ฝั่งตรงข้าม ท่านมู่กลับมีท่าทางไม่สะทกสะท้าน ถึงขนาดล้วงหนังสือเล่มหนึ่งจากในแขนเสื้อมาอ่าน บางครั้งนิ้วของเขาจะแดงขึ้นมากะทันหัน เขาก็ยื่นมือเช็ดเข่าลี่หันอวี่ ประหนึ่งนั่นคือแท่นน้ำแข็งร่างมนุษย์ของเขา

 

 

ในห้องโดยสารค่อยๆ เหลือเพียงเสียงกรอดๆ นั่นคือเสียงจากการถูกแช่แข็งจนฟันบนล่างกระทบกันของลี่หันอวี่

 

 

หน้าต่างรถพลันถูกเคาะ ลี่หันอวี่ดีใจเหลือเกิน ขอเพียงมีคนพบเข้า เขาก็จะไม่ถูกแช่แข็งจนพิการแล้ว!

 

 

ท่านมู่ไม่มองเขาเสียด้วยซ้ำ ยกมือขึ้นเล็กน้อย พรมผืนหนึ่งข้างที่นั่งคลุมเข่าของลี่หันอวี่ไว้

 

 

ลี่หันอวี่อยากร้องไห้

 

 

หน้าต่างเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าลายพร้อยของจิ่งเหิงปัว นางยิ้มแย้มกล่าวว่า “พักกินข้าวระหว่างทาง พวกเจ้าจะลงมากินข้าว หรือว่าจะกินข้าวในรถ?”

 

 

“ลง…” ครึ่งคำที่ลี่หันอวี่เอ่ยออกมาถูกท่านมู่ขัดจังหวะ

 

 

“รบกวนแม่นาง ส่งอาหารขึ้นมาเถิด”

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรเลย หิ้วตะกร้าอาหารขึ้นรถมาก็ไม่มองท่านมู่ ยกก้นนั่งข้างกายลี่หันอวี่ ยื่นมือโอบไหล่ของเขาไว้ กล่าวอย่างสนิทสนมว่า “คุณชายลี่ อยากกินอะไร เจ้าได้รับบาดเจ็บ จะให้ข้าป้อนหรือไม่”

 

 

นางจงใจทำให้ลี่หันอวี่ขยะแขยงและจงใจไม่สนใจท่านมู่ ไม่รู้ว่าทำไม ท่านมู่คนนี้มักทำให้นางเกิดความรู้สึกถูกคุกคามกับความรู้สึกไร้พลังที่ลึกล้ำ ความรู้สึกที่ถูกบีบคั้นทุกเรื่องแบบนี้ไม่ดีเท่าไรนัก นางก็อยากเอาคืนให้ได้สักครั้ง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม นางแค่เห็นเขาแล้วไม่สบายใจ ไม่สบายใจอย่างมาก

 

 

ลี่หันอวี่เบือนหน้าหนีใบหน้าของนาง มองสีหน้าคล้ายอยากด่าแต่ก็กลั้นไว้ เอ่ยไม่เต็มปากเต็มคำว่า “…ช่างเถิด…หรือไม่เจ้าก็ให้คุณชายอิงกินก่อน…”

 

 

เขากลัวว่าคนฝั่งตรงข้ามถูกยั่วโมโห อีกเดี๋ยวจะจัดการเขา คนผู้นี้มองไม่ออกว่าอารมณ์ดีร้าย แต่แน่ใจได้ว่าไม่ชอบเขาแน่แท้

 

 

“เขาน่ะหรือ?” จิ่งเหิงปัวไม่มองท่านมู่ด้วยซ้ำ แบะปาก “เขาไม่กินอาหารธรรมดาเหล่านี้ เขาชอบกินเนื้อคน”

 

 

ลี่หันอวี่หนาวสั่นไปทั่วทั้งร่าง

 

 

ท่านมู่ที่นั่งเงียบอ่านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้ามโดยตลอดพลันวางหนังสือลง มองตะกร้าอาหารนั้นปราดเดียว ลี่หันอวี่รู้สึกว่าบนร่างยิ่งเหน็บหนาว

 

 

