ตอนที่ 252 ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ / ตอนที่ 253 กลับไปกับฉัน

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 252 ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ

 

 

ทุกคนทักทายปราศรัยกันสักพัก ชุยหังไม่ได้ถามเลยว่าหลายวันมานี้หันไท่จูหายไปไหนมา

 

 

อย่างไรก็ตามคงหนีไม่พ้นจากอาชีพนี้แน่นอน

 

 

ตอนกลางคืน หันไท่จูยังจงใจมานอนข้างๆ ชุยหัง จากนั้นก็ชวนเขาพูดคุยถึงเรื่องเมื่อก่อนช่วงสมัยเรียนอีกหลายต่อหลายเรื่อง

 

 

ชุยหางไม่มีคำพูดก็หาคำพูดมาคุยกับเขา

 

 

ตราบใดที่ไม่คุยเรื่องงานอาชีพนี้ ทุกอย่างก็สามารถคุยกันได้

 

 

แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังดึงหัวข้อสนทนากลับมาเรื่องอาชีพอีก โดยถามชุยหังว่าเขาเปลี่ยนไปมากไหม เมื่อก่อนเขาเป็นคนเหลวไหลทำตัวระเกะระกะขนาดนั้นและไม่ว่าจะด้านใดๆ ก็ไม่เคยจะแสวงหาความก้าวหน้าเลย ตอนนี้กลับรู้จักหาเงิน เข้าใจถึงอุดมการณ์ของชีวิตในอนาคตแล้ว

 

 

ชุยหังอยากหัวเราะ นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับตนแม้สักครึ่ง?

 

 

อันที่จริงตอนแรกเขายังคิดอยากจะให้ซุนซิ่งกับหันไท่จูไปด้วยกัน แต่ดูท่าทางของพวกเขาในตอนนี้พวกเขาถูกวางยาพิษหนักเกินไปแล้ว ตนจะสามารถไปได้หรือไม่ได้ยังไม่รู้เลย

 

 

วันต่อมาซุนซิ่งไม่ได้เฝ้าติดตามตนแล้ว แต่เป็นโจวอิ๋นเย่ว์กับหันไท่จูมาดูแลตนแทน

 

 

แต่ว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร อย่างไรก็ตามตนก็ไม่มีทางที่จะลงทุนกับอาชีพนี้อย่างเด็ดขาด

 

 

หลังจากกลับจากชั้นเรียนโจวอิ๋นเย่ว์พลิกดูสมุดบันทึกที่เคยให้ชุยหังไว้ก่อนหน้านี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะบันทึกอะไรหลายต่อหลายอย่างขนาดนี้

 

 

“สุดหล่อ นายทำไมเขียนเยอะขนาดนี้?” เธอถามขึ้น

 

 

“อยู่ที่โรงเรียนก็จดบันทึกจนเคยชินไปแล้วน่ะ” ชุยหังว่า

 

 

“ถ้าในอนาคตนายไม่สอนหนังสือคงจะสูญเปล่ามากจริงๆ” โจวอิ๋นเย่ว์กล่าว

 

 

ชุยหังยิ้มและไม่ได้พูดอะไร

 

 

หลังจากซ่งไข่โทรศัพท์มาเมื่อวานนี้แล้วจู่ๆ ก็เงียบหายสนิทเลย ไม่รู้ว่าเขากำลังยุ่งจนหัวหมุนอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของตนเลย หรืออาจจะกำลังไปโน้มน้าวหลูจื้ออยู่

 

 

อันที่จริงภายในใจของชุยหังก็มีไฟ เพียงแต่ว่าไม่มีวิธีการที่จะแสดงมันออกมา

 

 

แม้แต่ข้าวเขายังไม่อยากกินเลย อารมณ์ไม่ดีย่อมส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารเป็นธรรมดา

 

 

เดิมทีอาหารการกินที่นี่ก็ไม่ดีอยู่แล้ว เขาไม่ชินเอามากๆ

 

 

ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาถูกตามใจจนเหลิงขนาดไหน เพียงแต่รู้สึกว่าอาหารการกินที่นี่มันเรียบง่ายซอมซ่อเกินไปจริงๆ

 

 

ต่างบอกว่าตนทำเงินได้มาก หาเงินก็เพื่อจะกินของพวกนี้?

