จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่ง เฉียดผ่านรถม้า มือสะบัดเพียงครั้ง ลิ่มไม้อันหนึ่งตรงตลับลูกปืนของรถม้าร่วงหล่น
นางขึ้นรถม้า ในห้องโดยสาร ท่านมู่ที่เอนหลังพิงผนังรถอ่านหนังสือ วางหนังสือลง
จิ่งเหิงปัวพิงประตูรถ กอดอกคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มมองเขา “ข้างนอกสู้กันจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ทั้งที่พุ่งเป้ามาหาเจ้า เจ้ากลับอ่านหนังสือสบายใจ ไม่กลัวคนเหล่านี้ต้านไม่ไหวบ้างหรือ?”
“ต้านไม่ไหวก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ?” มุมปากของท่านมู่โค้งขึ้น กวักมือเรียกนาง “มานี่”
จิ่งเหิงปัวไม่อยากสนใจเขา แต่ก็ยังนั่งลง มองเขายื่นมือดึงแผ่นไม้ผิวโต๊ะออก ข้างในก็มีช่องลับตั้งหลายช่อง ในทุกช่องลับแต่ละช่องบรรจุผักดองสำหรับแกล้มสุรา เขายังหยิบสุราหนึ่งขวดออกมาจากใต้โต๊ะปานเล่นกลอีกด้วย
จิ่งเหิงปัวมองเขาค่อยๆ จัดวางผักดองอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่ายังมีถ้วยสุราสองใบ เห็นได้ชัดว่าต้องการดื่มสุราด้วยกัน
ข้างนอกสู้กันจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ต่อให้มือสังหารส่วนใหญ่ถูกตัวเองใช้ลี่หันอวี่ล่อออกไป ไม่นานก็จะพบเข้าแล้วรีบกลับมา เวลานี้เขาจะดื่มเหล้ากับนาง?
“เจ้าหาสุราอาหารมาจากที่ใด” ตะลึงอยู่นาน นางก็ถามคำถามที่ไม่สำคัญด้วยซ้ำ
“ยามบ่ายเดินทางผ่านตัวเมือง ขอให้คนช่วยซื้อมา” เขาชูกระบอกสุราให้นาง “สุราขวดเดิมรสชาติพิเศษเกินไป เปลี่ยนแล้ว”
นางหัวเราะฮิๆ อย่างไม่กลัวความแตกเลยแม้แต่น้อย
ท่านมู่รินสุราให้นาง ข้อมือมั่นคง น้ำสุราใสไหลรินสู่ถ้วยกระเบื้อง
ข้างนอกมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เขาได้ยินแต่ไม่ใส่ใจ
พลั่ก! ไม่รู้ว่าอาวุธของผู้ใดหลุดมือเฉียดชนตัวรถ ตัวรถสั่นสะเทือนรุนแรง
ข้อมือของเขาไม่ขยับเขยื้อน น้ำสุราหยดสุดท้ายกระเซ็นเป็นหยาดสุราอิ่มเอิบหนึ่งหยดบนผิวถ้วย เสร็จสิ้นสมบูรณ์
เขาดันถ้วยสุราให้นางอย่างแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเขาหยาดเยิ้ม ใสดั่งผิวทะเลสาบหมื่นลี้ นางมองไม่เห็นว่าทะเลสาบนี้ขนาดเท่าไร ความลึกเท่าไร
รับถ้วยสุรามา นางอยากดื่มรวดเดียวหมดถ้วย กำจัดความรู้สึกต่างๆ นานา ในใจตอนนี้ออกไป แต่สุดท้ายนางก็แค่ค่อยๆ จิบอึกหนึ่ง
นางค่อยๆ รู้จักควบคุมความรู้สึกแล้ว ปลดปล่อยออกมาแค่ในเวลาที่เหมาะสม
น้ำสุราเผ็ดร้อน ลงคอดั่งมีด เลียบตามคอหอยดั่งเปลวไฟกระโจนลงไป พอถึงในท้องลุกไหม้ดังพึ่บ
“แรงไม่เบา!” นางอดจะชื่นชมไม่ได้ เชิดสายตาขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งดวงหน้าดั่งดอกท้อ นัยน์ตาแวววาวดั่งสายน้ำยามสารท
เขาเห็นท่าทางของนางแล้วหัวเราแผ่วเบา “เจ้าคล้ายจะคอไม่แข็งเท่าไรนัก”
“ผู้ใดว่ากัน?” นางไม่พอใจ “ชาตินี้ข้าน่ะเคยเมาเพียงครั้งเดียว!”
