ใกล้ๆ ทะเลสาบที่ส่องแสงเป็นประกาย มีปราสาทโบราณที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดโดยมีหน้าผาอยู่เบื้องหลัง ยอดแหลมของมันสูงเสียดฟ้า เป็นภาพที่ดูเหมือนต้นไม้เก่าแก่ในป่ามืด

ลูเซียนที่อยู่หลังหินก้อนใหญ่ในระยะไกลกำลังเฝ้ามองปราสาทคาเรนเดียที่เห็นได้ชัดว่าเป็นสถาปัตยกรรมจากยุคมืด เขาสูดหายใจเข้าลึก ขยับแหวน ‘หนี้แค้นเหมันต์’ มาสวมบนนิ้วนางข้างซ้าย แล้วสวม ‘แหวนรางวัลยอดมงกุฎแห่งโฮล์ม’ ที่มีสัญลักษณ์ ‘โม’ ที่ได้รับมาจากเจ้าหญิงนาตาซา เขาสวมแหวนวงนี้บนนิ้วชี้ข้างซ้าย ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนกว่า แต่เขากลับหมุนหน้าแหวนที่มีสัญลักษณ์ ‘โม’ เข้าหาตัว

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่อาจหยั่งรู้ และอาจต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของปราสาทลึกลับน่าหวาดหวั่นนี้กับนักเวทศาสตร์มืดจากสภาเวทมนตร์แห่งทวีป ลูเซียนจึงต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องตนเอง

หลังจากตั้งสมาธิพร้อมร่ายคาถาทุกเมื่อและจิตใจสงบเยือกเย็นลงประดุจน้ำแข็งและหิมะ ลูเซียนก็ก้าวออกมาจากหลังหินก้อนใหญ่และเดินตรงไปยังปราสาทคาเรนเดีย

สายลมเย็นในเดือนหกช่วยขับไล่ไอร้อนยามกลางวันออกไป บริเวณนั้นเงียบงัน มีเพียงเสียงแมลงร้องขึ้นเป็นพักๆ และลูเซียนก็เดินตรงไปยังประตูปราสาทได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น

เขายื่นมือออกไปอย่างนิ่งสงบ กำนิ้วเขาด้วยกัน แล้วเคาะบนบานประตูที่ทำจากไม้เนื้อหนาเป็นจังหวะ

หลังจากที่เคาะเก้าครั้งเป็นลำดับสามรอบ ลูเซียนก็หยุดมือ และเฝ้ารออยู่เงียบๆ

หลังจากนั้นประมาณสองหรือสามนาที ประตูปราสาทก็แง้มเปิดออก ลูเซียนได้ยินเสียงเสียดสีของไม้กับพื้นดังเอี๊ยดอ๊าด

ประตูบานนี้ดูเหมือนจะต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงสักสองสามคนในการเปิด แต่ชายชราผมสีน้ำตาลอ่อนสวมหมวกกับชุดสูทสีดำและเชิ้ตขาวผู้หนึ่งกลับเปิดมันได้ ทุกท่วงท่าของเขาเต็มไปด้วยมารยาทแบบชนชั้นสูง ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามด้วยภาษากลางของทวีป “ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาที่ปราสาทคาเรนเดียเช่นนั้นหรือ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลงมือทำอะไร แผนการเขาจึงสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ลูเซียนยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านขอรับ ข้าเป็นนักเวทที่เดินทางผ่านเขตการปกครองแห่งจิบูตี…”

พูดถึงตรงนี้ ลูเซียนก็ชะงัก แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพ่อบ้านยังคงจริงจังเหมือนเดิม จึงพูดต่อ “ข้าได้พบกับกลุ่มโจรในป่าของเมืองเขี้ยวมังกร พวกมันพยายามจะปล้นข้า แต่ข้าสามารถสังหารพวกมันได้ แต่แล้วข้าก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบจดหมายเชิญบนตัวโจรผู้หนึ่ง มันเป็นจดหมายจากผู้ที่มาจากสำนักงานใหญ่ของสภาเวทมนตร์แห่งทวีป เชื้อเชิญนักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดจากเขตการปกครองเก่าของท่านวิลเฟรดให้มาร่วม ‘งานฉลองความตาย’”

