บทที่ 434 สกิลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยตนเอง
บทที่ 434 สกิลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยตนเอง
เซียวเฟิงไม่ได้กระพริบตาเลยตลอดการต่อสู้ของไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวีย เขาพยายามจดจำรายละเอียดการต่อสู้นี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
ในสองคนนั้นไม่มีใครสามารถใช้ท่าไม้ตายเผด็จศึกได้เลย นั่นเพราะพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไป กระบวนท่าที่สามารถเห็นได้นั้นก็มีแต่กระบวนท่าเสริมความคล่องตัวเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าเซียวเฟิงจะมองไม่ออก บางทีใครคนใดคนหนึ่งอาจจะเหมือนกับคิมจงฮัน ที่สามารถผสานสกิลเข้ากับกระบวนท่าต่าง ๆ ได้อย่างลงตัวและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แม้แต่เซียวเฟิงเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ คทาของตัวเองมันแอบสั่นอยู่เล็กน้อยขณะที่เฝ้าชมการต่อสู้ที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้น ไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวียทะยานเข้าปะทะกันเป็นระลอก ๆ รอบละประมาณ 3 – 5 วินาที และทุกครั้งที่พวกเขาปะทะกัน พวกเขาจะใช้การโจมตีที่รุนแรงโถมใส่กันไปด้วย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถทำลายการป้องกันของอีกฝ่ายได้ก่อน ผลแพ้ชนะก็จะปรากฏทันที
“ซีเหมินชุยเสวียจะเป็นฝ่ายแพ้”
หลังจากที่ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่ง เซียวเฟิงก็ส่ายหน้าออกมาเบา ๆ
เหตุผลที่พูดออกมาเช่นนั้นมันง่ายนิดเดียว แม้ว่าทั้งสองจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการต่อสู้ครั้งนี้จนไม่มีใครสามารถลดพลังชีวิตของแต่ละฝ่ายได้ แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าข้อแตกต่างที่สำคัญของทั้งสองคนนั้นคือ มานา ในขณะที่ไทแรนนี่ยังมีมานาให้หมุนใช้ได้อีกกว่าครึ่งหลอด ซีเหมินชุยเสวียนั้นแทบจะไม่เหลือมานาให้ใช้แล้ว
เซียวเฟิงรู้มาก่อนแล้วว่าสกิลปราณดาบของซีเหมินชุยเสวียน่ะใช้มานามากขนาดไหน ไม่เช่นนั้นแล้วหากคนคนนี้สามารถใช้ปราณดาบได้เรื่อย ๆ มีหวังนักเวทได้ตกงานกันพอดี
ต้องโทษคลาสของตัวซีเหมินที่ดันเป็นสายกายภาพจึงทำให้เขาไม่มีมานาเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น และในที่สุดปัญหาดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นมา ซึ่งมันได้นำพาช่วงสุดท้ายของการประลองรอบนี้เข้ามาด้วย…
เวลาที่ซีเหมินชุยเสวียจะแพ้…มาถึงแล้ว
ซึ่งตัวไทแรนนี่เองก็ดูจะรู้เรื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน ทันทีที่มานาของอีกฝ่ายหมดไป เขาก็ตัดสินใจต่อยซีเหมินชุยเสวียไปเต็มแรงแล้วถอยออกมา
-87!
พลังโจมตีของไทแรนนี่นั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย เขาสามารถรัวหมัดใส่ซีเหมินชุยเสวียได้รุนแรงถึง 15 หน่วยต่อหมัด ซึ่งถ้าหากทางซีเหมินชุยเสวียไม่ถอยออกไปตั้งตัวด้วย เจ้าตัวก็อาจจะเจ็บหนักกว่านี้ก็ได้
“มานาของนายมีพอใช้ท่าใหญ่ได้เพียงครั้งเดียว แล้วนายคิดเหรอว่า โอกาสที่จะฆ่าฉันในครั้งเดียวนั้น มันจะเกิดขึ้นง่าย ๆ?”
