ตอนที่ 250 นายถูกควบคุมใช่ไหม / ตอนที่ 251 กลอุบายล้วนๆ

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 250 นายถูกควบคุมใช่ไหม

 

 

“นายจะกลับมาเองหรือจะให้หลูจื้อไปหานาย นายเลือกเอาเองเถอะ” ซ่งไข่พูด

 

 

ชุยหังลังเลเล็กน้อย จากไปด้วยตัวเองคงจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง

 

 

ถ้าตนบอกว่าต้องการจะไปคาดว่าคนพวกนี้คงจะไม่ใช่ท่าทีแบบนี้แล้ว

 

 

อย่างน้อยก็คงจะผลัดกันออกสนาม จากนั้นก็พูดกับตนว่าที่นี่ดีมากแค่ไหน ให้ตนดูให้ดีๆ ถ้าเผื่อว่ามีโอกาสจริงๆ ขึ้นมาล่ะ

 

 

สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดก็คือถ้าเผื่อว่า [1] ในหนึ่งหมื่นนั้นมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว มันจะบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง ที่โอกาสจะมาตกที่ตนพอดี?

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนมากมายต่างก็เฝ้ารอคอย ‘เผื่อว่า’ อันนั้น ถ้าอย่างนั้นจะต้องมีสักกี่หมื่นถึงจะพอใจพวกเขา?

 

 

เขาพูดว่า: “ผมในตอนนี้อยู่ที่นี่มีเรื่องนิดหน่อย ไม่ค่อยสะดวก”

 

 

“มีอะไรที่ไม่สะดวก? นายพึ่งจะไปแค่ไม่กี่วันเองไม่ใช่หรอ ทำไมหรอ โดนควบคุมแล้ว?” ซ่งไข่ถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

ชุยหังอยากจะปรบมือให้เขามากจริงๆ ตนอยากจะสื่อถึงความหมายนี้จริง แต่ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ

 

 

เขาพูดว่า: “เอ่อ…ประมาณนั้นมั้ง เอาเป็นว่าความหมายนั้นแหละ”

 

 

“อะไรนะ? นายแม่งล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม” ซ่งไข่คิดไม่ถึงว่าประโยคที่ตนแค่พูดออกมามั่วซั่วจะกลายเป็นจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

 

“เอาเป็นว่าคุณเข้าใจนะ ทางนี้ผมยังมีเรื่องอีกนิดหน่อย ไม่คุยต่อแล้วนะ” ชุยหังว่า

 

 

หลังจากพูดจบเขาก็ไม่รอให้ซ่งไข่ตอบกลับใดๆ ก็ตัดสายโทรศัพท์ไปเลยทันที

 

 

ถ้าตนแอบบอกใบ้ขนาดนี้แล้วเขายังฟังไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นตนก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้วจริงๆ

 

 

“ใครอะ?” โจวอิ๋นเย่ว์ใส่ใจจริงๆ ว่าใครโทรมา

 

 

ชุยหังพูด: “ไม่ใช่ใคร เป็นเพื่อนรูมเมทของฉันโทรมาถามว่าฉันอยู่ไหน ทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์ตลอดเลย”

 

 

“นายเริ่มจำว่าบ้านของพวกเราพักอยู่ที่ไหนตั้งแต่เมื่อไหร่” โจวอิ๋นเย่ว์ถามขึ้นอีกครั้ง

 

 

“ฉันเข้าๆ ออกๆ แบบนี้อยู่ทุกวัน อยากจำไม่ได้ก็คงไม่ได้มั้ง” ชุยหังตอบกลับตามปกติ

 

 

ตั้งแต่น้ำเสียงไปจนถึงท่าทางไม่มีอะไรที่ทำให้คนรู้สึกได้ว่ามีจุดที่ผิดแปลกไปได้

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์ยังต้องการอยากถามอะไรต่อ แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็เหมือนจะพูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว

 

 

ชุยหังวางโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติและไม่ได้เล่นต่อ ก่อนจะกลับไปเล่นกับพวกเขาทุกคนต่อ

 

 

โจวอิ๋นเย่ว์ออกไปข้างนอกได้สักพักเธอก็กลับมาบอกว่าหัวหน้าอยากจะเจอเขา

 

 

ชุยหังครุ่นคิดว่าคงจะเป็นชายร่างอ้วนท้วมในชุดสูทที่ตนเคยเจอตอนที่มาที่นี่วันแรกคนนั้นแน่

 

 

ในสองวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้ปรากฏตัวเลย ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งกับอะไรอยู่

 

 

นอกจากนี้ชุยหังยังรู้อีกว่าเขาชื่อ หวังอิงเจี๋ย

 

 