“ข้าคิดว่าคงจะเป็นนักเวทฝึกหัดผู้โชคร้ายที่ถูกโจรสังหารและพบจดหมายฉบับนี้ โชคดีที่พวกมันไม่รู้หนังสือ แต่ตัวข้าสนใจ ‘งานฉลองความตาย’ ยิ่งนัก ข้าจึงเดินทางมาตามสถานที่ที่ระบุไว้ในจดหมายเชิญของนักเวทฝึกหัดผู้นี้ และมาเยี่ยมเยียนปราสาทคาเรนเดียโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ”

“ท่านผู้มาเยือน สัญลักษณ์บนจดหมายเชิญคืออะไรหรือ” สีหน้าของพ่อบ้านชราไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ราวกับว่าลูเซียนนั้นหาใช่นักเวทผู้ชั่วร้ายน่าหวาดกลัว แต่เป็นเพียงพ่อค้าหรือนักเดินทางทั่วๆ ไปเท่านั้น

แม้ว่าพ่อบ้านชราจะมองไม่เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกคลุมสีดำ แต่ลูเซียนก็ยังคงแย้มยิ้มปะเหลาะเอาใจ “เป็นรูปดาวหกแฉกสีดำขอรับ”

พ่อบ้านชราพยักหน้านิดๆ “ท่านผู้มาเยือน ข้าขอตัวไปรายงานนายท่านสักครู่”

ในมือเขาถือเชิงเทียนสีขาวอยู่ แล้วชายชราก็หันหลังเดินเข้าไปในความมืดภายในปราสาท จะเห็นก็แต่แสงสีเหลืองรำไรเท่านั้น

ลูเซียนรออยู่ตรงจุดเดิม ไม่ได้ก้าวเท้าไปไหน

พ่อบ้านชราดูเหมือนจะเดินอย่างเชื่องช้า แต่ไม่นานหลังจากที่เงาร่างของเขาหายลับไปในความมืด แสงเทียนสลัวก็ลุกติดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินช้าๆ มาตรงหน้าลูเซียน

“ท่านผู้มาเยือนช่างมารยาทดีและให้เกียรติแก่ผู้อื่น” พ่อบ้านชราหรี่ตาลงมองเท้าลูเซียนที่ไม่ได้ขยับไปไหนเลย “ไวเคานต์คาเรนเดีย เจ้านายของกระผมเชิญท่านไปพบที่ห้องทำงาน กรุณาตามกระผมมา และกรุณาตามมาติดๆ อย่าหลงเข้าไปในความมืดเล่า มันอันตรายขอรับ”

ลูเซียนยกมือซ้ายขึ้นทาบบนอกแล้วโค้งตัวเล็กน้อย “ขอบพระคุณท่านไวเคานต์ที่ไม่ถือสาข้าขอรับ”

พ่อบ้านชราไม่ตอบอะไร เพียงถือเชิงเทียนและหันกายออกเดินช้าๆ ลูเซียนจึงรีบตามไป

เมื่อออกห่างจากประตูปราสาท ความมืดทั้งสองฝั่งก็พลันเคลื่อนไหว แต่เมื่อลูเซียนหันไปมองอย่างระมัดระวัง มันก็กลับไปเป็นความมืดอันนิ่งสงบตามเดิม

ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัว สัญชาตญาณอันเฉียบคม และ ‘ดาบระวังภัย’ ของลูเซียนทำให้เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าความมืดรอบๆ นั้นที่แสงเทียนส่องไปไม่ถึง มีสิ่งที่อันตรายร้ายแรงซ่อนอยู่อย่างนับไม่ถ้วน

มวลความมืดดูเหมือนจะ ‘ขยับไหวเป็นปกติ’ เมื่อแสงเทียนส่องผ่าน ลูเซียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และเนื้อตัวเขาก็ตึงเครียดไปหมด

ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่จู่ๆ พ่อบ้านชราก็หยุดเดิน จากนั้นก็ผลักมือไปด้านหน้า แล้วประตูบานหนึ่งก็ค่อยๆ เปิดออก แสงสีเหลืองนวลส่องออกมา ความมืดทั้งหมดจึงจางหายไปบ้าง

“เชิญขอรับ ท่านผู้มาเยือน” พ่อบ้านชราโค้งตัวเล็กน้อย มือขวาของเขายื่นออกมาเป็นเชิงเชิญให้ลูเซียนเดินเข้าไปก่อน

ลูเซียนพยักหน้านิดๆ “ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อบ้าน” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องด้วยความนิ่งสงบและไร้ความลังเล

พรมผืนหนาสีเหลืองเข้ม ที่แขวนเสื้อคลุมแกะสลักทองคำ เชิงเทียนนับสิบติดกับผนังห้องทั้งสองด้าน โต๊ะไม้แดงแสนล้ำค่า ชั้นหนังสือ และของประดับตกแต่งแสนประณีตอีกมากมายแสดงชัดว่าเจ้าของห้องนั้นนิยมชมชอบความหรูหราอย่างยิ่ง

บนโซฟาหนังฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะไม้แดง มีชายผมบลอนด์ดวงตาสีทองในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับสูทสีแดงนั่งอยู่ เครื่องหน้าทุกอย่างของเขาชัดเจน ดูหล่อเหลาสมชายชาตรี

“สวัสดี ท่านนักเวท” ชายผมบลอนด์เอนกายนั่งพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้ยืนขึ้นกล่าวทักทาย พ่อบ้านชราที่เคร่งเรื่องมารยาทจึงรีบเดินตรงไปหาเขาแล้วกระซิบข้างหู “นายท่านขอรับ กรุณาปฏิบัติตามมารยาทชนชั้นสูงด้วยขอรับ”

ลูเซียนตอบกลับอย่างสุภาพ “สวัสดีขอรับ ท่านไวเคานต์คาเรนเดีย ขอบพระคุณที่ไม่ถือสาข้าที่มาเยี่ยมเยือนโดยพละการขอรับ”

ไวเคานต์คาเรนเดียหันไปหัวเราะขันกับพ่อบ้านชรา “พ่อบ้านนี้ เห็นไหมว่าท่านนักเวทไม่ถือสาที่ข้านั่ง เจ้าผ่อนคลายเสียบ้างเถิด”

“คงจะเป็นการดีหากท่านเอิร์ลอยู่ที่นี่ ท่านคือต้นแบบแห่งความสง่างามและสูงศักดิ์…” พ่อบ้านชราพึมพำ พลางยืดตัวยืนตรงอยู่ด้านหลังไวเคานต์คาเรนเดียก่อนจะหยุดพูดไป

ไวเคานต์คาเรนเดียเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “แต่ข้าแทบจะจำท่านปู่ไม่ได้เลย แล้วข้าจะไปเรียนรู้มารยาทจากท่านได้อย่างไรกันเล่า” จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางโซฟาอีกตัว “ท่านนักเวท เชิญนั่งก่อน ข้าได้รู้เรื่องของท่านแล้ว แต่ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านมิใช่ผู้พิทักษ์ราตรีจากทางศาสนจักรน่ะ พวกนั้นไม่เคยขาดแคลนนักเวทที่ยอมไปสวามิภักดิ์ด้วยหรอกนะ”

แม้ว่าเขาจะพูดถึงศาสนจักร แต่ท่าทางเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่ นิ้วมือขวาของเขาเคาะเป็นจังหวะอยู่บนที่วางแขน

ลูเซียนตอบด้วยคำตอบที่เขาเตรียมมาแล้ว “ข้ามีอีกนามว่า ‘ศาสตราจารย์’ ขอรับ”