ไทแรนนี่ไม่ได้ไล่ตาม เขาสะบัดข้อมือแล้วพูดคุยกับซีเหมินชุยเสวีย
“ต่อให้ฉันใช้สกิลคลาสที่ 2 ก็คงจะเก็บนายในไม่กี่วิไม่ได้อยู่ดี แต่เพื่อการนั้น ฉันก็ได้สร้างสกิลใหม่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว! บางทีฉันอาจจะทดสอบมันที่นี่ได้”
ซีเหมินชุยเสวียพูดพลางมองดาบคมผกามาศในมือของตน ในแววตาลึก ๆ ของเขาแสดงให้เห็นความเสียดายเล็กน้อย
สิ่งที่เขาเสียดาย นั่นคือดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบหนึ่งวารีหนาวเหน็บ แม้จะเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าเหมือนกันก็จริง มีพลังโจมตีไม่ด้อยไปกว่ากันก็จริง แต่มันก็ยังไม่สามารถเทียบกันได้อยู่ดี
ตั้งแต่ดาบหนึ่งวารีหนาวเหน็บเสียหายหนักจากการต่อสู้กับไนท์คูนเนอร์ เขาก็ไม่ได้ใช้มันอีกเลย ว่ากันว่าตอนนี้ดาบเล่มนั้นถูกแขวนไว้อยู่ในร้านค้ามหาสมบัติสาขาเมืองใต้ดินเพื่อใช้จัดแสดงอยู่เป็นระยะ ๆ และทุกครั้งที่ซีเหมินชุยเสวียได้ยินเรื่องนี้ ตัวเองก็พูดอะไรไม่ออกอยู่ร่ำไป
“โอ้ ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิ เผอิญฉันเองก็ทำแบบที่นายทำไว้เหมือนกัน มีคนทดสอบเป็นนายก็ดีไม่น้อยเลย”
ไทแรนนี่คลี่ยิ้มออกมา ซึ่งเป็นอะไรที่เห็นได้ยากมาก ๆ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ภายในแววตาของเขาลุกโชนขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ทว่าเมื่อซีเหมินชุยเสวียได้ยินเช่นนั้น แววตาของเขากลับแสดงความจริงจังขึ้นมาทันที เขากระชับด้ามดาบในมือขวาให้แน่นและยกขึ้นมาไว้เหนือระดับอก ส่วนมือซ้ายไขว้หลังเอาไว้
มีเพียงเซียวเฟิงเท่านั้นที่ขมวดคิ้วหลังจากรู้ว่าทั้งสองที่กำลังประลองกันกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าสนามประลองนี้จะใหญ่เอาเสียมาก ๆ จนเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเสียงเล็ดลอดออกมาได้ แต่ด้วยความสามารถในการอ่านปากของเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับครั้งนี้
แต่นั่นก็ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกร้อนรนจนอยู่ไม่สุขไปด้วย ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนนี้สามารถสร้างสกิลของตนเองได้อย่างไร? ระหว่างหนึ่งเดือนที่เขาไม่ได้ออนไลน์นั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกยอดฝีมือกันแน่!
เมื่อมาคิดตามให้ดีแล้ว ทั้งไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวียล้วนแต่ก็เป็นผู้ครอบครองคลาสลับทั้งคู่ เป็นไปได้ไหมว่าการสร้างสกิลที่ว่านั่นก็เป็นหนึ่งในทักษะลับของคลาสเหล่านี้ด้วย?
หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าเซียวเฟิงเองก็มีโอกาสที่จะสร้างสกิลของตนเองได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งมาจากอุปกรณ์ สัตว์เลี้ยง หรือสกิลที่มีอยู่แล้วหรอกเหรอ?
ด้วยเหตุนี้ เซียวเฟิงจึงรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันที หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว เขาก็รีบโทรหาซางกวน อาโอเชินโดยไม่รอช้า
“มีอะไรเหรอ พี่ชาย?” ขณะนั้นซางกวน อาโอเชินอยู่ในที่นั่งคนดู ตัวเขาเองก็ไม่รอช้าที่จะรับสายนั้นทันที ในตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับการพ่ายแพ้ซีเหมินชุยเสวียก่อนหน้าแล้ว หากแต่การที่เซียวเฟิงโทรมานี้ก็ทำให้ชายหนุ่มแอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
“ฉันขอถามหน่อย นายพอรู้เกี่ยวกับการสร้างสกิลของตัวเองหรือเปล่า? มันเป็นภารกิจลับเหรอ? แล้วถ้าใช่…ฉันจะหา NPC ที่ให้ภารกิจนี้ได้จากที่ไหน?” ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เซียวเฟิงก็ยิงคำถามทันที
“สกิลที่สร้างเองเหรอ? อ๋อ นั่นไม่ใช่ภารกิจหรอกพี่ชาย มันคือ การที่ความเข้าใจของผู้เล่นล้วน ๆ อย่างถ้าพี่ชายเข้าใจการผสมผสานอะไรสักอย่างในเกม และระบบเห็นว่าพี่ชายเข้าใจมันจริง ๆ สิ่งนั้นจะถูกระบบจัดให้เป็นสกิลของพี่ชายไป” ซางกวน อาโอเชินอธิบาย
“ทำไมนายถึงดูเข้าใจไอ้ระบบที่ว่านี่ขนาดนั้นน่ะ? หรือว่านายเองก็มีสกิลที่สร้างเองด้วยเหมือนกัน?” ด้วยความสงสัย เซียวเฟิงถามกลับ
“ใช่แล้ว ฉันได้สกิลติดตัวมา เป็นสกิลดาบสองมือ เพราะก่อนหน้านี้ฉันใช้แต่ดาบสองมือมาตลอดเลย หลังจากที่ใช้จนชำนาญเป็นเวลานาน ระบบก็เลยยกให้ทักษะนี้กลายเป็นสกิลติดตัวไป ส่วนเอฟเฟกต์คือ เมื่อไหร่ที่ฉันใช้ดาบสำหรับมือเดียวสองเล่ม ฉันก็จะสามารถใช้สกิลดาบจากทั้งสองมือได้พร้อม ๆ กันยังไงล่ะ”
“…”
เมื่อรู้ว่าซางกวน อาโอเชินเองก็มีสกิลที่ว่านั้นด้วย เซียวเฟิงก็ถึงกับพูดไม่ออกเลย
“เป็นอะไรไปเหรอพี่ชาย? พี่เองก็สร้างสกิลด้วยตัวเองได้แล้วใช่ไหมล่ะ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่ามันเป็นยังไง! เป็นสกิลที่แข็งแกร่งขนาดไหน?” ซางกวน อาโอเชินที่ไม่ได้ยินเซียวเฟิงพูดอะไรต่อก็เป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
“หุบปากไปเลยไป” เซียวเฟิงหงุดหงิดเสียแล้ว
“อ๊ะ อย่าเพิ่งวางนะพี่ชาย ฉันมีอะไรจะถามนิดหน่อย” ก่อนที่จะโดนตัดสาย เด็กหนุ่มก็รีบยื้อไว้ก่อน
“อะไรน่ะ?” เซียวเฟิงชะงักมือไว้และถามด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ ลูกพี่ลูกน้องของฉันอยู่กับพี่ชายหรือเปล่า?” ภายในน้ำเสียงนั้น มีความลังเลอยู่ระดับหนึ่งขณะที่ถามออกมา
แกร๊ก!
