ทันทีที่ลูเซียนกลับเข้ามาในปราสาทของบารอน เขาก็เห็นโจแอนนาเดินมาตามระเบียงพร้อมกับดาบใหญ่ในมือทั้งสองข้าง

“ลอร์ดอีวานส์ หุ่นเชิดศพทั้งหมดในปราสาทสิ้นการควบคุมหลังจากที่ท่านสังหารนักเวทศาสตร์มืดลง แต่เราจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” โจแอนนาก้มหน้าลงเล็กน้อยและมองมาด้วยสายตาเคารพนับถือ

ในใจนาง นอกเหนือจากความหวาดเกรงและความชื่นชมต่อความแข็งแกร่งของอัศวินลูเซียนแล้ว ยังมีความไม่พอใจแฝงอยู่อีกด้วย เขาเป็นพาลาดินที่แข็งแกร่งแต่กลับว่าจ้างทหารรับจ้าง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะผู้อื่นสับสน และปกปิดการเดินทางมาตรวจสอบการกระทำของบารอนฮาเบโรกับนักเวทศาสตร์มืด แต่การทำเช่นนี้ ทั้งนาง สามี และน้องสาวจำต้องข้องเกี่ยวในการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ และพวกนางก็เกือบจะถูกนกฮูกน่าเกลียดน่ากลัวตัวนั้นสังหารเข้าแล้ว

ลูเซียนมองไปรอบๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ยังมีผู้ที่มีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่อีกหรือไม่ แล้วไซม่อน เบ็ตตี้ ไวส์ กับมาร์สเล่า”

โจแอนนาหาใช่เด็กสาวเหมือนกับเบ็ตตี้ แต่ถึงแม้ว่านางจะมีเป็นผู้ใหญ่มากพอ นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจกับคำถามของอัศวินพาลาดินผู้นี้อย่างมาก “ยกเว้นท่านมาร์สแล้วก็ไม่มีผู้มีชีวิตอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้อีกแล้ว หุ่นเชิดศพพวกนั้นถูกนักเวทศาสตร์มืดสร้างขึ้นมาทั้งหมด ไซม่อนพบว่าเกิดการจลาจลในเมืองสายหมอก จึงรีบออกไปจัดการ เป็นไปได้ว่าหุ่นเชิดศพบางตัวอาจหลบหนีออกไปได้น่ะเจ้าค่ะ ส่วนท่านไวส์กับท่านมาร์สซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของมาตลอด ไม่กล้าออกมา และเบ็ตตี้ก็กำลังอาเจียนอยู่ในห้องน้ำเจ้าค่ะ”

“อาเจียนงั้นหรือ” ลูเซียนกระชับอุปกรณ์ในการร่ายคาถาในมือซ้ายแน่นขึ้น

ใบหน้างดงามของโจแอนนาเองก็ฉายชัดถึงความขยะแขยง “ก่อนที่เราจะไปจัดการกับหุ่นเชิดศพ เบ็ตตี้ไปเจอวัตถุดิบสำหรับมื้อค่ำที่เรากำลังจะได้กินในห้องครัว ทั้งหมดนั้นเป็นเนื้อมนุษย์ที่ผุกร่อนเน่าเหม็น ทั้งยังมีลูกตา ลิ้น นิ้วมือที่หนอนแมลงชอนไชอยู่เต็ม…”

ขณะบอกเล่า นางก็แทบจะอาเจียนออกมา ภาพที่เห็นในยามนั้นคงจะเหลือรับจริงๆ

ลูเซียนพยักหน้า ดูเหมือนว่าบารอนจะเตรียมใช้พิษจากซากศพในอาหารเพื่อจะได้จัดการกับเขาได้ง่ายขึ้น แต่พอไคลินเสียชีวิต วัตถุดิบทั้งหมดจึงไม่อาจคงสภาพดูดีได้อีกต่อไป “โจแอนนา เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านลอร์ดหรอก เรียกข้าว่าท่านอีวานส์ก็พอ ข้าไม่ได้มียศหรือตำแหน่งอะไรหรอก”

โจแอนนาเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงงเล็กน้อยและบังเอิญมองสบกับดวงตาลึกล้ำทรงเสน่ห์ของลูเซียนพอดี ทันใดนั้นนางก็เหมือนหลุดเข้าไปสู่ท้องนภาเต็มไปด้วยดวงดารางดงามราวภาพฝัน และไม่อาจเอาตัวเองออกมาจากที่แห่งนั้นได้ ดวงตาของนางค่อยๆ พร่าเลือนและเริ่มฉายแววเคารพชื่นชม “เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”

ลูเซียนค่อยๆ ถามนางเพื่อตรวจสอบความทรงจำเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ และหลังจากพบว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงใช้การสะกดจิตเพื่อเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อยโดยไม่ทำให้ความทรงจำของโจแอนนามีผลสะท้อนกลับ

“ข้าไม่เป็นอะไร โจแอนนา เจ้าไปในเมืองสายหมอกเพื่อช่วยไซม่อนรับมือเถิด อย่าปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายเพียงผู้เดียว” ลูเซียนยกเลิกการใช้ ‘เวทลวงใจคน’

โจแอนนาพลันได้สติ สองแก้มนวลแดงก่ำ เพราะเมื่อครู่นี้นางเพิ่งจะเหม่อลอยเพราะท่านอีวานส์ นางคิดว่าเขาช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือร้าย ซึ่งเป็นเรื่องน่าอายยิ่งนัก ทำตัวเป็นเด็กสาวไปได้! ทว่า ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอีวานส์ ใบหน้าดูดีหล่อเหลา การพูดจาที่สง่างาม และท่าทางแสนนุ่มนวลสุภาพนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงทุกคนจะคิดว่าเขาน่าดึงดูดใจ ตราบใดที่เขายังรักษานิสัยแสนดีเช่นนี้ต่อไป

“ท่านอีวานส์ ข้าจะรีบไปที่เมืองสายหมอกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว จึงรีบจ้ำพรวดๆ ออกไปจากปราสาท

ลูเซียนเฝ้ามองโจแอนนาจากไป จากนั้นจึงหันกลับมามองหาโอกาสเพื่อจัดการกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในความทรงจำของเบ็ตตี้ ไวส์ และมาร์ส รวมถึงลบร่องรอยการต่อสู่ด้วยเวทมนตร์ในห้องของบารอนด้วย

ท่ามกลางแสงเทียนที่โบกไสวอยู่ในห้องนั่งเล่น ลูเซียนมองไปที่ไซม่อน โจแอนนา และเบ็ตตี้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ช่วยให้เมืองสายหมอกกลับมาเป็นระเบียบอีกครั้ง และขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยข้าระหว่างการต่อสู้ พวกเจ้ารับหนึ่งในสิบของสมบัติในปราสาทบารอนฮาเบโรไปได้เลย ตามที่ตกลงกันในสัญญา ส่วนข้าจะรับไปหนึ่งในสาม ที่เหลือจะตกเป็นของไวเคานต์สแตนลีย์และโบสถ์ อย่าลืมลงกลอนให้เรียบร้อยเล่า อย่าเปิดโอกาสให้โจรเข้ามาขโมยได้”

ลูเซียนยังอยากจะคงสถานะด้านดีๆ ของตนเอาไว้ในตอนนี้ เพื่อไม่ให้ทางศาสนจักรและขุนนางนึกสงสัยอะไร เขาจึงไม่ได้ขนเอาสมบัติของบารอนฮาเรโบไปทั้งหมด แต่เลือกที่จะจัดการเรื่องนี้เหมือนกับผู้บังเอิญผ่านทางมา

ความจริงแล้ว สมบัติของบารอนฮาเบโรนั้นไม่ได้มีมากมาย สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือปราสาทหลังนี้กับอาณาเขตภายใต้การปกครองของเขา เงินสดถูกใช้ไปมากเพราะเขาต้องการซื้อทารกและเด็กๆ รักษาชีวิตแสนหรูหรา และสร้างสายสัมพันธ์ เพื่อไม่ให้บิชอปและบาทหลวงในเมืองคอร์โซค้นพบว่ามีบางอย่างผิดปกติในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองสายหมอก ดังนั้นเงินสดจึงเหลือเพียงหกสิบธาเล และมีดาบวิเศษระดับสองประจำตระกูลที่ชื่อ ‘ดาบหินยักษ์’ อีกอย่างหนึ่ง