“ศาสตราจารย์? ศาสตราจารย์ที่อยู่ในลำดับที่สามร้อยห้าสิบเก้าของรายนามชำระล้างเช่นนั้นหรือ?!” ท่าทางเกียจคร้านของไวเคานต์คาเรนเดียพลันมลายหายไปขณะถามอย่างเคร่งขรึม เนื่องจากทุกคนที่มีชื่ออยู่ในรายนามชำระล้างมักจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว ทั้งจอมเวทระดับสูง นักเวทระดับตำนาน พระคาร์ดินัลทางตอนเหนือ มังกรโบราณ บรรพบุรุษแวมไพร์ เจ้าชายมนุษย์หมาป่า ราชวงศ์แห่งมนุษย์ปลาคัวเทา และหัวหน้าลัทธินอกรีต ผู้ที่อยู่ลำดับต่ำสุดนั้นยังมีพลังเทียบเท่าอัศวินนภาอีกด้วย การที่ศาสตราจารย์สามารถมีชื่ออยู่ในรายนามนี้ได้ทั้งๆ ที่เป็นเพียงนักเวทระดับกลางก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขามีอะไรบางอย่างที่เหนือธรรมดา และอาจมีพลังเทียบเท่านักเวทระดับสูงก็เป็นได้

‘เขารู้จักจริงๆ ด้วย’ ลูเซียนถอนหายใจเล็กน้อย หากเป็นนักเวทฝึกหัดระดับต่ำ และแม้กระทั่งนักเวททั่วๆ ไปอาจไม่ค่อยรู้จักรายนามชำระล้างของทางศาสนจักร แต่หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีบรรดาศักดิ์และอำนาจ อย่างไวเคานต์คาเรนเดีย พวกเขาจะได้รับรายงานเกี่ยวกับ ‘ศาสตราจารย์’ โดยตรง ชื่อเขาถือว่าเป็นชื่อที่ใหม่มาก “ขอรับ ข้าคือศาสตราจารย์ เพิ่งเดินทางออกจากเมืองอัลโต้เพื่อกลับไปทางตะวันออกของทวีป”

ไวเคานต์คาเรนเดียมองลูเซียนจากบนลงล่าง แล้วทันใดนั้นดวงตาเขาก็ตรึงอยู่กับที่ เมื่อเห็นว่ามือขวาของลูเซียนลูบไล้แหวนบนนิ้วชี้ข้างซ้ายเบาๆ จากนั้นจึงค่อยๆ แย้มรอยยิ้มเกียจคร้านอีกครั้ง “โอ้ แม้แต่ข้ายังไม่มีชื่ออยู่ในรายนามชำระล้างของศาสนจักรเลย ท่านคงจะมีพลังเหนือธรรมดาเป็นแน่ ท่านศาสตราจารย์ แต่ท่านจะพิสูจน์อย่างไรว่าท่านคือศาสตราจารย์จริงๆ”

ลูเซียนเอนกายพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ แล้วตอบด้วยคำถาม “ท่านไวเคานต์อยากจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไรขอรับ”

ไวเคานต์คาเรนเดียพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่าท่านได้คิดค้นเวทมนตร์พิเศษที่สามารถทำลายบ้านและอาคารอื่นๆ ได้ทั้งหลัง แม้แต่ในสภาเวทมนตร์แห่งทวีปก็ยังไม่เคยพบเจอเวทมนตร์คล้ายกันนี้ ข้าจึงอยากจะขอให้ท่านศาสตราจารย์แสดงให้ข้าเห็น วิธีนี้จะพิสูจน์ตัวตนของท่านได้ดีที่สุด”

ลูเซียนยืนขึ้นแล้วชี้ไปทางไปที่พื้นห้องทำงาน “ที่นี่เลยหรือขอรับ”

“แล้วแต่ท่านเลย ท่านศาสตราจารย์” ไวเคานต์คาเรนเดียหรี่ตาลงพลางทิ้งตัวเอนหลัง

ลูเซียนเดินไปทางผนังฝั่งหนึ่ง ใช้เวลาคำนวณระดับความถี่สักพักก็ทาบมือทั้งสองข้างกับผนัง จากนั้นจึงอ้าปากกรีดเสียงร้องอย่างเงียบงัน