“ครั้งใดหรือ” เขาก้มหน้ารินสุรา น้ำเสียงไม่สนใจไยดี
นางชะงักไป ใบหงเฟิงเขียวชอุ่มและรอยยิ้มอ่อนโยนแวบผ่านตรงหน้า ชั่วพริบตาภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไป รถม้ามืดสลัว หน้ากากสีเงินของผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามเปล่งประกายแสงหนาว
ของไม่ใช่ คนก็ไม่ใช่
ไม่มีอะไรจะพูด
“ลืมแล้ว” นางกล่าว รู้สึกรำคาญที่เขาเทสุราช้าเกินไป จึงคว้ากระบอกสุรามาเทเองเสียเลย
ฟิ้ว! อะไรสักอย่างลอยมาจะกระแทกหน้าต่างรถ เขาสะบัดมือเพียงครั้ง ของสิ่งนั้นลอยย้อนกลับไปขณะใกล้จะลอดผ่านหน้าต่างรถ หยาดโลหิตแดงฉานกลุ่มหนึ่งกระเซ็นบนม่านหน้าต่างดังซ่า
จิ่งเหิงปัวเห็นว่านั่นคือมือที่ขาดออกข้างหนึ่ง นางรู้สึกสะอิดสะเอียน มือสั่นสะท้าน น้ำสุราหกบนโต๊ะหลายหยด
นางรู้สึกอายนิดหน่อย เทียบเรื่องการควบคุมตนแล้ว นางเหมือนจะด้อยกว่าคนตรงหน้าขั้นหนึ่ง
หรือว่าการดื่มด้วยกันท่ามกลางต่อสู้ครั้งนี้ ก็เพื่อทดสอบการควบคุมตนของนาง?
ท่านมู่พลันยื่นมือจุ่มน้ำสุราบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มวาดภาพ
วาดได้ไม่กี่ครั้ง ดวงตาของจิ่งเหิงปัวก็สว่างวาบขึ้นแล้ว นี่มันเหมือนจะเป็นแผนที่อะไรสักอย่าง เป็นช่องๆ ซ้ำยังเหมือนเป็นการแบ่งอำนาจอะไรสักอย่าง หรือว่าเป็นการกระจายอำนาจที่ไต้เม่าของสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่?
