อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหัวต่ำไม่กล้าพูดต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของผ้าม่านลูกปัดว่า “เมื่อครั้นที่ป่าล้อมฮู่หลง สนมม่อเปลี่ยนการแต่งกายวิ่งมาถึงหอชมจันทร์ปิดบังกล่าวเท็จต่อข้าเพื่อเจ้า คิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าสองคนเป็นคนเช่นไรรึ ครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ข้าแปลกใจนักหรอก”
ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกันหรือจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเลย
เหยาฝูโซ่วแอบหัวเราะอยู่ด้านหลัง “พระชายาเอกลุกขึ้นเถิด ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไม่ทรงลงโทษอีกหรือ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติจึงจับกระโปรงรีบลุกขึ้น “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น…หม่อมฉันไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของฝ่าบาทแล้วเพคะ”
เหยาฝูโซ่วส่ายหัวเมื่อเห็นนางกำลังลากลับ “ปกติพระชายาเอกฉลาดมาก เหตุใดถึงยังไม่เข้าใจอีก เดี๋ยวฮองเฮาต้องเสด็จมาที่นี่แน่นอน เพื่อมาดูว่าท่านเข้าพบฝ่าบาทจริงหรือไม่ การที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านมายังตรงนี้ก็เพื่อช่วยท่านอยู่นะ ท่านก็อยู่ที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนสักประเดี๋ยวก่อนก็ได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าหงึกๆ “หม่อมฉันคิดไม่ถึงเลยเพคะว่าฝ่าบาททรงคิดรอบคอบถึงเพียงนี้ หม่อมฉันโง่เขลาเอง ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”
หนิงซีฮ่องเต้ไม่รู้ทำไมเวลาได้ยินเสียงของหญิงสาวด้านนอกผ่าม่านลูกปัดแล้วอาการประชวรก็รู้สึกดีขึ้นมากโขเลยทีเดียว พลกำลังก็ดูเหมือนจะมีมากขึ้นไม่น้อย เพียงเอาฝ่ามือดันเล็กน้อยก็สามารถลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ประทับมังกรขณะที่สวมชุดคลุมไหมทองได้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้ลงจากเตียงเป็นเวลานาน พอจะลุกขึ้นร่างกายก็ยังอ่อนกำลังจนทำให้พระวรกายของหนิงซีฮ่องเต้เซไปมา
อวิ๋นหว่านชิ่นกลัวล้ม ร่างกายของนางจึงตอบสนองอย่างว่องไว นางเปิดผ้าม่านลูกปัดออกและเข้าไปพยุงฮ่องเต้ทันที “ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ”
เป็นชายหนุ่มบรรลุนิติภาวะแล้วแท้ๆ กลับซูบผอมเหลือแต่กระดูก ตัวก็เบาราวกับปุยขาวของต้นหลิว ไม่จำเป็นต้องออกแรงทั้งหมดที่มีก็สามารถประคองไหว
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสงสาร พอไม่ทันระวังมือของนางก็วางอยู่บนข้อพระหัตถ์ของชายร่างผอม เส้นชีพจรกำลังเต้นอยู่ พอรู้สึกตัวก็เห็นว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่ตัวเอง นางจึงดึงมือกลับอย่างรวดเร็วถอยออกไปหลายก้าวและเอ่ยว่า “ขออภัยในความหลวมตัวของหม่อมฉันเพคะ”
เหยาฝูโซ่วเห็นฮ่องเต้เกือบหกล้มเมื่อตอนลุกขึ้น ใจของเขาแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เตรียมจะเข้าไปช่วยเหลือแต่พอเห็นว่าไม่เป็นไรแล้ว แล้วยังเห็นฝ่าบาททรงทอดพระเนตรไปยังพระชายาเอกอีก เขาก็เลยแอบยิ้มเบาๆ และรู้ว่าฝ่าบาทอยากใช้เวลาส่วนตัวกับพระชายาเอกจึงปิดผ้าม่านลงและเดินออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าฝ่าบาทไม่ทำโทษและเห็นว่าเหยาฝูโซ่วเดินออกไปแล้ว บรรยากาศด้านในก็อึดอัดแบบพูดไม่ถูก นางไม่เคยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเท่าวันนี้มาก่อน แม้อยู่ที่อารามฉางชิงก็ยังไม่อึดอัดเท่านี้
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่นางเริ่มเอ่ยปาก “ฝ่าบาทพักผ่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะรออยู่ด้านนอกสักพักแล้วค่อยออกไป”