เพราะตลอดทั้งสองวันนี้เวลาที่พวกเขาออกไป โจวอิ๋นเย่ว์กับซุนซิ่งต่างก็จะเอ่ยถึงชื่อนี้ไม่หยุด

 

 

ที่แท้เขาก็พักอยู่ในห้องที่มีกระดาษแปะไว้ที่อยู่ถัดไปจากห้องครัวนี้เอง ดูเหมือนว่าสองวันมานี้เขาคงจะอยู่ตลอด

 

 

หลังจากชุยหังเข้าห้องไปแล้ว มันกลับไม่เหมือนการเข้าบ้านหัวหน้าคนอื่นๆ แบบนั้นเลย ซุนซิ่งกับโจวอิ๋นเย่ว์ก็ไม่ได้เข้าไปจับไม้จับมือ พวกเขาพูดเพียงแค่ว่า: “หัวหน้าคนหล่อของเรามาแล้ว”

 

 

“อืม นั่งสิ พวกเราเคยเจอกันแล้วไม่ใช่หรอ” หวังอิงเจี๋ยกล่าว

 

 

จากรอยยิ้มของเขา ชุยหังเห็นถึงความเจ้าเล่ห์อยู่เต็มไปหมด

 

 

“นายมากี่วันแล้ว?” หวังอิงเจี๋ยเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า: “สามสี่วันแล้วครับ เข้าเรียนมาก็สามวันแล้ว”

 

 

“เรียนเป็นยังไงบ้าง?” ในเมื่อชุยหังพูดตรงไปตรงมา แน่นอนว่าหวังอิงเจี๋ยก็ไม่ง่ายที่จะชักแม่น้ำทั้งห้าอีก

 

 

“พอได้ครับ ฟังแล้วสับสนงงๆ นิดหน่อย ในมหา’ ลัยไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรพวกนี้มาก่อน ผมก็ไม่ได้เรียนอันนี้ด้วย ผมเป็นคนที่ค่อนไปทางวิทยาศาสตร์มาตลอด คณิตศาสตร์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เรื่องนี้ซุนซิ่งเองก็รู้” ชุยหังว่า

 

 

หลังจากพูดจบเขาก็จงใจเหลือบไปทางซุนซิ่งด้วย

 

 

ซุนซิ่งยิ้มออกมาอย่างอึดอัดโดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

“ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าชั้นเรียนเป็นยังไงหรอก รู้สึกว่าคนอย่างพวกเราเป็นยังไง” หวังอิงเจี๋ยถามขึ้นอีกครั้ง

 

 

ชุยหังคิดในใจว่า ฉันอยากจะบอกว่าพวกนายทุกคนเป็นประสาท ป่วยจิต นายจะดีใจไหม?

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 251 กลอุบายล้วนๆ

 

 

“ดีครับ ทุกคนต่างมีน้ำใจโดยเฉพาะวันแรกที่พึ่งมาวันนั้นมีคนซักถุงเท้าให้ผมด้วย ทำเอาผมรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูกเลย” ชุยหังกล่าว

 

 

หวังอิงเจี๋ยยิ้มและพูดว่า: “นี่เป็นเรื่องปกติ ตอนที่ฉันพึ่งมาก็เป็นแบบนี้ อีกอย่างคนที่เชื้อเชิญฉันมาก็คือน้องชายของฉัน ตอนนั้นก็เป็นน้องชายน้องสาวฉันที่ช่วยซักถุงเท้าให้ ตอนนั้นฉันถึงกับหน้าแดงไปเลยรู้สึกว่าเจ้าสองคนนี้จงใจจะให้ฉันออกจากตำแหน่งไม่ได้สินะ ต่อมาพอฉันเห็นหลักสูตรแล้วถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าเด็กสองคนนี้ต้องการฉัน”

 

 

ชุยหังยิ้มรับอย่างสุภาพ เขาไม่ได้สนใจเลยว่าหวังอิงเจี๋ยมาจากไหนยังไง

 

 

“แต่เพื่อนร่วมชั้นนายคนนี้นายคงจะรู้จักดีเลยใช่ไหม ฉันได้ยินมาว่าถึงแม้เขาจะเรียนไม่ค่อยเก่งแต่ตอนที่พวกนายอยู่โรงเรียนมัธยมปลายก็เป็นถึงรองประธานสภานักเรียนเลยนะ” หวังอิงเจี๋ยพูดอย่างจงใจ

 

 

ซุนซิ่งรู้สึกอับอายเล็กน้อยพลางพูดว่า: “หัวหน้าอย่าพูดอีกเลยครับ เขาเป็นประธาน…”

 

 

“จริงหรอ นายเป็นประธานหรอ” หวังอิงเจี๋ยแสดงท่าทางเหมือนกับคาดไม่ถึงออกมา

 

 

