จิ่งเหิงปัวถูกขัดคอจนเกือบสำลักอากาศ

 

 

“ผีน่ะสิถึงเสียดายเจ้า!” นางปิดประตูด้วยความเดือดดาล ออกไปบอกพวกหวังจิ้นว่า “พี่ใหญ่อิงไป๋เอ่ยว่า เขากับพี่สาวรวมทั้งคนที่เหลือ เดิมทีต้องพบกับสหายผู้หนึ่งที่เมืองซั่งหยวน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้เจอคนที่มารับ ซ้ำยังถูกคนซุ่มโจมตี พี่ใหญ่อิงไป๋กับพวกพี่สาวพลัดพรากกันระหว่างต่อสู้ ก็ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นอย่างไรบ้าง พวกเรารีบไปช่วยพวกนางเถิด”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว” หวังจิ้นพลันเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่ารา…ยามนี้พี่สาวเจ้านั้นน่าจะอยู่ที่ใด”

 

 

“ก่อนพลัดพรากกัน พี่ใหญ่อิงไป๋กับพวกพี่สาวนัดกันไว้ว่า พบกันที่เขาตานเหลิง” จิ่งเหิงปัวบอกที่ตั้งฐานที่มั่นลับของหอเงา

 

 

นางคิดไว้แล้ว นางต้องแฝงตัวอยู่กับคนกลุ่มนี้ถึงจะรู้สถานการณ์ของสำนักหลัวซา พรรคเลี่ยหั่ว และกลุ่มเยี่ยนปังได้ดียิ่งขึ้น โจมตีตอบโต้ในเวลาสำคัญได้ ฉะนั้นนางจะไปส่งท่านมู่กลับฐานที่มั่นไม่ได้ แต่เจ้าคนนี้เหมือนจะเกาะติดนาง ซ้ำยังเสนอเงื่อนไขที่ทำให้นางเปลี่ยนใจ ถ้านางอยากทั้งไม่ออกจากขบวนนี้ ทั้งส่งท่านมู่หนีการไล่ฆ่ากลับไปอย่างปลอดภัยได้ มีวิธีเดียวก็คือหลอกให้คนพวกนี้ออกแรง

 

 

เช่นนี้ นางทั้งได้สืบข่าว ทั้งได้ส่งท่านมู่ ซ้ำยังได้พวกหวังจิ้นกลุ่มนี้เป็นคนคุ้มกันฟรี…เพื่อรู้ที่อยู่ของ ‘ราชินี’ พวกเขาจะต้องพลีชีพคุ้มกันนางกับท่านมู่ไปหอเงา

 

 

อีกทั้งการไล่ฆ่าระหว่างทางของเหลยเซิงอวี่ผู้ทรยศหอเงาก็จะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดระหว่างพวกสำนักหลัวซาเป็นต้น เกิดเป็นการประจัญบานระหว่างสำนักในไต้เม่า ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างไร ไม่ว่าใครจะตาย เป็นประโยชน์ต่อนางทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวลองนับนิ้วดู พอใจกับตัวเองมาก…แผนดี นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสี่ห้าตัวแท้ๆ เลย

 

 

สติปัญญาของพี่เฉียบแหลมล้ำเลิศมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

 

ในห้อง ท่านมู่ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิมองประตูไม้ที่ถูกนางปิดสนิท ในแววตาก็มีรอยยิ้มปลื้มใจ

 

 

เปลวเพลิงโลหิตตลอดทาง กษัตริย์รู้ประจักษ์ เติบโตในที่สุด

 

 

 

 

พวกหวังจิ้นรีบร้อนยิ่งนัก เตรียมรถม้าจะเดินทางโดยพลัน พวกเขาต้องชิงตามหาและโน้มน้าวราชินีตัดหน้าทุกคน ข้างกายราชินีมียอดฝีมือเนืองแน่น ย่อมเป็นกำลังเสริมที่แสนแข็งแกร่งอยู่แล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวบอกพวกเขาว่า “อิงไป๋” บาดเจ็บถููกพิษ ระหว่างการหลบหนี พิษร้ายถูกขับสู่ร่างกายท่อนล่าง สูญเสียความสามารถในการเดินชั่วคราว พวกหวังจิ้นเคลื่อนไหวเร็วมาก หารถม้ามาทันที จิ่งเหิงปัวยังกำชับพวกเขาว่าอย่าลืมเอาเหล้ามาเยอะหน่อย อิงไป๋ชอบดื่มเหล้า ไม่มีเหล้ากิน โรคไบโพลาร์วัยทองก็จะกำเริบ

 

 