อย่างที่คิดไว้ท่านมู่เอ่ยว่า “เหล่าสามสำนักสี่พรรคควบคุมไต้เม่า เขตอิทธิพลภายนอกชัดเจนยิ่งนัก ทว่าบางแห่งในเมืองซั่งหยวนเป็นสถานที่สำคัญที่ทุกกลุ่มแย่งไม่ได้ หรือไม่ได้แย่ง…”
เขาระบุสถานที่หลายแห่ง จิ่งเหิงปัวตั้งใจจำไว้
“ที่ตั้งพรรคส่วนใหญ่อยู่ที่นี่” ท่านมู่คีบถั่วคั่วโป๊ยกั๊กใส่ในช่องเหล่านั้นทีละเม็ด
“วังหลวงอยู่ที่นี่” จิ่งเหิงปัวหยิบเนื้อวัวหนึ่งชิ้นขึ้น วางไว้ข้างหลังแผนที่
สองคนเติมถั่ว เรียงเนื้อวัว ดื่มสุราถ้วยน้อย เสียงโครมครามข้างนอกอยู่ใกล้แค่เอื้อม ราวกับเพลงออกรบรูปแบบใหม่
ถั่วคั่วโป๊ยกั๊กหนึ่งแถวตรงหน้าจิ่งเหิงปัว ขวางเส้นทางไปสู่เนื้อวัวไว้อย่างแน่นหนา
“ข้าอยากกินเนื้อวัว” นางยื่นตะเกียบไปคีบ
เขาดีดนิ้วเพียงครั้ง ถั่วคั่วโป๊ยกั๊กลอยขึ้น กระแทกตะเกียบของนางจนร่วง
“อยากกินเนื้อวัว? ถามถั่วคั่วโป๊ยกั๊กก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่” เขายิ้มแย้ม “ถั่วทุกเม็ดต่างรู้สึกว่า ตนผัดกับเนื้อวัวสักหน่อยถึงสำเร็จเป็นอาหารจานใหญ่ได้ แล้วจะให้เจ้าแย่งเนื้อวัวไปก่อนได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นหรือ?” นางยิ้มแย้ม “หากข้ากินถั่วให้หมดก่อน เช่นนั้นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
นางยื่นตะเกียบไปคีบถั่ว เขากลับเอียงผิวโต๊ะ ถั่วกลิ้งไปกลิ้งมา คีบขึ้นมาไม่ได้
นางตบโต๊ะทันที ถั่วพากันลอยขึ้นชนเข้าด้วยกัน แต่เนื้อวัวก็ลอยขึ้นมาด้วย นางคว้าถั่วในมือรวดเดียว ก่อนหัวเราะลั่นลุกขึ้นยื่นปากไปงับเนื้อวัว
“ของข้า!” นางตะโกน
แต่ตอนนี้รถม้าสั่นสะเทือนกะทันหัน เอนเอียงไปข้างหน้า จิ่งเหิงปัวคาบเนื้อวัวไว้ในปาก แต่รักษาสมดุลไว้ไม่ได้แล้ว ใบหน้าแนบลงบนใบหน้าของท่านมู่เกิดเสียงดังพลั่ก
นางเบิกตากว้าง
ตรงหน้าคือหน้ากากเงิน หนาวเย็น แข็งแกร่ง เสียดสีจนจมูกนางเจ็บปวด
แต่ริมฝีปากที่อยู่ใต้หน้ากากเงินนั้นกลับนุ่มนิ่มอย่างไม่น่าเชื่อ เย็นๆ บางๆ…
โอ้ ไม่ใช่สิ นั่นมันเนื้อวัว
ระหว่างสองริมฝีปากยังคงถูกกั้นด้วยเนื้อวัวชิ้นหนึ่ง
ชั้นวางอะไรสักอย่างข้างหลังนางล้มทับลงบนหลังของนางพอดี รถม้าก็เอนไปครึ่งหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พลิกคว่ำ ก่อนหน้านี้เพื่อเตรียมป้องกันมือสังหารผลักรถม้า นางจึงรื้อชิ้นส่วนตลับลูกปืนไป รถม้าจะแค่พลิกคว่ำ จะไม่ไหลไป
นางขยับไม่ได้ กำลังจะขยับชั้นวางข้างหลังออกไปก่อน แต่เขาพลันอ้าปากกินเนื้อวัวชิ้นนั้น
กินเนื้อวัวแล้ว…
กินแล้ว…
สมองนางลัดวงจรไปพริบตาหนึ่ง
เมื่อกินเนื้อวัวเสร็จ…ก็เป็นริมฝีปาก…
ความคิดนี้เพิ่งจะแวบผ่านสมอง พริบตาต่อมา คล้ายตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ฟันของเขาก็ม้วนริมฝีปากของนางสู่ริมฝีปากของตนแล้ว