“เช่นนั้น…เช่นนั้นเจ้าป้อนข้า…” เขาอดกลั้นความขยะแขยงไว้ พลันคิดวิธีพ้นความลำบากได้วิธีหนึ่ง

 

 

“ได้เลย” ในแววตาจิ่งเหิงปัวมีความแปลกใจฉายผ่าน ทว่ายังคงยิ้มแย้มเปิดตะกร้าอาหาร หยิบชามขึ้นมาพลางเกาหน้าไปด้วย เศษผิวหนังบนใบหน้าที่เกิดจากฤทธิ์ยาทยอยร่วงลงในชาม

 

 

นางตะแคงข้างหันหลังให้ท่านมู่ ท่านมู่มองไม่เห็นการกระทำนี้ ทว่าลี่หันอวี่กลับเห็นอย่างชัดเจน ในกระเพาะพลันปวดมวนระลอกหนึ่ง เกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว

 

 

ทว่าเขากลับไม่กล้าอาเจียน หากอาเจียนออกมาก็จะรดลงบนร่างคนฝั่งตรงข้าม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหวังให้สตรีที่น่ารังเกียจนางนี้ช่วยเขาให้พ้นความลำบากอยู่นะ

 

 

“มา อ้าปากสิ” เสียงของจิ่งเหิงปัวหวานเลี่ยนสนิทสนม นุ่มนวลจนคล้ายจะมีน้ำหยดลงมา ชูข้าวหนึ่งช้อนขึ้น แล้วยื่นไปข้างปากลี่หันอวี่

 

 

นางเห็นผู้ชายทั้งสองแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา หากสามารถจัดการไปพร้อมกันได้จะดีแค่ไหนนะ

 

 

ลี่หันอวี่มีท่าทางคล้ายอยากตาย ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดก็ทำหน้าตาบูดบึ้งกลืนข้าวลงไปจริงๆ กลืนไปพลางส่งสายตาให้นางไปพลาง ท่าทางดั่งเป็นตะคริว

 

 

ท่านมู่ไม่เอ่ยวาจา ไม่อ่านหนังสือแล้วด้วย เพียงมองนางอย่างเงียบงัน

 

 

จิ่งเหิงปัวอดทนต่อความรู้สึกแสบร้อนจากสายตาข้างหลัง ขณะเดียวกันก็แปลกใจ ทำไมลี่หันอวี่ถึงต้องอดทนด้วย? เขาน่าจะต้องด่านาง ผลักนางออกไปทันทีไม่ใช่หรือ

 

 

เหตุใดแววตาของเขาหลุบลงล่างตลอดเลยเล่า?

 

 

ในรถคันนี้ต้องมีเรื่องประหลาดอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่

 

 

นางหลุบสายตาต่ำลง เห็นพรมบนขาลี่หันอวี่

 

 

อากาศนี้ยังไม่ได้หนาวถึงขั้นต้องคลุมพรม ปัญหาก็เกิดขึ้นตรงนี้สินะ?

 

 

นางเชิดสายตาขึ้น ก็เห็นแววตาอ้อนวอนของลี่หันอวี่ทันที

 

 

นางยังคงยิ้มแย้ม คล้ายไม่เข้าใจความนัยในแววตาของลี่หันอวี่ มือสั่นกะทันหัน ขาเป็ดข้างหนึ่งที่คีบอยู่ลื่นร่วงบนพื้น นางรีบไปเก็บ พร่ำบอกว่าเสียดาย “ว้า ขาเป็ดนี้หอมนักเชียว ขออย่าให้น้ำมันเปื้อนพื้นเลย…เอ๊ะ เหตุใดรู้สึกหนาวๆ นะ…คุณชายลี่พรมเจ้าจะร่วงแล้ว…”

 

 

นางยื่นมือจะไปเลิกพรมนั้น แววตาของลี่หันอวี่ทั้งตื่นตกใจและดีใจ

 

 

ท่านมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเชิดนิ้วเพียงครั้ง

 

 

ชั่วขณะหนึ่งจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงแผ่วเบาเล็กน้อย รอบตัวเริ่มร้อนนิดหน่อย นางเลิกพรมออกทันที