ขุนนางทางตอนกลางและทางตอนใต้ของทวีปแทบจะมีอุปกรณ์เวทมนตร์ไว้ในครอบครองได้เพียงหนึ่งหรือสองชิ้น ยกเว้นก็แต่ผู้ที่อยู่ระดับสูงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แตกต่างจากขุนนางที่มียศตำแหน่งในเมืองอัลโต้ ดังนั้นชื่อที่เรียกว่าดินแดนแห้งแล้งที่สุดทางตอนกลางนับเป็นชื่อที่เหมาะสมแล้ว

และเกราะวิเศษชุดเดียวที่บารอนฮาเบโรมีก็ยกให้ฮันต์ไปแล้ว จากนั้นฮันต์ก็นำไปจำนองเพื่อหาเงินไปซื้อวัตถุดิบ

“เราสามารถรับยี่สิบธาเลได้จริงๆ หรือขอรับ” ไซม่อนที่เป็นคนเฉลียวฉลาดและมั่นคงมาตลอดยังอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะหนึ่งในสิบของสมบัติทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพียงจะได้รับเงินมาหนึ่งในสิบ แต่ยังรวมถึงดาบยาววิเศษด้วย มีเพียงสิ่งที่เป็นของตำแหน่งขุนนางอย่างปราสาท และเขตการปกครองเท่านั้นที่ไม่นับรวม

จากความรู้ทั่วไปที่ลูเซียนได้ฟังมาจากเจ้าหญิงนาตาซา ในเมืองอัลโต้ ของวิเศษระดับฝึกหัดนั้นอาจมีราคาราวๆ สิบธาเล และของวิเศษระดับต่ำ (ระดับหนึ่งและสอง) มีค่านับร้อยๆ ธาเล ของวิเศษระดับกลาง (ระดับสาม สี่ และห้า) มีค่าหลายพันถึงหลายหมื่นธาเล ส่วนของวิเศษที่มีระดับสูงกว่านั้นแทบจะคำนวณมูลค่าไม่ได้เลย คงต้องแลกด้วยวัตถุดิบหายาก ของวิเศษอื่นๆ อาณาเขตการปกครอง ท่าเรือ เมือง ยา ความรู้ และอื่นๆ อีกมากมายเป็นแน่

แต่ทว่า ของวิเศษมักประเมินค่าไม่ได้และหาได้ยาก เพราะไม่เพียงจะมีน้อย แต่หากไม่ได้อยู่ในวงสังคมนักเวท หรือขุนนาง ต่อให้มีเหรียญธาเลมากมายก็มิอาจซื้อได้ หากไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงนาตาซารู้ถึงพลังและความสามารถด้านอัศวินของลูเซียน พระองค์ก็คงไม่บอกเรื่องพวกนี้ให้เขารู้ ยกตัวอย่าง เช่น รายได้ของวิกเตอร์แต่ก่อนอยู่ที่ราวๆ หนึ่งร้อยธาเล แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาของวิเศษมาครอบครองได้เลยสักชิ้น

“ดาบใหญ่ที่ต้องจับด้วยสองมือเล่มนี้เป็นดาบวิเศษระดับสอง มันสามารถเพิ่มพลังของผู้ใช้ให้ใกล้กับอัศวินระดับสาม และสามารถบดขยี้ศัตรูได้เหมือนหินก้อนยักษ์ แม้ว่ามันจะต้องการพลังในระดับหนึ่งเพื่อให้ใช้มันได้ แต่มูลค่าของมันก็อยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบธาเล ถือว่าไม่ได้สูงมาก” แต่แรก ลูเซียนอยากจะริบดาบนี้ไปแทนเงินที่ควรจะได้ แต่ระดับพลังของเขามีไม่มากพอจะยกมันขึ้น เขาจึงจำต้องยอมแพ้

ขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนก็คิดคร่ำครวญในใจว่าดีที่เขาไม่เปิดโอกาสให้บารอนฮาเบโรไปหยิบ ‘ดาบหินยักษ์’ มา ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงย่ำแย่กว่านี้มาก

เมื่อไซม่อน โจแอนนา และเบ็ตตี้ได้ยินคำพูดของลูเซียน พวกเขาก็ก้มลงกองเหรียญทองบนโต๊ะด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าพวกเขาจะรับทำงานว่าจ้างเป็นประจำทุกวัน และไม่กินดื่มอย่างสิ้นเปลือง พวกเขาก็ยังเก็บได้เพียงสิบธาเลต่อปีเท่านั้น หากพวกเขาต้องการจะเก็บเงินให้ได้ยี่สิบธาเลจริงๆ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องออกผจญภัยอย่างหนักหน่วงเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสี่หรือห้าปีทีเดียว