แทนคำตอบ เซียวเฟิงตัดสายทิ้งโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะก่อนหน้าจะกลับเข้ามาในเกม เขาเพิ่งจะจัดการให้จืออี้หมดแรงและผล็อยหลับไปได้
ขณะเดียวกันนั้นเอง บนสนามประลอง ซีเหมินชุยเสวียก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง แต่ครั้นจะให้เรียกว่าเคลื่อนที่ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว ร่างของเขามันหายวับไปเลย
แต่เดิมแล้วร่างของซีเหมินชุยเสวียกำลังตั้งท่าถือดาบข้างเดียวอยู่มุมหนึ่งของสนามประลอง ทว่าเมื่อเขาค่อย ๆ หลับตาลง ร่างของเขาก็หายไปราวกับสายลมได้พัดกายหยาบของเขาไปแล้ว
สีหน้าของไทแรนนี่ดูจริงจังมากขึ้น เขากวาดตามองไปซ้ายทีขวาที แต่แล้วจู่ ๆ ประสาทการรับรู้ที่เหนือมนุษย์ของเขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง มันสั่งให้เขารีบแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าทันที!
ทางเซียวเฟิงเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาเพิ่งจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเหนือสนามประลองก่อนไทแรนนี่จะรู้สึกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสิ่งที่อยู่บนนั้นก็ทำให้แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
บริเวณฟากฟ้ากลางสนามประลอง หมู่เมฆถูกทำให้แหวกออกพร้อมกับแสงแพรวพราวที่เปล่งประกายออกมาจากคมดาบ เช่นเดียวกันนั้นเอง ร่างของซีเหมินชุยเสวียก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า เขาเป็นผู้ใช้ดาบที่กำลังเปล่งแสงเล่มนั้น และกำลังพุ่งดิ่งลงมายังพื้นเบื้องล่าง!
“คมดาบเทพทะยานฟ้างั้นเหรอ?”
ไทแรนนี่พูดชื่อนั้นออกมาด้วยความตกใจ แต่เวลาสำหรับเขานั้นมีไม่มาก เพราะปลายดาบนั้นมันมีเป้าหมายเป็นตนแน่ ๆ ดังนั้นเขาเองก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน
ตึง!
จากบนฟากฟ้า ซีเหมินชุยเสวียเห็นไทแรนนี่หยั่งเท้าลงไปบนพื้นสนามอย่างรุนแรงจนทำให้กลางสนามประลองเกิดแตกร้าวขึ้นมา ความเสียหายนั้นไม่หยุดเพียงแค่นั้น มันแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างราวกับเชื้อร้ายที่กัดกินบนพื้นสนาม
“เข้ามาเลย!”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งร่างของไทแรนนี่ก็เกิดแสงสีทองส่องประกายออกมา แสงนั้นค่อย ๆ เคลื่อนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ!
แสงทองเรืองรองนั้น มีรูปร่างเหมือนขุนเขาที่ยกฐานใส่ซีเหมินชุยเสวีย ทว่าเมื่อมองดี ๆ ก็จะพบว่า แท้จริงแล้วมันคือ แสงที่เกิดจากการรัวหมัดด้วยจำนวนที่นับไม่ถ้วนของไทแรนนี่เพื่อปะทะเข้ากับซีเหมินชุยเสวียที่อยู่บนท้องฟ้านั้น!
ตู้ม!
ขุนเขาสีทองและคมดาบส่องประกายเข้าปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการระเบิดรุนแรงขึ้น แสงสว่างจ้าปกคลุมไปทั่วทุกสิ่ง และเมื่อแสงแสบตานั้นมลายหายไป บนสนามประลองก็เหลือแต่ความสงบเท่านั้น มีเพียงไทแรนนี่ที่ยังยืนหยัดได้ ส่วนซีเหมินชุยเสวียนั้นไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้ว เพียงไม่นานร่างของเขาก็หายจากสนามไป