หอมหวานนุ่มนวล…
นางตกใจจนรีบถอยหลัง ก็ไม่กลัวว่าการออกแรงนี้จะฉีกผิวริมฝีปากของตัวเอง เขาคล้ายหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา กัดริมฝีปากล่างของนางเล็กน้อย ลงน้ำหนักนิดหน่อยราวกับเป็นการลงโทษ แต่พอแล่นผ่านทั่วร่างกลับรู้สึกคันยุบยิบระลอกหนึ่ง
นางอดจะสั่นสะท้านอยู่บ้างไม่ได้
ริมฝีปากที่อยู่ใต้สายตา แวววาวแดงอ่อนดั่งสีของลูกกวาด ไม่นึกว่าริมฝีปากของผู้ชายก็ยั่วยวนเช่นนี้ได้ นางรู้สึกว่างดงาม แต่ไม่ได้มองเพิ่ม หันหน้าไปเล็กน้อย
เขาจ้องนางตาไม่กะพริบ นัยน์ตาฉายแววประหลาดคล้ายนึกถึงอดีต มือสะบัดเพียงครั้ง บนหลังนางเบาลง ชั้นวางขยับออกไป นางลุกขึ้นทันที พ่นลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง เช็ดหน้านิดหน่อย ปรับท่าทางกลับสู่รูปแบบนิ่งสงบเป็นปกติ
“แค่กๆ” นางกระแอมออกมา ใคร่ครวญว่าควรใช้คำพูดแบบไหนที่ทั้งประณามเขา ทั้งเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเก้อเขินเมื่อครู่ได้
นางตำหนิเขาว่าขโมยจูบไม่ได้…เพราะนางเป็นคนล้มทับลงไป เขาก็แค่กินเนื้อวัว ระหว่างที่กินก็สัมผัสริมฝีปากของนางโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น เรื่องแบบนี้ถ้าหากเซ้าซี้กับเขาต่อไป รับรองว่านางเสียเปรียบแน่
เขากลับคีบเนื้อวัวชิ้นนั้นขึ้นมากินอย่างสบายใจ ซ้ำยังยอมถอยให้นาง แล้วเอ่ยว่า “รสชาติดีนัก”
อะไรคือรสชาติดีนัก?
จะเอ่ยว่ารสชาติดีมากก็เอ่ยไปสิ จะจ้องริมฝีปากของนางทำไมกัน?
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าคนคนนี้มองภายนอกเป็นสุภาพบุรุษเรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นจอมวายร้ายไร้ยางอาย
นางนั่งลงด้วยความเดือดดาล จ้องเขาอย่างโหดเ**้ยม มือสะบัดเพียงครั้งก็โยนมือสังหารที่พุ่งมาหาหน้าต่างรถม้าคนหนึ่งออกไปไกลเกินสามลี้
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน สีหน้าของท่านมู่ไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยชมว่า “วรยุทธ์เทพของฝ่าบาท โดดเด่นเหนือสามัญ”
“เจ้ารู้ว่าข้าคือผู้ใด?” นางหรี่ตาลง สีหน้าไม่ค่อยแปลกใจ
“ข้ามีหูตาที่ตี้เกอ รู้ว่าฝ่าบาทเชี่ยวชาญวิชาตัวเบากับกําลังภายใน” เขายิ้มเอ่ยว่า “ไม่นึกว่าจะเชี่ยวชาญจนน่าตกตะลึงเช่นนี้ เปิดหูเปิดตาโดยแท้”
การเคลื่อนที่พริบตากับการเคลื่อนย้ายสิ่งของของจิ่งเหิงปัว ในสายตาผู้ใช้วรยุทธ์ที่ต้าฮวง ว่าไปแล้วก็เป็นแค่วิชาตัวเบาลึกล้ำกับการแสดงกําลังภายใน กล่าวแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
จิ่งเหิงปัวไม่แปลกใจที่ท่านมู่เดาได้ว่าเป็นนาง ตั้งแต่นางกล่าวชื่อของอิงไป๋ออกมา ก็เท่ากับบอกเขาเรื่องฐานะของนางแล้ว