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์ จริงๆ แล้วเราแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” โจแอนนากล่าวอย่างนอบน้อมเกรงใจในทีแรก แต่แล้วก็เกรงว่าลูเซียนจะเปลี่ยนใจ “แต่เราต่างก็ต้องการเงินเพื่อรับการฝึกฝนเป็นอัศวิน โดยเฉพาะเบ็ตตี้ที่จะรอช้าไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นเราจะขอรับไปแบบไม่อายนะเจ้าคะ”

ลูเซียนมองทั้งสามเก็บเหรียญทองลงในถุงเงิน แล้วยิ้มให้ “ก่อนที่เราจะไปถึงเมืองคอร์โซ ข้าจะช่วยแนะเบ็ตตี้ให้ฝึกแบบฉบับอัศวินแล้วกัน หึๆ ลูกธนูก่อนหน้านี้มันตรงเกินไป พวกเจ้าจะฝึกตามด้วยก็ได้นะ”

ในทางหนึ่ง ลูเซียนทำไปเพื่อตอบแทน แต่อีกทางหนึ่งนั้น เผื่อว่าเวลาทางศาสนจักรมาสอบถามพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถสอนวิธีการฝึกฝนแบบฉบับอัศวินได้อาจช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริงเขา

“จริงหรือเจ้าคะ” ใบหน้าของเบ็ตตี้เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ นั่นก็เพราะว่าเมืองคอร์โซสั่งให้ผู้ที่อยากเป็นอัศวินไปฝึกฝนกับเหล่าขุนนางที่ใช้เงินจนใกล้จะหมดตัว และตอนนี้พวกเขาก็ยังปลุกพรในสายเลือดขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นคำชี้แนะจากอัศวินพาลาดินผู้แข็งแกร่งอย่างท่านอีวานส์จึงมีค่าเทียบเท่ากัน

โจแอนนาและไซม่อนเองก็กล่าวขอบคุณเขา “ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ลอร์ดอีวานส์!”

ลูเซียนโบกมือปฏิเสธ “ข้าหาใช่พาลาดินหรือชนชั้นสูงอะไร เพียงเคยรับใช้เบื้องยุคลบาทเจ้าฟ้าหญิง เพราะบนตัวข้ามีของวิเศษและอุปกรณ์เวทมนตร์มากมายต่างหากเล่า และดูเหมือนว่ามันจะทรงพลังยิ่ง อย่านำเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนเล่า”

ก่อนที่โจแอนนาจะตอบอะไร ลูเซียนก็เอ่ยขึ้น “อ้อใช่ ข้าโดนน้ำกรดและไอวิญญาณของนักเวทศาสตร์มืดกัดกร่อน บาดแผลร้ายแรงไม่น้อย คืนนี้ข้าจึงจำเป็นต้องพักผ่อนเงียบๆ เพื่อฟื้นตัว กรุณาอย่ารบกวนข้า และเพราะบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าจึงรีบเร่งไปที่เมืองหมาป่าเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทางโบสถ์ทราบล่วงหน้าไม่ได้ ข้าจึงทำได้เพียงขอร้องให้พวกเจ้าเฝ้ายามตอนกลางคืนให้ดี แล้วพรุ่งนี้เช้า เราทุกคนจะเดินทางไปเมืองหมาป่าด้วยกัน”

เมืองหมาป่าคือเมืองถัดไปบนเส้นทางนี้ และยังอยู่ในเขตการปกครองของบารอนฮาเบโร แต่บาทหลวงฝึกหัดในโบสถ์ประจำเมืองนั้นคงจะยังไม่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดศพ

“รับทราบ” ด้วยเพิ่งได้รับรางวัลเป็นเงินก้อนใหญ่ และมีสัญญาว่าจะได้รับการฝึกฝนแบบฉบับอัศวินจริงๆ ไซม่อน โจแอนนา และเบ็ตตี้จึงไม่หลงเหลือความไม่พอใจอันใดอีก พวกเขาต่างตอบรับอย่างพร้อมเพรียงด้วยความตื่นเต้นและสุขใจ