 

 

ตอนเที่ยง ชุยหังกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเสื่อทาทามิ

 

 

ครั้งนี้เขาก็ฝันถึงหลูจื้ออีกครั้งอย่างไม่น่าแปลกใจ

 

 

แต่ว่าครั้งนี้หลูจื้อไม่ได้ถือไม้มาไล่ตีเขา แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องโถงที่ตั้งศพ รูปภาพที่อยู่ตรงกลางห้องโถงที่ตั้งศพนั้นเขาเห็นไม่ค่อยชัด

 

 

ชุยหังถูกความตื่นกลัวปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่ตนเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้แล้ว

 

 

แม้ภาพที่เห็นในฝันจะไม่ค่อยชัดเจน แต่เมื่อคิดก็รู้ว่ามีเพียงแค่คุณย่าของหลูจื้อแล้ว

 

 

แม้ว่าจะเป็นความฝันแต่มันเหมือนจริงเกินไป น่าตกใจเกินไปแล้ว

 

 

ถ้าหากหลูจื้อแบไพ่ทั้งหมดที่อยู่ในมือให้กับคนในครอบครัวรู้จริง ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงหูของคุณย่าแต่ในอนาคตล่ะ?

 

 

ในช่วงบ่าย ชุยหังยังคงไม่ปฏิเสธที่จะออกไปพบหัวหน้ากับพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะให้ตนทำงาน ให้ตนไปดู จากนั้นหลังจากให้ตนดูจนเข้าใจแล้วก็ให้เข้าร่วมงานกับพวกเขา ชุยหังเข้าใจทั้งหมด เพียงแค่ไม่อยากพูดมันออกมาก็เท่านั้น

 

 

พวกเขาเพิ่งจะเดินออกมาถึงประตูทางเข้าชุมชนก็ได้ยินเสียงดังกังวานร้องตะโกนอยู่ไม่ไกล: “ชุยหังยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ”

 

 

วินาทีนั้นชุยหังตกใจมาก เสียงนี้มัน…

 

 

เขาค่อยๆ หันศีรษะไปมองอย่างช้าๆ แน่นอนว่าเสียงนี้ไม่เปลี่ยนไปเลย

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันหลายวัน แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้คุย แต่เสียงนี้มันก็ติดตราตรึงอยู่ในใจของตนมานานมากแล้ว

 

 

เป็นหลูจื้อ ในที่สุดเขาก็มาแล้ว

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมเครื่องแบบทหาร แต่หลูจื้อที่อยู่ในชุดลำลองยิ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก

 

 

เพียงแค่บนใบหน้าของเขากลับเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะนี้คงจะทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

 

 

ชุยหังยังไม่ทันได้คิดอะไรมากก็เห็นหลูจื้อเดินนิ่งก้าวเข้ามาหาเขาทีละก้าวๆ อย่างมั่นคง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 253 กลับไปกับฉัน

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์และหันไท่จูทั้งสองคนที่ติดตามชุยหังมาต่างก็มึนงงเล็กน้อย คนๆ นี้เป็นใคร เขารู้จักกับชัยหัง?

 

 

“คุณเป็นใครครับ” หันไท่จูยังคงแสร้งทำเป็นสงบนิ่งเข้าไปสื่อสารกับหลูจื้อ

 

 

“นายถามเขา” หลูจื้อมองชุยหังโดยที่ไม่ได้สนใจหันไท่จูเลยสักนิด

 

 

ชุยหังรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า: “นี่คือพี่ชายฉัน…”

 

 

หลูจื้อขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย พี่ชาย?

 

 

หันไท่จูกับโจวอิ๋นเย่ว์รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แล้วถามอีกว่า: “พี่นาย? พี่ชายแบบไหนของนาย?”

 

 

“มันเกี่ยวอะไรกับนายไหม เอาล่ะ สองวันที่ผ่านมาขอบคุณพวกนายมากที่ช่วยดูแลเขา ฉันจะพาเขากลับไปพวกนายมีข้อคิดเห็นอะไรไหม” หลูจื้อถามออกไปอย่างดุดัน

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างอึดอัดใจอยู่ข้างๆ

 

 

หันไท่จูครุ่นคิดสักพักและพูดว่า: “ชุยหัง นายลองถามซุนซิ่งดูก่อนไหม”

 

 

“ซุนซิ่งเป็นใคร” หลูจื้อถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

ตอนที่ชุยหังเห็นหลูจื้อ เขารู้สึกเหมือนได้เจอเรือลำหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทรอ้างว้างอันกว้างใหญ่ และมันไม่มีทางรั่วน้ำซึม แต่จะสามารถพาเขากลับได้อย่างปลอดภัย

 

 

หลังจากซึมเศร้ามาหลายวัน ในที่สุดก็รอจนเจอคนที่ตนอยากจะรอแล้ว

 

 

ถึงแม้ไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนกลับไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีแบบไหนของหลูจื้อบ้าง ยังไงก็คงไม่หักขาตนจริงๆ หรอก แต่ว่าก็ยังตื่นเต้นมาก ในที่สุดตนก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว

 

 

“เพื่อนร่วมชั้นของผม นี่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมเหมือนกัน” ชุยหังรีบพูดอย่างรวดเร็ว

 

 

“เพื่อนกลุ่มนี้ของนายมีความสามารถมากทีเดียวนะ ถึงได้ทำเรื่องมั่วซั่วพวกนี้ ต่อไปเกิดร่ำรวยขึ้นมาคงจะลืมกระทั่งว่านายเป็นใครแน่ หรือไม่อย่างนั้นนายอยู่ต่อแล้วร่ำรวยไปกับพวกเขาเลยดีไหม?” หลูจื้อถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวไม่ชัดเจน

 

 

ชุยหังรู้ว่าที่เขาพูดมาไม่ใช่ความจริงใจอย่างแน่นอน ถ้าหากตนตอบรับเห็นด้วยล่ะก็ แบบนั้นจะได้ตายจริงๆ แน่

 

 

เขาพูดขึ้นว่า: “ไม่เอาล่ะ ฉันไม่เหมาะที่จะร่ำรวยหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว”

 

 

หันไท่จูเอ่ยประโยคที่ไม่ควรแทรกขึ้นมาอีกว่า: “พี่ชาย ไหนๆ ก็มาแล้ว หรือไม่งั้นพวกเรากินข้าวด้วยกันสักหน่อย แล้วพี่ก็ช่วยเขาตรวจตราสักหน่อยไง?”

 

 

“ตรวจตรา? หรือไม่งั้นฉันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจตราพวกนายสักหน่อย?” หลูจื้อถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

วินาทีนั้นหันไท่จูขวัญหนีดีฝ่อทันทีพลางพูดว่า: “เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายสักหน่อย”

 

 

หลูจื้อหัวเราะอย่างเยือกเย็น: “ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายแล้วยังพูดซะมีเหตุผลเลยนะ อย่าพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนั้นกับฉัน ข้าวของของชุยหังอยู่ไหน กลับไปเก็บของซะ พวกเราจะกลับ”

 

 

ชุยหังมองไปทางหันไท่จูพลางพูดว่า: “ไปเถอะ ไปเก็บของเถอะ”

 

 

หันไท่จูเข้าใจแล้วว่าเขาตั้งใจ วันนั้นที่คุยโทรศัพท์คงจะรายงานบอกตำแหน่งของตัวเองไปแล้วแน่

 

 

แต่สองวันที่ผ่านมาเขาแสร้งได้เหมือนจริงมาก พวกเขานึกว่าการที่มีเพื่อนร่วมชั้นมัธยมอยู่ที่นี่ถึงสองคนแล้วเขาจะรู้สึกปลอดภัยเสียอีก

 

 

ปรากฏว่าเจ้าเด็กคนนี้กลับเล่นไม้นี้กับพวกเขา

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์พูดขึ้นว่า: “ตอนนี้ที่บ้านคงจะไม่ค่อยสะดวก”

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “ที่บ้านมีคนอื่นใช่ไหม หัวหน้ากำลังรับคนจากบ้านอื่นอยู่ใช่หรือเปล่า?”

 

 

หันไท่จูรีบรับต่อทันทีว่า: “ไม่ใช่ เสี่ยวเย่ว์ เธอลองโทรไปถามดูก่อนเถอะ”

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์รีบไปโทรศัพท์ ชุยหางครุ่นคิด ทำไมอีก พวกเขายังไม่อยากปล่อยตนไป?

 

 

“นายเอาของมาแค่ไหน หยุดเรียนแล้วยังเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมาด้วย?” หลูจื้อถาม

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “เปล่า เอามาแค่กระเป๋าเดียว กระเป๋าลาก”

 

 

“ถ้าฉันไม่มานายคงจะตัดสินใจอยู่ถาวรเลยใช่ไหม ฉันมาที่นี่ผิดเวลาไปหรือเปล่า” หลูจื้อถามอย่างจงใจ

 

 

หลังจากพูดจบก็วางมือใหญ่ๆ ลงบนไหล่ของชุยหัง จากนั้นก็ออกแรงบีบมันอย่างแรง

 

 

ชุยหังเกือบจะร้องออกมาแล้ว แต่ว่าหันไท่จูอยู่ด้วยเขาจึงได้แค่กลั้นเอาไว้

 

 

“พี่ใหญ่ พี่มาจากที่ไหนหรอ?” หันไท่จูหาโอกาสพูดคุยกับหลูจื้อพลางยื่นบุหรี่มาให้เขาหนึ่งมวล