แต่นางค่อนข้างกังวล กลุ่มอำนาจยุทธภพที่เหลือในไต้เม่า มีกี่คนที่เดาได้ว่าขณะนี้นางอยู่ที่ไหน
“พวกสามสำนักสี่พรรค ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า” ท่านมู่คล้ายเป็นพยาธิไส้เดือนในท้องนาง มักรู้ว่านางอยากรู้อะไร บอกนางว่า “ไต้เม่าห่างไกลจากตี้เกอเกินไป ชาวยุทธ์เหล่านี้ยึดครองที่นี่ หยิ่งผยองลำพองตน คิดแต่เขตอิทธิพลสามส่วนของตน ไม่ค่อยสนใจความเป็นไปของนครหลวงไกลโพ้น โดยเฉพาะในสายตาพวกเขา เจ้าเป็นเพียงราชินีหมดอำนาจที่ถูกเนรเทศ ไม่มีแม้แต่กองทัพคุ้มกัน พวกเขาไม่ได้สนใจใคร่ครวญว่าตัวเจ้านี้เป็นอย่างไร หากไม่ใช่ด้วยเพราะผู้ที่เจ้าเพิ่งรับไว้เป็นลูกน้องกลุ่มนั้น รวมทั้งความสัมพันธ์ของเจ้ากับเจ็ดสังหาร ทำให้พวกเขาเกิดความสนใจ เกรงว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าไต้เม่า พวกเขาก็ส่งคนกำจัดเจ้าเสียเลยสิ้นเรื่อง”
“เช่นนั้นก็ลองกำจัดให้ได้สิ” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ
“ศัตรูประมาทศัตรูเป็นเรื่องดี” เขาใช้ตะเกียบชี้เขา “ผู้ที่ประมาทศัตรู ตนเองสูญเสียกำลังสามส่วน”
นางเข้าใจว่าเขาก็กำลังเตือนสตินาง กลอกตาขาวแต่ไม่ได้โต้แย้ง คิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกข้าว่า พวกถั่วคั่วโป๊ยกั๊กมากเกินไป หากพากันเบียดเสียดระหว่างทาง ข้าอยากได้อำนาจปกครองจะยากยิ่ง มีเพียงให้เหล่าถั่วคั่วโป๊ยกั๊กสังหารกันเอง ถึงชำระล้างไต้เม่าได้อย่างแท้จริง หมายความเช่นนี้กระมัง?”
เขาหยิบจานน้อยใบหนึ่งมา ในจานน้อยมีขนมโก๋สี่ด้าน ตรงกลางมีขนมต้มหนึ่งลูก ข้างนอกฆ่ากันดุเดือด ร่างมนุษย์กระแทกตัวรถอย่างต่อเนื่อง ขนมต้มในจานน้อยกลิ้งไปทั่วทิศ ทว่าไร้หนทางพุ่งออกไปจากการขัดขวางของขนมโก๋โดยสิ้นเชิง
นางยื่นตะเกียบคีบขนมโก๋ออกไป ขนมต้มกลิ้งหลุนๆ เข้าไปในปากนาง
“ผู้นำไต้เม่าไม่ใช่คนธรรมดา เพียงแต่ด้วยสถานการณ์จำกัด ต้องหดหัวอยู่ในวังหลวง ใช้กองทัพแข็งแกร่งเป็นกระดอง ต่อต้านหมาในกับจิ้งจอกมากมายเป็นเวลายาวนาน” เขาเอ่ยว่า “ถูกล้อมนานเข้า รั้วข้างนอกเพิ่มขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า นับวันยิ่งพุ่งออกไปไม่ได้ อยากได้อิสระ จะต้องมีคนทุ่มกำลังแก้ไขสถานการณ์จากข้างนอก”
นางพองแก้มสองข้าง พยายามกระเดือกไปด้วยพยักหน้าไปด้วย สีหน้าค่อยๆ แดงก่ำ…ขนมต้มเหนียวเกินไป ติดคอแล้ว
เขาโน้มตัวเข้ามา ยื่นมือตบเพียงครั้ง คอหอยนางส่งเสียงดัง “เอื๊อก” กลืนสิ่งที่ติดคอลงไป รู้สึกทันทีว่าโล่งไปทั้งตัว…ถ้าขนมต้มลูกเดียวติดคอตาย นางจะกลายเป็นราชินีที่น่ามสานที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวงหรือเปล่านะ?