เมื่อยามราตรีมาเยือน ปราสาทที่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนจึงเงียบสงัด และยิ่งดูลึกลับมืดมนน่าหวาดกลัว

ลูเซียนนอนนิ่งอยู่ในห้องนอน พลางใช้นิ้วเขี่ยจดหมายเชิญที่ฮันต์ได้รับไปมา บาดแผลจากการถูกกัดกร่อนที่เขาใช้อ้างก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องโกหก เหตุผลแท้จริงคือเขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอีกหนึ่งอย่าง

หลังจากเหลือบมองจดหมายเชิญในมืออีกครั้ง ลูเซียนก็ค่อยๆ เปรียบเทียบมันกับจดหมายอีกฉบับในห้องสมุดห้วงจิต

‘ใช้ถ้อยคำเหมือนกัน ไม่มีชื่อจ่าหน้ากับลายเซ็นเหมือนกัน แต่จดหมายเชิญสองฉบับนี้มีสัญลักษณ์แตกต่างกัน อันหนึ่งเป็นดาวหกแฉกสีดำ ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ รูปต้นไม้แห่งชีวิตแบบกลับหัว ซึ่งดูเหมือนว่าจะตรงกับศาสตร์ของผู้รับ’

‘อืม คงต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ งานฉลองความตายของเหล่านักเวทย่อมต้องป้องกันไม่ให้ทางศาสนจักรส่งตัวปลอมไปเข้าร่วม จดหมายเชิญจะส่งให้กับนักเวทที่ได้รับการยืนยันตัวตนและไร้ปัญหาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องคล้ายๆ กันนี้ขึ้น สัญลักษณ์รูปต้นไม้แห่งชีวิตแบบกลับหัวนี่คือตัวแทนของฮันต์ ส่วนดาวหกแฉกสีดำเป็นตัวแทนของนักเวทฝึกหัด เมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้ใช้จดหมายที่มีสัญลักษณ์ไม่ตรงกับตัวตนของพวกเขา นั่นหมายความว่ามันถูกขโมยมาจากเจ้าของที่แท้จริง’

‘ดูจากความคิดแสนชั่วร้ายของนักเวทพวกนี้แล้ว พวกเขาคงป้องกันความเสี่ยงจากการถูกคนของศาสนจักรจับตัวไปไต่สวนเอาข้อมูลกับสถานที่ชุมนุมแน่นอน

‘ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปเข้าร่วมได้อย่างไรกัน’

ความจริงแล้วลูเซียนมีแผนการอยู่ในใจ แต่เขาว่ามันเสี่ยงมากและตัดสินใจได้ยาก

‘หลังจากเรื่องของฮันต์แพร่ออกไป งานฉลองความตายจะต้องเปลี่ยนเวลาและสถานที่แน่ๆ ถึงอย่างไร เขาก็ได้รับเชิญในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิแห่งศาสตร์มืด’

‘การติดต่อกับนักเวทในท้องถิ่นคงทำได้ยาก เว้นแต่ว่าข้าจะอยู่นานกว่านี้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลากับสถานที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า การอยู่ต่อนานๆ หมายความว่าข้าจะพลาดงานนี้ และมันก็จะไร้ความหมายในทันที’

‘คงต้องลองเสี่ยงกันสักตั้ง!’

ลูเซียนหยิบลูกแก้วคริสตัลแสงอรุณออกมาแล้วเริ่มทำนายโชคชะตา

ผลจากการทำนายคือ ‘โชคชะตาคลุมเครือ’ และมันก็พร่าเลือนอย่างยิ่ง ลูเซียนจึงส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่เขาก็ยังเปิดกระเป๋าหิ้ว หยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวม เปิดหน้าต่าง แล้วลอบออกไปอย่างเงียบงัน

แม้ว่าเมืองสายหมอกจะอยู่ห่างจากเมืองคอร์โซราวเจ็ดวัน หากเดินทางผ่านภูเขาแสนขรุขระ แต่ลูเซียนใช้เวลาเพียงสองหรือสามชั่วโมงในการข้ามภูเขา หน้าผา และป่าด้วยความเร็วระดับอัศวินผู้หนึ่ง และตอนนี้เขาก็พร้อมจะไปเยี่ยมเยือนปราสาทคาเรนเดียในยามราตรีแล้ว!

……………………………………….