงๆ

ที่แท้ก็คิดจะมอบชื่อเสียงนี้ให้กับตัวเองเพื่อสิ่งนี้นี่เอง

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ

“เจ้ายังหัวเราะได้อีก” เมี่ยวเอ๋อร์ถอนหายใจ “หากฮองเฮาถามจนรับทราบว่ามีหญิงสาวเหมาะที่จะออกเรือนตามนั้นจริง จวนฉินอ๋องคงต้องเพิ่มคนจริงๆ”

ไม่ให้หัวเราะแล้วจะให้ร้องไห้หรืออย่างไร อวิ๋นหว่านชิ่นตบมือนางแปะๆ “อืม ข้ารู้แล้ว”

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นท่าทีไม่กังวลของนางก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีก

ทั้งสองคนไม่ได้พบหน้ากันมานาน พอโอกาสพิเศษเช่นนี้มาถึงต่างฝ่ายต่างเล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองให้อีกคนฟัง หนึ่งในเรื่องนั้นก็คือเรื่องราวในตระกูลอวิ๋น เมี่ยวเอ๋อร์เข้ามาอยู่ในวังแล้วก็จริงแต่นางยังจำบุญคุณของม่อไคไหลได้ไม่ลืม หลายครั้งที่นางฝากจดหมายไปบอกให้พี่ชายออกจากจวนอวิ๋นและออกไปสร้างครอบครัวของตัวเอง แม้ว่าม่อไคไหลจะเข้าใจความหวังดีของน้องสาวดีและไม่อยากให้ตัวเองเป็นบ่าวรับใช้แบบนี้ตลอดไป แต่เขาอยู่จวนอวิ๋นมานานจนคุ้นชินกับที่นี่ไปแล้ว เขาขอบคุณและปฏิเสธความหวังดี เมี่ยวเอ๋อร์รู้แล้วจึงไม่บังคับอีก หลังจากนั้นก็มีแต่ถามถึงสถานการณ์ในจวนเท่านั้นซึ่งส่วนมากก็จะถามถึงอวิ๋นจิ่นจ้ง

ช่วงที่ผ่านมาอวิ๋นหว่านชิ่นมีเรื่องมากมายแทบไม่มีเวลาดูแลน้องชาย ตอนนี้นางฟังเมี่ยวเอ๋อร์เล่าถึงสถานการณ์ของน้องชายอย่างตั้งใจ

และในตอนนั้น เจิ้งหวาชิวเคาะประตูสองทีและเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก “สนม พระชายาเอก——”

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น ด้านหลังของเจิ้งหวาชิวมีเหยาฝูโซ่วตามหลังมาด้วย ทั้งคู่มองแวบหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้น

เหยาฝูโซ่วทอดสายตาไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นค่อยหันไปทางเมี่ยวเอ๋อร์ “สนมใช้นามของฝ่าบาทรับสั่งให้พระชายาฉินมายังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน บังอาจเกินไปแล้ว”

เมี่ยวเอ๋อร์ขยับไปอยู่ด้านหน้าคุกเข่าลงฟุบ “ข้าเป็นคนทำและข้าได้เตรียมตัวรับโทษจากฝ่าบาทแล้ว!”

เหยาฝูโซ่วยิ้มอ่อนและหันไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น “ก่อนสนมจะเข้าไปรับโทษ ขอเชิญพระชายาเอกฉินไปพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนกับข้าก่อน ฝ่าบาทต้องการพบท่าน”

“เหยากงกง ข้าเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ข้าเป็นคนแจ้งพระราชโองการเท็จให้นำตัวพระชายาฉิน พระชายาไม่รู้เรื่อง” เมี่ยวเอ๋อร์พยายามอธิบาย

อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “เหยากงกง ข้าจะตามท่านไปพบฝ่าบาท”

“นี่สิ อย่างน้อยพระชายาเอกฉินก็ยังรู้เรื่องอยู่บ้าง” เหยาฝูโซ่วสะบัดแส้ปัดและหันหลัง

อวิ๋นหว่านชิ่นให้เจิ้งหวาชิวพยุงเมี่ยวเอ๋อร์ขึ้นมา ทอดสายตาออกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นเดินตามเหยาฝูโซ่วไปยังพระที่นั่ง

พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน

ธูปหอมส่งกลิ่นคลุ้ง เตาเผาเผาอย่างอบอุ่น

ในอากาศมีกลิ่นยาลอยปนอยู่ด้วย

หนิงซีฮ่องเต้พนักผิงอยู่บนพระแท่นบรรทม พระพักตร์ซูบผอมซีดขาว เดิมทีสรีระสูงโปร่งสง่าผ่าเผย ตอนนี้แลดูเหมือนไม้ไผ้แห้งที่ต้านลมแทบไม่ไหว

เมื่อเทียบกับการพบครั้งสุดท้ายครั้งนี้ฮ่องเต้ดูชราลงเยอะมาก

ด้านนอกผ้าม่านลูกปัด อวิ๋นหว่านชิ่นรวบรวมความกล้าคุกเข่าลงฟุบ “ขออภัยเพคะฝ่าบาท สนมกลัวว่าหม่อมฉันจะถูกทำร้ายจึงแจ้งพระราชโองการเท็จอย่างไม่ทันไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”

ด้านในผ้าม่านลูกปัดมีเสียงผู้ชายตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่แยกไม่ออกว่าดีหรือโกรธ “แจ้งพระราชโองการเท็จ พูดง่ายจริงเชียว รู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”

“หากฝ่าบาทจะลงโทษ โปรดให้หม่อมฉันเป็นผู้รับโทษแต่เพียงผู้เดียวด้วยเถิด เพราะหม่อมฉันเป็นผู้ต้องรับโทษอยู่แล้ว เพิ่มอีกหนึ่งข้อไม่เยอะเพคะ หากต้องดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ไม่คุ้มเพคะ สนมม่อกำลังได้รับความรักจากฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทก็น่าจะทนไม่ได้เพคะ”

“ไทเฮากล่าวไว้ไม่ผิด ผู้ที่เปิดร้านมักคิดแผนการเก่งเสมอ” ผู้ชายโกรธแต่กลับหัวเราะ