 

 

ใต้พรมคือขาที่สวมชุดคลุมยาวของลี่หันอวี่

 

 

แม้แสงในรถม้าจะค่อนข้างมืดสลัว แต่แน่ใจได้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติชัดเจน

 

 

จิ่งเหิงปัวงงงันอยู่บ้าง

 

 

ทว่าครู่หนึ่งนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของลี่หันอวี่ก็หดเกร็งอยู่ด้วยกันแน่น คล้ายกำลังได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ไม่อาจเอ่ยและไม่กล้าเอ่ย

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังเหม่อมองจ้องขาของเขา ก็ไม่ได้สนใจมองหน้าของเขา

 

 

ฝั่งตรงข้าม ท่านมู่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองท่าน ป้อนข้าวเสร็จแล้วหรือยัง? ถอยหน่อยได้หรือไม่ ข้าอ่านหนังสือไม่เห็น”

 

 

น้ำเสียงนุ่มนวลนิ่งสงบ จิ่งเหิงปัวพลันหันหน้าจ้องเขา

 

 

รัศมีโค้งงดงามตรงมุมปากใต้หน้ากากเงินของท่านมู่ พอเหมาะพอดี

 

 

ความว้าวุ่นใจแปลกประหลาดของนางมาเยือนอีกแล้ว

 

 

เห็นเขายิ้มแบบนี้ นางก็ว้าวุ่นใจ

 

 

นางหิ้วตะกร้าอาหารขึ้น หันหลังเดินลงรถ ขณะที่เดินผ่านข้างกายท่านมู่ ก็ยัดกระบอกสุราใบหนึ่งให้เขา แล้วแสร้งยิ้มขึ้น

 

 

“สิ่งที่เจ้าชอบที่สุด ต้องดื่มให้ได้นะ”

 

 

เขารับไว้ นิ้วมือสัมผัสกันขณะรับของ สองคนหลีกทางให้กัน

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถออกดังฟึ่บ ก่อนจะลงจากรถไปแล้ว บุรุษสองคนในรถประจันหน้ากันอีกครั้ง

 

 

ตะคริวบนใบหน้าของลี่หันอวี่ยิ่งรุนแรงขึ้น เขาพลันเลิกเสื้อคลุมยาวของตนออก

 

 

หิมะน้ำแข็งใต้เสื้อคลุมยาวหายไปแล้ว แต่มีเพียงเขาที่รู้ว่ายังมีหิมะน้ำแข็งสายหนึ่งหลงเหลือ อยู่…กลางเป้ากางเกง

 

 

เมื่อครู่นี้เอง พริบตาที่จิ่งเหิงปัวเลิกพรมออก ลี่หันอวี่ก็กำลังดีใจ พลันรู้สึกเพียงบนขาผ่อนคลาย หิมะน้ำแข็งหายไป พริบตาต่อมา ความเย็นเยือกสุดขั้วสายหนึ่งรวมกันพุ่งจากล่างขึ้นบน มุ่งตรงไปสู่…ส่วนที่สำคัญที่สุด แช่แข็งแนบแน่น

 

 

ชั่วขณะนั้นเขาอธิบายออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

ยามนี้ เขาจ้องท่านมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหวาดผวา

 

 

ท่านมู่เปิดฝากระบอกสุราแล้ว กลิ่นเปรี้ยวสายหนึ่งฟุ้งกระจาย เป็นน้ำส้มสายชู

 

 

ท่านมู่ดื่มไปอึกหนึ่งจริงๆ ราวกับไม่ได้พบว่าเป็นสิ่งอื่น

 

 

ดื่มอึกเดียว มองกางเกงของลี่หันอวี่ปราดเดียว ยิ้มคราเดียว

 

 

รัศมีโค้งตรงมุมปากสงบเงียบ ลี่หันอวี่กลับรู้สึกว่าแม้แต่กระดูกก็ถูกรอยยิ้มทำให้เหน็บหนาว

 

 

รถม้าเงียบสงัด แสงมัวสลัว กลิ่นเปรี้ยวแสบจมูก สองคนนั่งตรงข้ามกัน

 