คลื่นความถี่ถูกส่งเข้าสู้ตัวปราสาทผ่านทางมือของลูเซียน และแรงสั่นสะเทือนก็สะท้อนกลับมาหาเขา ตอนนั้นเองที่ลูเซียนปรับคลื่นความถี่ที่ผันผวนโดยยึดตามแรงคลื่นที่สะท้อนกลับมา

ใช้เวลาไม่นานปราสาทเก่าแก่ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นยังห่างไกลจากคำว่ารุนแรง เพียงให้ความรู้สึกเหมือนเรือที่ลอยอยู่บนทะเลสาบ

‘ปราสาทหลังนี้คงจะมีวงแหวนเวทมนตร์ทรงพลังอยู่เยอะมากแน่ๆ และแค่เวทฝ่ามือศาสตราจารย์เกริกก้องก็คงไม่ทำให้มันสั่นไหวรุนแรง’ ลูเซียนคาดเดา

ในตอนนั้นเองที่ไวเคานต์คาเรนเดียปรนมือ เขาปรบมือเบาๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก “เป็นเวทมนตร์พิเศษจริงๆ ด้วย การที่ท่านศาสตราจารย์ทำให้ปราสาทของข้าสั่นได้นั้นนับว่าเหลือเชื่อแล้ว”

ลูเซียนฉวยโอกาสนี้หยุดมือและหันกลับมาส่งยิ้มให้ “แบบนี้พิสูจน์ตัวตนของข้าได้หรือยังขอรับ”

“แน่นอน ข้ามั่นใจแล้วว่าท่านคือ ‘ศาสตราจารย์’ จริงๆ” ไวเคานต์คาเรนเดียส่งสัญญาณให้ลูเซียนกลับมานั่งพูดคุยกันอีกครั้ง “เวลาและสถานที่จัดงานฉลองความตาย ท่านศาสตราจารย์คงจะทราบแล้ว ข้าจะให้พ่อบ้านนี้ดเขียนจดหมายเชิญฉบับใหม่ให้ท่าน ท่านจะได้แวะมาร่วมงานได้ ฮ่าๆ แต่หากท่านยินดีเป็นแขกของปราสาทข้าจนถึงช่วงที่งานฉลองเริ่มขึ้น แบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีจดหมายเชิญใดๆ”

ลูเซียนส่ายศีรษะ “ขอบพระคุณท่านไวเคานต์สำหรับความเมตตาขอรับ แต่ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการก่อนจะมาร่วมงานได้ แต่หากว่าเวลาและสถานที่จัดงานเปลี่ยน ข้าจะทราบได้อย่างไรหรือขอรับ”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบของลูเซียน พ่อบ้านนี้ดก็ตรงไปที่โต๊ะทำงานไม้แดงเพื่อเตรียมจดหมายเชิญในทันที ในขณะที่ไวเคานต์คาเรนเดียกำลังครุ่นคิด “ข้าจะบอกท่านศาสตราจารย์ก็แล้วกันว่าเรามีสองที่ลับในท้องถิ่นที่มีไว้ใช้ทิ้งสัญลักษณ์ข้อความ หากว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็จะบอกไว้ที่นั่น”

จากนั้นเขาก็บอกลูเซียนถึงตำแหน่งสถานที่ลับในเมืองคอร์โซและความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขบขัน “ข้าจะตั้งตาคอยท่านนะ ท่านศาสตราจารย์ หากว่าท่านมาที่นี่ล่วงหน้าหนึ่งวันได้ ท่านจะได้พบกับท่านฟิลิปที่มาจากสภาเวทมนตร์แห่งทวีป พวกท่านจะได้พูดคุยกันนานหน่อย ท่านทั้งสองต่างเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง คงจะเข้ากันได้ดีไม่น้อย และข้าเองก็สนใจในความรู้เกี่ยวกับอาร์คานาและเวทมนตร์มากๆ”

“คนหนุ่มงั้นหรือขอรับ” ลูเซียนมองไปทางไวเคานต์คาเรนเดียด้วยความสงสัย

……………………………………….