ชุยหังมองรอยยิ้มของเขาพลางคิดในใจว่า นี่คงจะกำลังวางยาชาตนอยู่สินะ เพื่อให้ตนรู้สึกว่าพวกเขากำลังชื่นชมตนอยู่ จากนั้นเพื่อไว้หน้าพวกเขาตนก็ต้องเต็มใจตกลงยอมอยู่ที่นี่ต่อไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

เพราะมนุษย์มักจะหลงในเกียรติอันจอมปลอม เมื่อได้ยินคนอื่นชื่นชมยกย่องตนต่างก็จะรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา

 

 

หัวหน้าคนนี้ระดับความสามารถแตกต่างจากพวกเขาจริงๆ

 

 

แต่ชุยหังตัดสินใจแล้วว่าจะไปจากที่นี่ดังนั้นจึงไม่มีทางหวั่นไหวกับสิ่งเหล่านี้แน่นอน

 

 

เขาเพียงแค่แสดงออกพอเป็นพิธีไปว่า: “สภานักเรียนมัธยมปลายก็เหมือนกับเล่นสนุกทั่วไป คนทั้งหมดก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”

 

 

“นั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนาย ได้ยินว่านายยังเป็นนักศึกษาด้วย เรียนอะไรหรอ” หวังอิงเจี๋ยถามต่อ

 

 

“การเดินเรือ”

 

 

“ก็คือขับเรือ?”

 

 

“อืม ขับเรือหรือเข้าไปอยู่ในหน่วยงานบริหารความปลอดภัยทางทะเล นอกจากนี้ยังมีอัตราความเป็นไปได้ที่แน่นอนที่จะได้รับคัดเลือกพิเศษเข้ากองทัพด้วย” ชุยหังกล่าว

 

 

หวังอิงเจี๋ยตบต้นขาและพูดว่า: “ฉันล่ะอิจฉาพวกนักศึกษาอย่างพวกนายนะ โดยเนื้อแท้แล้วฉันอยู่ในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมนี้ลำบากมากเกินไป ไม่มีวัฒนธรรมอะไร แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แล้วมันก็ต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาใดๆ ตราบใดที่นายอยากหาเงินก็สามารถหาได้”

 

 

ที่แท้ที่นี่กำลังเฝ้ารอตนอยู่สินะ ชุยหังก็ไม่ได้คัดค้านคำพูดใดๆ

 

 

หลังจากสนทนากันอยู่นาน ชุยหังเหมือนจะได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูจากด้านนอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า: “โอ้แม่เจ้า ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว!”

 

 

ชุยหังทำอะไรไม่ถูก บ้านนี้มีคนใหม่มาอีกแล้ว?

 

 

“มีใครกลับมาแล้วหรือเปล่า พวกนายออกไปดูสิ” หวังอิงเจี๋ยว่า

 

 

อันที่จริงเรื่องที่ควรคุยก็พูดไปพอสมควรแล้ว ชุยหังเป็นเหมือนก้อนสำลีที่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่ซึมซับเลย

 

 

เมื่อออกมาจากห้องของหวังอิงเจี๋ย ใครคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังเอาข้าวของออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังของตัวเอง ข้าวของจำพวกกล่องยาสีฟันแปรงสีฟัน ผ้าขนหนูและอื่นๆ

 

 

เมื่อเห็นชุยหังเดินออกมาเขาก็หันกลับมา

 

 

“ชุยหัง?” เขาร้องเรียก

 

 

ชุยหังจำได้ในทันที เขาคือหันไท่จู

 

 

อย่างไรก็ตามที่ให้เขากลับมาตอนนี้ชุยหังเข้าใจแล้วว่ามันหมายความว่าอะไร

 

 

ก่อนหน้านี้เขายังเคยถามซุนซิ่งว่าหันไท่จูก็ทำงานนี้ด้วยใช่หรือเปล่า ซุนซิ่งยังบอกอีกว่าไม่ใช่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะโกหกอีกแล้ว

 

 

เขายังเดินเข้าไปทักทายหันไท่จูอย่างเป็นมิตร จากนั้นหวังอิงเจี๋ยก็เดินออกมาจากห้องและถามอย่างจงใจว่า: “ทำไมพวกนายถึงรู้จักกันหมดเลยล่ะ”

 

 

หันไท่จูพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน คนนี้เป็นอันดับหนึ่งในโรงเรียนของเรา”

 

 

ถ้าเป็นที่อื่นบางทีชุยหังอาจจะรู้สึกขอบคุณสำหรับคำชื่นชมของเขา แต่ที่นี่เขาไม่มีอารมณ์แบบนั้นเลยจริงๆ

 

 

ไม่ว่าจะมาอีกกี่คน ต่อให้ไปพาอาจารย์ของพวกเขามาด้วยยังไงเขาก็จะไปอยู่ดี

 

 

เพราะหลูจื้อยังรอตนอยู่