 

คนหนึ่งนั่งแข็งทื่อเป็นหุ่น

 

 

อีกคนนั่งเอนพิงผนัง ชูกระบอกน้ำส้มสายชูดื่มอึกเดียว มองฝั่งตรงข้ามปราดเดียว ยิ้มคราเดียว

 

 

ดื่มอึกเดียว มองปราดเดียว ยิ้มคราเดียว

 

 

 

 

จากกวนจยาชวนถึงเขาตานเหลิงน่าจะสักร้อยกว่าลี้ได้ ม้าเร็วธรรมดาถึงในหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่าด้วยเพราะใช้รถม้า ซ้ำยังใช้เส้นทางที่ค่อนข้างลับตาคน ระหว่างทางอาจใช้เวลาประมาณสามหรือสี่วัน

 

 

ด้วยเพราะต้องซ่อนร่องรอยการเคลื่อนไหว ฉะนั้นหวังจิ้นจึงตัดสินใจไม่เข้าพักในเมือง วันนี้หลังฟ้ามืดแล้วก็หยุดพักผ่อนตรงที่อับลมข้างภูเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง

 

 

ลี่หันอวี่ได้รับอนุญาตจากท่านมู่ ลงรถมาปัสสาวะได้…แน่นอนว่าท่านมู่คงไม่ยอมให้เขาทำรถม้าสกปรก

 

 

ลี่หันอวี่หลบหลังเนินเขาแห่งหนึ่ง ใช้เวลาอยู่กว่าจะปลดทุกข์ได้…แช่แข็งจนเกือบใช้ไม่ได้แล้ว

 

 

เขาผูกกางเกงด้วยมือไม้สั่นเทา เหลียวมองทุ่งกว้าง ใคร่ครวญว่าหนีไปยามนี้คุ้มค่าหรือไม่

 

 

หนีเถิด ความฝันพระสวามีก็จะดับสูญ ไม่หนี หรือว่าจะถูกคนน่ากลัวผู้นั้นแช่แข็งกลายเป็นขันทีจริงๆ?

 

 

เขาถึงขนาดไม่กล้าแม้แต่จะขอความช่วยเหลือ พอเขาลงรถ หิมะน้ำแข็งบนร่างก็หายไป คงไม่มีคนเชื่อวาจาของเขา เดิมทีคนฝูงนี้ก็ไม่ค่อยชอบเขาเท่าใด

 

 

ลี่หันอวี่เดินไปบนทุ่งกว้างหลายก้าวแล้วยืนนิ่ง หยุดอยู่ชั่วครู่ กระทืบเท้า เดินต่อไป เดินแล้วยืนนิ่งอีกครั้ง

 

 

ลังเลสับสนหลายครั้งเช่นนี้ ภัยคุกคามความพิการกับความฝันรุ่งเรืองครั้งใหญ่ผลักดันให้เขาวนเวียนไม่ยอมจากไป ไม่รู้ว่าจะเลือกทางใด

 

 

หินก้อนหนึ่งกระแทกลงบนศีรษะเขากะทันหัน พอเขาเงยหน้าก็เห็นผ้าไหมในฝันบนต้นไม้ กำลังห้อยอยู่เหนือศีรษะเขา

 

 

ผ้าไหมกลุ่มนี้เฉียดผ่านทำให้สายตาของเขาสว่างวาบโดยพลัน

 

 

เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าเพริศแพร้วดั่งดอกท้อนั้นยื่นลงมาจากยอดไม้เหนือศีรษะ

 

 

ใบหน้านี้ทำให้เขาจิตใจเบิกบาน แทบจะน้ำตาคลอเบ้า…ราชินีรักเขาลึกซึ้งคิดถึงเขาตลอดเวลาจริงด้วย มาหาข้าสองคืนติดต่อกัน!