เดิมทีหวังจิ้นยังสงสัยเล็กน้อย ผลลัพธ์เห็นท่านมู่ฉวยโอกาสแสดงวิชากระบี่ ความสงสัยหายไปโดยพลัน…เพลงกระบี่บุปผาสวรรค์ในตำนานของอิงไป๋ วาดลวดลายอัศจรรย์ยิ่งนักในมือท่านมู่

 

 

จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มาก ทั้งที่นางแค่โพล่งปากกล่าวว่าอิงไป๋ ทำไมท่านมู่ก็บังเอิญใช้เพลงกระบี่ของเขาได้เสียอย่างนั้น ท่านมู่กลับเอ่ยว่าเขารู้จักอิงไป๋ แต่ก่อนเคยแลกเปลี่ยนกับเขา เรียนรู้กระบวนท่าหนึ่งของเขาเท่านั้น

 

 

หลายปีมานี้อิงไป๋เที่ยวท่องทั่วหล้า ดื่มจนเมาแล้วทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นมั่วซั่วก็หลายครั้ง เอ่ยเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

พวกหวังจิ้นเห็นนางคุ้นเคยกับคนข้างกายราชินีมากจริงๆ ก็เกรงใจนางขึ้นมาก เหล้าที่หามาให้เป็นเหล้าดี จิ่งเหิงปัวเททิ้งทั้งสิ้น ให้เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมบริเวณนี้เทน้ำส้มสายชูใส่ขวดทั้งหมด

 

 

นางคิดว่าท่านมู่คู่ควรดื่มแค่น้ำส้มสายชู

 

 

คนฝูงหนึ่งมัวแต่รีบเตรียมออกเดินทางอยู่ในลานบ้าน เพิ่งมีคนนึกได้ว่าลี่หันอวี่ยังไม่ตื่น จึงให้จิ่งเหิงปัวไปเรียกเขา จิ่งเหิงปัวเคาะประตูอยู่นาน ลี่หันอวี่เพิ่งออกมา ดูท่าทางกำลังหลับสนิทแต่ถูกปลุกให้ตื่น อารมณ์ไม่ดี เปิดประตูก็ด่าจิ่งเหิงปัวเต็มๆ “หญิงอัปลักษณ์! หลีกไป! ไปไกลๆ ข้าหน่อย!” ซ้ำยังเตรียมยกเท้าถีบ จิ่งเหิงปัวกะพริบออกไปแล้ว มือไพล่หลังเอียงศีรษะมองเขา…ทำไมไม่เจอกันคืนเดียว รอยช้ำบนใบหน้าเจ้าคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้หายไป ซ้ำยังหนักกว่าเดิม? ทั่วใบหน้าบวมจนเปล่งประกายเงาวาว ศีรษะใหญ่เท่ากระบุง

 

 

เช้าตรู่ลี่หันอวี่ไม่ทันได้ส่องกระจก ตนเองยังไม่รู้ แม้เขาถูกรบกวนยามหลับ แต่กลับมามีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเปล่งประกาย…เมื่อคืนพลิกไปพลิกมาอยู่นาน ใคร่ครวญความร่ำรวยเงินทองยศศักดิ์หลังจากตนเองกลายเป็นพระสวามี จนยามเช้าเพิ่งนอนหลับ ขณะนี้แม้ยังงัวเงีย นึกถึงการลอบพบกันเมื่อคืนก็พลันฮึกเหิมร้อยเท่า

 

 

เห็นจิ่งเหิงปัว เขานึกถึงฝ่ามือเมื่อวาน หลบไปฝั่งหนึ่ง เอ่ยอย่างเย็นชาอยู่ไกลๆ ว่า “หญิงขี้เหร่ คนชั่วช้า บัดนี้ยอมให้เจ้าลำพองใจไป หลังจากนี้เจ้าเจอดีแน่!”

 

 

เอ่ยจบน่าจะกลัวจิ่งเหิงปัวตบหน้าเขาอีกครั้ง ก้าวพรวดไปหาฝูงชนที่จัดเตรียมรถม้านั้น ไม่ทักทายด้วย ยกเท้าก็ขึ้นรถม้าที่มีอยู่เพียงคันเดียว

 

 

“ช้าก่อนคุณชายลี่” ชายผู้หนึ่งรีบขวางไว้ “นี่ไม่ได้เตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าไปขี่ม้า”

 

 