กำลังจะขอบคุณ ก็เพิ่งพบว่ามือของเขายังหยุดอยู่ตรงหน้าอกตัวเอง…เมื่อครู่เขาตบหน้าอกนางไล่ลมอะไรแบบนั้น
“หือ?” นางใช้สายตาจ้องมือที่แต๊ะอั๋งของเขา เตือนเขาว่าเกิดเป็นคนต้องมีจิตสำนึก
“โอ้” เขาไม่รีบไม่ร้อน ดึงคอเสื้อนางเล็กน้อย กลัดกระดุมเม็ดบนที่แกะออกโดยไม่ตั้งใจก่อนหน้านี้ให้เรียบร้อย แล้วค่อยชักมือกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “กลางคืนหนาว คอเสื้อเปิดกว้างระวังจะเป็นหวัด”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสิ่งที่เขาอยากเอ่ยจริงๆ อาจไม่ใช่ประโยคนี้
ท่านมู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านยิ่งกว่าเดิมว่า “ผู้นำเผ่าไต้เม่าก็คือขนมต้ม ระวังกินแล้ว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
พอเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ จิ่งเหิงปัวก็ลืมตำหนิ คิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่า ข้าต้องเป็นคนแก้ไขสถานการณ์ผู้นี้ ทว่าระหว่างคบค้าสมาคมกับผู้นำเผ่าไต้เม่า ก็ต้องป้องกันตนไม่ให้โดนเขาหลอกใช้ ถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าหลัง?”
เขายิ้มแย้มชูถ้วยให้นาง สายตาฉายแววชื่นชม มีความปลื้มใจที่สตรีเติบโตจนได้
นางดื่มสุราหนึ่งถ้วยดังเอื๊อก ไม่รู้ว่ากระบอกสุรามาทางนางนี้ตั้งแต่เมื่อไร
อาหารที่อยู่บนโต๊ะเรี่ยราด ถั่วคั่วโป๊ยกั๊กกลิ้งมัวซั่วไปทั่วทั้งโต๊ะ เนื้อวัวกระจัดกระจาย ขนมโก๋แตกเป็นเศษเสี้ยว สุราถึงก้นถ้วยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาดื่มเพียงถ้วยแรกที่ตนเองรินไว้
“อยากใช้วิธีการใด ออกโรงที่ไต้เม่า?” เขาจัดอาหารที่เหลือใส่ในจานใบหนึ่ง ชูถ้วยยิ้มถามนาง
สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้เริ่มเมาตั้งแต่ยามใด นัยน์ตาพร่างพราว ผมเผ้ายุ่งเหยิง สองแก้มท่วมท้นด้วยสีดอกท้ออ่อนจาง
ตัวรถโยกคลอน อีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ใบหน้าที่มีสีหน้าโหดเ**้ยมยื่นเข้ามาในหน้าต่างรถ
นางคว้าจานน้อยมาคว่ำลงบนใบหน้าคนนั้นดังเพียะ มือสะบัดเพียงครั้ง คนนั้นเลือดท่วมหน้า ลอยถอยไปเป็นเส้นโค้งคมกริบ กระแทกบนต้นไม้ที่อยู่ไกลเกินสามลี้ อาหารทั่วหน้าสาดกระเซ็น
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน นางหัวเราะดังลั่น เปี่ยมด้วยพลัง
“ข้าต้องการออกโรงอย่างเกรียงไกรที่สุด บอกพวกเขาว่า ผู้ใดถึงเป็นราชินี!”