 

 

“ไฮ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มทักทายเขา

 

 

แววตาสับสนของลี่หันอวี่เริ่มแจ่มชัด นึกถึงชีวิตวันนี้แล้วหนาวสั่นทั้งร่าง รีบเอ่ยว่า “คิดถึงแม่นางทั้งวันทั้งคืน จะดีได้อย่างไรเล่า”

 

 

“จริงหรือ? เช่นนั้นสิ่งที่ข้าอยากได้ เจ้าเตรียมให้ข้าแล้วหรือยัง” จิ่งเหิงปัวแบมือ นางทนกล่าวอ้อมค้อมกับชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ มุ่งสู่ประเด็นหลักเสียเลย

 

 

“ทำเสร็จแล้ว” ลี่หันอวี่ล้วงกระดาษหลายแผ่นออกมา นี่เป็นข้อมูลที่เขาหยิบพู่กันและหมึก ฉวยโอกาสยามเที่ยงที่ไปปลดทุกข์ เขียนออกมาบนก้อนหินข้างแม่น้ำ

 

 

จิ่งเหิงปัวกระโดดลงจากต้นไม้ไปรับ แต่ลี่หันอวี่หดมือกลับไปทันที ซ่อนกระดาษไว้ข้างหลัง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าอุตส่าห์เขียนสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าเช่นนี้ เจ้าก็ไม่คิดจะให้รางวัลอะไรแก่ข้าเลยหรือ?” เอ่ยพลางเบือนหน้าที่บวมช้ำดั่งหัวหมู คล้ายกำลังรอคอยอ้อมกอดจากสาวน้อยน่ารัก

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากแต่จะหาคนสักกลุ่มมาเบิกทวารเขา

 

 

เรือนร่างของนางกะพริบวูบมาข้างหลังลี่หันอวี่ ดึงกระดาษหลายแผ่นนั้นไปสอดไว้ในอ้อมแขน ขณะกำลังใคร่ครวญว่าจะผลักให้เขาหกล้มก้นจ้ำเบ้าหรือว่าจะกลั่นแกล้งเขาต่อไป ก็ได้ยินเสียงผิดปกติจากข้างหลังอย่างกะทันหัน

 

 

พอนางหันกลับมาก็เห็นข้างหลังที่ซึ่งจอดรถม้ารวมกันพักผ่อนมีเงาคนชุดดำปิดหน้าสิบกว่าสาย ถืออาวุธเหาะเหินเข้ามา

 

 

ยามนี้ผู้อื่นบริเวณที่ตั้งค่ายตกใจตื่นแล้ว ทยอยลุกขึ้นตะโกนให้รับมือศัตรู ท่านมู่ที่อยู่ในรถม้ายังไม่ได้เคลื่อนไหว

 

 

ความคิดแวบผ่านสมอง จิ่งเหิงปัวพุ่งไปหาลี่หันอวี่ ยื่นมือผลักเขาทันที ตะโกนลั่นว่า “ท่าน หนีเร็ว!”

 

 

เดิมทีนางอยู่ห่างจากสนามรบเล็กน้อย แต่การตะโกนลั่นครั้งนี้รบกวนมือสังหารทันที เงาคนกะพริบอย่างต่อเนื่อง พุ่งมาทางลี่หันอวี่โดยพร้อมเพรียง

 

 

ลี่หันอวี่ไม่นึกว่าสถานการณ์จะแย่ลงกะทันหัน เขายังคงยืนงงอยู่ที่เดิม จิ่งเหิงปัวถีบเขา “รีบหนีเร็ว!” พอเขาหันมาเห็นมือสังหารพุ่งลงกลางศีรษะ ได้แต่ยกขาวิ่งหนีไป

 

 

วิชาตัวเบาของเขาไม่เลวนัก เฉียดไปไม่กี่ครั้งกะพริบออกไปหลายจั้งแล้ว มือสังหารเฉียดผ่านข้างกายจิ่งเหิงปัว ไม่ได้มองนางเลย

 

 

จิ่งเหิงปัวชมไม่ขาดปากว่า “วรยุทธ์หลบหนีไม่เลว!”

 

 

จากนั้นนางก็ปัดเสื้อผ้า กลับไปทางรถม้านั้นแล้ว ทางนั้นยังมีหลายคนกำลังต่อสู้ หวังจิ้นประมือกับคนชุดดำปิดหน้าร่างใหญ่ ต่อสู้กันไปมาอย่างดุเดือด