“ไม่ได้เตรียมไว้ให้ข้า?” ลี่หันอวี่งงงันหันกลับมา ราวกับได้ยินเรื่องที่เหลือเชื่อสักอย่าง “นอกจากข้าแล้วยังมีผู้ใดคู่ควรใช้รถม้าอีก? ยิ่งกว่านั้นข้ายังบาดเจ็บ ต้องการนอนราบบำรุงใบหน้าของข้าอยู่พอดี”

 

 

ชายผู้นั้นมองหน้าของเขาปราดเดียว กลั้นหัวเราะไว้ ชี้ท่านมู่ที่ถูกประคองออกมาเอ่ยว่า “พวกเรามีแขกอีกคน จำเป็นต้องใช้รถม้า คุณชายลี่ เจ้าขี่ม้าตัวนั้นของเจ้าดีกว่า”

 

 

“ผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดย่อมนั่งรถม้า” ลี่หันอวี่เอ่ยอย่างทะนงตนว่า “ให้เขาไปขี่ม้า แน่นอนว่าจะขี่หยกดอกไม้ขาวตัวนั้นของข้าไม่ได้ หาม้าธรรมดาให้เขาสักตัวก็พอแล้ว”

 

 

เขานึกว่าตนเป็นพระสวามีแล้ว เป็นเจ้านายของคนฝูงนี้ คนเหล่านี้รู้ว่าเขาได้รับความโปรดปรานจากราชินี ต่างพากันมาประจบเขา บัดนี้เขานั่งรถม้า ย่อมถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

 

 

ชายผู้นั้นใช้สายตาที่มองไอ้โง่มองเขาปราดเดียว คร้านจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พลันยกมือผลักเขาออกไป “หลีกไป!”

 

 

“สามหาว!” ลี่หันอวี่เดือดดาล “เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด!”

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเหยื่อล่อ!” ชายผู้นั้นก็ไม่เกรงใจ…นี่มันไอ้คนไม่เข้าใจสถานการณ์จากที่ใดกัน!

 

 

“ระวังถ้อยคำของเจ้าด้วย!” ลี่หันอวี่ชี้จมูกของเขา “ล่วงเกินข้า วันหน้าพวกเจ้าต้องมาขอโทษ!”

 

 

ชายผู้นั้นยิ้มเยาะ กำลังจะเรียกให้สองคนมาลากเขาออกไป แต่หวังจิ้นก็เดินเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“คนบางคนเห็นอะไรก็แย่ง” ชายผู้นั้นยิ้มเยาะ

 

 

“นั่นเพราะข้าคู่ควร!” ลี่หันอวี่ขมวดคิ้วเย็นชา ตั้งใจจะระบายความคับแค้นใจที่ได้รับตลอดหลายวันออกมา บัดนี้เขาได้รับความโปรดปรานจากราชินีแล้ว ว่าอย่างไร!

 

 

ความมั่นใจเต็มร้อย ไม่มีความหวาดกลัวอีกต่อไป

 

 

“ราชินีจะต้องหลงรักข้าแน่!” เขาชี้พวกหวังจิ้นอย่างเย็นชา “เจ้า…พวกเจ้า วันหน้าจะต้องอาศัยข้าหายใจ เตือนพวกเจ้าสักหน่อย รีบเข้าใจสถานการณ์ ประมาณตนเองด้วย!”

 

 

“คนบ้าที่ฝันกลางวัน” บางคนบ่นพึมพำว่า “ราชินีตาบอดน่ะสิถึงถูกใจเจ้า”

 

 

หวังจิ้นขมวดคิ้ว คิดว่าจะให้ชายคนโปรดที่เจ้าคะเจ้าขาข้างกายเจ้าสำนักแต่ออกมาก็เปลี่ยนท่าทางผู้นี้เชื่อฟังหน่อยได้อย่างไร ข้างกายพลันมีคนยิ้มกระซิบว่า “รถม้าใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดต้องแย่งกันด้วยเล่า หรือไม่ก็เชิญสหายท่านนี้ร่วมโดยสารกับข้าเถิด”

 

 

“ผู้ใดจะร่วมโดยสารกับเจ้า? เจ้าคู่ควรหรือ” ลี่หันอวี่เชิดคางใส่ท่านมู่ที่เข้ามา

 

 

“คุณชายลี่” หวังจิ้นกระซิบข้างหูเขาว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นว่าที่พระสวามี เช่นนั้นท่านนี้น่ะเป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาราชินี หรือว่าเจ้าไม่ควรสนิทกันไว้แต่เนิ่นๆ?”