เรื่องเมื่อตอนล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงจะทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้นก็คงไม่ได้ การอยู่ด้วยกันเพียงลำพังท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีบางอย่างติดอยู่ในใจอยู่ดี
“ทำไมล่ะ ยังกลัวข้าอยู่รึ” ฮ่องเต้ตรัสไปแย้มพระโอษฐ์ไป
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดย่ำเท้าและหันกลับไปตอบ “ไม่ใช่เพคะ”
“แล้วเหตุใดถึงไม่กล้ามองหน้าข้าล่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางเท้าลงอย่างเต็มเท้า “ด้วยสถานะ หม่อมฉันและฝ่าบาทต้องพึงระวังเพคะ การอยู่ในห้องเดียวกันเช่นนี้ เกรงว่าผู้อื่นจะนินทาทำให้ชื่อเสียงของฝ่าบาทแปดเปื้อนได้เพคะ”
ดวงตาของฮ่องเต้ยิ้มอย่างนุ่มนวล ชุดกระโปรงแม่ชีสีครามที่สวมอยู่บนตัวหญิงสาวตรงหน้าไม่สามารถบดบังความงามของนางได้เลยสักนิด เขาส่งเสียงทอดทอนใจ การมอบนางให้กับเจ้าสามมันทำให้เขารู้สึกเสียดายไปพักใหญ่เหมือนกัน หากค่ำคืนที่หอชมจันทร์เป็นนางจริง ป่านนี้ผู้ที่อยู่เคียงข้างร่างกายอันแข็งทื่อคอยส่งชาป้อนยาก็คงจะเป็นนาง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วนางยังสามารถเปล่งประกายเช่นนี้ได้อยู่หรือ
คงมีเพียงชายหนุ่มผู้โอบอ้อมอารี เอาอกเอาใจ และให้ความเป็นอิสระแก่นางเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้นางยังคงความงดงามเช่นนี้เอาไว้ได้
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้มองเก้าอี้ตรงด้านข้าง “นั่งเถิด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรข้าหรอก” หยุดตรัสไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้ ว่าในใจเจ้าข้าอาจจะเป็นคนประพฤติตัวสำมะเลเทเมา แต่เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ถึงข้าจะอดกลั้นไม่ไหวข้าก็ไม่มีวันคิดเป็นอื่นเด็ดขาด ข้าช่วยปกปิดเรื่องนี้ก็เพราะเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้นางต้องโดนทำโทษเพราะเรื่องนี้หรอกเจ้าวางใจได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกโล่งอกจึงนั่งลง นางเงยหน้าขึ้นมองด้านหน้า “หม่อมฉันวางใจเพคะ พระชายารองเว่ยอ๋องร่วมมือกับแม่บังเกิดเกล้าของนางจับตัวหญิงตั้งครรภ์ เรื่องนี้หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเมตตาอย่างลับๆ ตระกูลอวิ๋นคงเกี่ยวพันเข้าไปด้วยแล้วเป็นแน่ ท่านพ่อของหม่อมฉันขอไม่พูดถึง แต่น้องชายแม่เดียวกันของหม่อมฉันก็อาจเกี่ยวพันเข้าไปด้วยโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร อนาคตของเขาก็คงดับสิ้น”
หนิงซีฮ่องเต้ตื่นตกใจจากนั้นเปลี่ยนเป็นแย้มพระโอษฐ์เบาๆ รอยยิ้มนั้นดูผ่อนคลายทำให้ดูหล่อขึ้น “น้องชายของเจ้าอายุน้อยมากความสามารถ ได้ยินคนในกั๋วจื่อเจียน[1]เล่าว่า น้องชายเจ้าทั้งด้านการเรียน คุณธรรมและการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น ล้วนทำได้ดีกว่านักเรียนในวัยเดียวกันหลายเท่า หากอนาคตดับลงเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ต้าซวนของข้าคงได้รับความเสียหายไม่น้อย ข้าไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทใส่ใจน้องชายของหม่อมฉันถึงเพียงนี้หม่อมฉันตกใจยิ่งนัก เมื่อครู่นี้ยิ่งได้ยินสนมบอกกับหม่อมฉันว่า ฝ่าบาททรงให้หยางไท่ฟู่[2]ผู้เป็นครูของไท่จื่อสามรัชกาลมาเป็นครูให้กับน้องชายหม่อมฉัน อีกทั้งยังเสนอชื่อน้องชายหม่อมฉันเข้าร่วมการสอบชุนเหวย[3] ซึ่งการสอบนี้เป็นการสอบระดับฮุ่ยซื่อ[4] เป็นสนามสอบรวมผู้ผ่านการสอบแต่ละภูมิภาค เป็นปัญญาชนผู้มากความสามารถของบ้านเมือง น้องชายของหม่อมฉันอายุยังน้อย เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะสั่งสมความรู้ให้มากเสียหน่อยค่อยเข้าร่วมการสอบ…แต่วันนี้ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเขา หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะทำให้ฝ่าบาทผิดหวังหรือรับสิ่งเหล่านี้ไหวหรือไม่เพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้ปัดมือไปมา “ปัญญาชนของแต่ละภูมิภาคกับนักเรียนเจียนเซิง [5]เข้าร่วมการสอบระดับฮุ่ยซื่อได้ทุกคน น้องชายของเจ้าเป็นเจียนเซิงก็ต้องมีสิทธิจะรับไม่ไหวได้อย่างไรกัน อายุมากน้อยไม่ใช่ปัญหา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการสอบระดับถงเซิง[6] ก็เคยมีคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบเข้าร่วมการสอบ เมื่อตอนข้าสิบห้าพรรษา ข้าอยากทดสอบความรู้ของตัวเองจึงแอบปลอมตัวไปร่วมสอบจิ้นซื่อ[7] ตอนนั้นข้าสอบได้อีเจี่ย[8]เสียด้วย ถึงแม้น้องชายเจ้าอายุยังน้อยแต่เขาเป็นคนฉลาดมาก เรียนหนังสือเก่ง เฉาจี้จิ่วและคนอื่นๆ ชมแทบไม่หยุด เมื่อวานก่อนหยางไท่ฟู่ยังทดสอบความรู้ของเขาเป็นการส่วนตัวพบว่าน้องเจ้าเป็นคนเก่งตัวน้อยที่หลายสิบปีกว่าจะเจอหนึ่งคน ข้าเชื่อว่าหากเข้าสอบระดับฮุ่ยซื่อจะสอบให้ได้ก้งซื่อ[9]ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก อายุน้อยๆ แต่ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ในภายภาคหน้าจะขึ้นตำแหน่งก็คงไม่ยาก…” ฮ่องเต้ตรัส พระพักตร์แลดูมีความสุข ไม่รู้เป็นเพราะว่าตรัสจนมีความสุขมากเกินไปหรือว่าตรัสเร็วไป จู่ๆ ก็ยกพระหัตถ์ขึ้นและเริ่มไอค่อกแค่ก
ดูออกแล้วว่าชื่นชอบในน้องชายจริงจนแสดงออกมากเกินไปหน่อย
พอฮ่องเต้ไอเสร็จอวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ อยากทดสอบทุกปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวบนใบหน้าของเขา
“เป็นพระกรุณายิ่งนัก…แม้ว่ามารดาจะปฏิบัติกับฝ่าบาทเช่นนั้น ก่อนจากไปนางทำลายผ้าเช็ดหน้าแทนใจตัดทุกความสัมพันธ์กับฝ่าบาท ฝ่าบาทกลับไม่เคยกริ้วโกรธแต่ยังคิดเผื่อน้องชายหม่อมฉัน แม้ว่าน้องชายหม่อมฉันจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของท่านและยังเป็นลูกหลานในตระกูลอวิ๋น คิดไม่ถึงเลยเพคะว่าฝ่าบาทจะใส่ใจถึงเพียงนี้”
หนิงซีฮ่องเต้นิ่งแต่นิ่งเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไป
ความนิ่งเพียงแวบเดียวเมื่อครู่กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นแรง และความคิดเช่นนี้ก็ช่างทำให้คนตกตะลึงมากได้เช่นกัน นางนึกถึงคำพูดของเจี่ยงยิ่นและทำการหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้ ในที่สุดทุกอย่างก็นิ่งลง
ในตอนนั้น เหยาฝูโซ่วย่ำเท้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เสียงดังขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จมาเยี่ยมอาการประชวรของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ให้เสด็จเข้ามาหรือไม่”
หนิงซีฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์และทอดพระเนตรไปยังอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งที สีพระพักตร์นั่นเหมือนกำลังจะบอกกับนางว่า เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าฮองเฮาจะต้องมาดูด้วยตาให้ได้ เขายกพระหัตถ์ขึ้น “ให้เข้ามา”
[1] กั๋วจื่อเจียน หมายถึง หน่วยงานการบริหารการศึกษาสมัยก่อน
[2] ไท่ฟู่ หมายถึง ครูฮ่องเต้
[3] ชุนเหวย หมายถึง การสอบบรรจุขุนนาง
[4] ระดับฮุ่ยสื่อ หมายถึง การสอบคัดปัญญาชนให้เหลือเพียงสองสามร้อยคน หลังสอบผ่านระดับภูมิภาค(เซียงซื่อ)มาแล้ว
[5] เจียงเซิง หมายถึง ผู้มีสิทธิเข้าเรียนในกั๋วจื่อเจียน
[6] ถงเซิง หมายถึง การสอบระดับท้องถิ่น
[7] จิ้นซื่อ หมายถึง การสอบวัดระดับสูงสุด
[8] อีเจี่ย หมายถึง ที่หนึ่ง ซึ่งการสอบได้ที่หนึ่งในสมัยโบราณ จะประกอบด้วยสามคน แต่ละคนจะมีชื่อเรียกแยกออกไปอีกว่า จอหงวน ป๋างเหยี่ยนและถั้นฮวา
[9] ก้งซื่อ หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านระดับเมืองหลวง