 

 

“โอ้?” ลี่หันอวี่เปลี่ยนจากโกรธเป็นดีใจ คิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “จริงด้วย เจ้านายควรวางตัวกับลูกน้องให้เหมาะสม คนข้างกายฝ่าบาท ต่อให้ข้าร่วมโดยสารกับเขาก็ไม่นับว่าเสื่อมเสียฐานะอะไร” เอ่ยจบก็พยักคางให้ท่านมู่ เอ่ยว่า “ช่างเถิด ให้เจ้าขึ้นรถก็ได้ อีกเดี๋ยวยังมีเรื่องจะถามเจ้า”

 

 

เขาวางท่าเป็นพระสวามีเต็มที่ ขึ้นรถด้วยท่าทางได้ดีจนลืมตัว หวังจิ้นหันหลัง ยิ้มให้ท่านมู่อย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “สมุหราชองครักษ์อิง ขออภัยด้วย คนผู้นี้นิสัยไม่ค่อยดีนัก”

 

 

“ไม่เป็นไร” ท่านมู่ยิ้มแย้ม

 

 

ท่านมู่คุยกับหวังจิ้นแล้ว หวังจิ้นบอกว่าพวกเขาเต็มใจคุ้มกัน ‘สมุหราชองครักษ์อิง’ ตามหาราชินี ขอเพียงได้พบราชินี ให้โอกาสได้แนะนำสักครั้ง คนหนึ่งตั้งใจตีสนิท อีกคนเล่นตามน้ำ ย่อมบรรลุข้อตกลงอย่างราบรื่น

 

 

ฟึ่บ! ม่านรถถูกเลิกออก เสียงอวดและดีใจร้อนของลี่หันอวี่แว่วออกมา “ยังไม่ขึ้นมาอีก? หรือว่าจะให้ข้ารอเจ้า?”

 

 

ท่านมู่ท่าทางอารมณ์ดีนัก เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “มาแล้ว…”

 

 

หวังจิ้นประคองเขาขึ้นรถด้วยตนเอง มองเขาเข้าสู่ในรถอย่างสุขุม มุมปากใต้หน้ากากเงินยังโค้งเป็นรอยยิ้ม คล้ายเขินอายคล้ายชั่วร้าย ความงดงามที่อธิบายไม่ได้ เขากลับพลันหนาวสั่นทั้งร่าง

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น เห็นฝูงห่านป่าบินเป็นแถวตรงขอบฟ้า พึมพำว่า “ฤดูหนาวอีกปีแล้ว…”

 

 

 

 

ลี่หันอวี่ครองตำแหน่งที่ดีที่สุดในรถม้า รอคอย ‘ลูกน้อง’ ของตนอย่างรำคาญ คิดว่าคนผู้นี้อืดอาดยืดยาด อีกเดี๋ยวต้องสั่งสอนให้เต็มเข็ดหลาบถึงถูกต้อง

 

 

หวังจิ้นให้เขาสนิทกับลูกน้องราชินี เขากลับไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าคนข้างกายราชินีล้วนเป็นพวกคลั่งเสียสติ วันหน้าหากตนหวังปักหลักมั่นคงข้างกายราชินี จะต้องสยบคนเหล่านี้ก่อนถึงถูกต้อง

 

 

หากปราบคนเหล่านี้ได้ ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา ต่อไปตนเองอาจแทนที่ราชินีก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ สตรีนางหนึ่ง จะเป็นกษัตริย์อะไรกัน…

 

 

ผ้าม่านเลิกออก ท่านมู่เข้ามาในรถ

 

 

เขาเชิดคางขึ้น กำลังรอแสดงภาพลักษณ์เย่อหยิ่งเย็นชาและทำให้ผู้คนเกิดความชื่นชมในใจใส่อีกฝ่าย พลันรู้สึกว่าอากาศรอบด้านเย็นวาบ อดจะหนาวสั่นทั้งร่างไม่ได้

 

 

พอหนาวสั่นครานี้ ความสูงส่งอะไร นิสัยเฉพาะตัวอะไร การวางอำนาจที่คิดไว้แล้วอะไร หายไปหมดสิ้น

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น ในรถแสงน้อยมืดครึ้ม เห็นเพียงเค้าโครงรูปร่างของอีกฝ่าย ทว่าปราดเดียวนี้ แตกต่างจากความรู้สึกที่อยู่ข้างล่างรถม้าเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

 

เงาร่างนี้สูงตระหง่านดั่งขุนเขา ถาโถมลงมาทั้งหมด พื้นที่ไม่ใหญ่ในรถม้าคล้ายถูกเบียดเสียด เขารู้สึกว่าหายใจลำบาก

 

 

คนผู้นั้นเงยหน้าตามใจชอบ มองเขาปราดเดียว เลิกคิ้วคู่หนึ่งใต้หน้าผากกว้างอย่างเฉื่อยเนือย ส่วนสายตาดั่งสายฟ้าดั่งกระบี่

 

 

ความคิดของเขาหยุดชะงักชั่วครู่ รู้สึกเพียงว่าหัวใจก็ดั่งถูกกระบี่แทงทะลุ

 

 

ที่นั่งสองฝั่งของรถม้าหันหน้าเข้าหากัน ท่านมู่นั่งตรงข้ามเขา ความรู้สึกกดดันเช่นนั้นจางไปนิดหน่อย เขาสูดหายใจเฮือก อยากเปิดปากเอ่ยวาจา กู้หน้ากลับมาให้ตนเองสักหน่อย

 

 

ยังไม่ได้เปิดปาก ท่านมู่ก็เงยหน้า มองเขาปราดเดียว

 

 

เขาหายใจไม่ออกอีกครั้ง รู้สึกเพียงว่าปราดหนึ่งนี้คล้ายถลกหนังของเขาออก เลาะกระดูกของเขาออก มองเข้าไปในเลือดเนื้อเส้นเอ็นของเขา

 

 

เพียงปราดเดียว แม้แต่โลหิตของเขาก็คล้ายเยือกแข็ง

 

 

ในปราดเดียวนี้คล้ายเต็มไปด้วยความรู้สึก ซ้ำยังคล้ายไม่มีความรู้สึกด้วยซ้ำ คล้ายเทพสวรรค์เห็นสัตว์โลกที่รังเกียจตัวหนึ่ง ตั้งใจไม่คิดเล็กคิดน้อย เจ้าตัวน้อยนั้นกลับแยกเขี้ยวยิงฟันตรงเท้าตน รกหูรกตา

 

 

ฉะนั้นจึงเอือมระอาเล็กน้อย

 

 

เขาสูดหายใจเฮือก อยากลงรถโดยพลัน

 

 

ลางสังหรณ์บอกเขาว่านั่งร่วมกับคนผู้นี้ในรถคันนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นเพียงรัศมีนี้ก็บดขยี้เขาจนตายได้

 

 

ก่อนลงรถ เขาอยากเอ่ยสักประโยค กู้หน้ากลับมาให้ตนเองสักหน่อย

 

 

“เจ้า…” เขาเพิ่งจะเปิดปากเอ่ยคำแรก

 

 

ท่านมู่ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ ยื่นนิ้ววาดเพียงครั้ง

 

 

เขาเหน็บชาตั้งแต่ปลายเท้าจรดปลายลิ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าความเย็นสายหนึ่งแพร่ขยายจากใต้ฝ่าเท้าสู่ข้างบนอย่างรวดเร็ว

 

 

เป็นความเย็นที่แท้จริง ราวกับหิมะน้ำแข็งท่วมท้นหัวเข่า พอเขาก้มหน้าก็ตกตะลึงพบว่ามีหิมะน้ำแข็งจริงๆ ทับถมจากหลังเท้าขึ้นสู่ข้างบนปานสายฟ้า แช่แข็งร่างกายท่อนล่างของเขาในทันใด!

 

 

เขาตื่นตระหนก อ้าปากจะร้องลั่น ท่านมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชี้นิ้วอีกครั้ง

 

 

“อย่า” เขากระซิบว่า “อย่าทำให้อากาศตรงหน้าข้าสกปรก”

 

 

ลี่หันอวี่เห็นปลายนิ้วเขาเปล่งประกายแวววาว เหลี่ยมน้ำแข็งอันหนึ่งก่อตัวอย่างเงียบเชียบแล้ว พอจะรู้ว่าขอเพียงเขาส่งเสียง เหลี่ยมน้ำแข็งนี้ก็จะพุ่งเข้าคอหอยเขา

 

 

เขาก็ไม่กล้าส่งเสียงอีกแล้ว เบิกตาโพลงมองหิมะน้ำแข็งนั้นผ่านหัวเข่า ขึ้นสู่ขาอ่อนเขา กระทั่งแช่แข็งถึงส่วนเอวเขา

 

 

ร่างกายท่อนล่างของเขาทั้งหมดถูกแช่อยู่ในหิมะน้ำแข็งที่เหน็บหนาวถึงกระดูกผืนหนึ่ง

 

 

แช่แข็งเช่นนี้ เขาจะเป็นอัมพาตได้!

 

 

หวาดหวั่นขวัญผวา ทว่าเหงื่อไม่ยอมออกมา แม้แต่ต่อมเหงื่อก็คล้ายถูกแช่แข็งไว้