ครู่นั้นที่จิ่งเหิงปัวเมาอาละวาด ทั่วทั้งไต้เม่า แม้แต่สถานที่ซึ่งยิ่งห่างไกลออกไป ก็วุ่นวายเช่นเดียวกัน
นอกแดนมนุษย์มีเขาเซียน ตั้งอยู่ระหว่างความเลือนรางว่างเปล่า
ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็จะเห็นสีขาวผ่องที่เชื่อมจรดท้องฟ้าสีคราม แสงหิมะเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ ดูบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
รอบภูเขาหิมะสิบลี้ไร้ร่องรอยผู้คน ห่างออกไปสิบลี้มีหมู่บ้าน ยามที่อากาศสดใส คนที่อยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้นขึ้นไปมองบนที่สูง จะเห็นว่าบนภูเขาหิมะมีไอควันกับเงาคนสีขาวลอยออกมาบ่อยครั้ง
พวกเขาคิดว่านั่นคือเทพเซียน เทพเซียนที่สูดเมฆหมอกหลากสีสัน คายสายรุ้งเจิดจ้า ควบคุมพลังปราณแห่งฟ้าดิน ปุถุชนไม่อาจล่วงเกิน มิฉะนั้นจะต้องประสบเคราะห์ร้าย
เอ่ยเช่นนี้ก็มีเหตุผล เมื่อสิบปีก่อน เคยมีคนอยากได้เหยื่อบนภูเขา เมื่อเดินทางเข้าไปล่าสัตว์ ไปแล้วไปลับ ซ้ำยังมีจอมยุทธ์พเนจรบางส่วนที่มาจากแดนไกล ได้ยินว่ามีเซียนอยู่บนภูเขา บางคนไม่เชื่อ บางคนใฝ่หา เข้าไปตามหาความจริงบนภูเขาโดยไม่ฟังคำห้ามปราม ต่างก็ไปแล้วไปลับเช่นเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเล่าขานก็กลายเป็นเรื่องจริง กลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่เอ่ยถึงไม่ได้ เหล่าชาวบ้านคิดว่าหากนั่นไม่ใช่เซียน แล้วอะไรที่เรียกว่าเซียน? พวกเขาไม่ข้องเกี่ยวทางโลก หลายปีมานี้ก็ไม่มีใครเคยเห็นเซียนบนภูเขา พวกเขาเหาะไปเหาะมา บางครั้งก็ได้เห็นเงาคนกะพริบวูบดั่งไอควัน หายไปในทันใด นอกจากเซียนแล้ว คนธรรมดาจะทำเช่นนี้ได้ที่ใดกัน
เหล่าชาวบ้านเงยหน้ามองเขาเซียนบ่อยครั้ง คิดว่าเซียนที่มีระดับสูงที่สุดและมีอิทธิฤทธิ์เท่าเทพที่สุดนั้นคงอาศัยอยู่ที่จุดสูงสุดของภูเขาเป็นแน่แท้ ทุกวันกินแต่เมฆหมอกหลากสีสัน อาบน้ำด้วยแสงแห่งท้องฟ้า
จุดสูงสุดของภูเขา
หิมะหนาที่ไม่ละลายตลอดทั้งปีท่วมเลยเข่าคน ที่แท้มีเงาคนนับมิถ้วนเคลื่อนไหวบนพื้นหิมะ คนเหล่านั้นสวมแพรขาวหนาเตอะ มือกุมแส้ยาวที่มีหนามย้อน เที่ยวท่องบนหิมะหนาที่ว่างเปล่า ดูท่ากำลังตรวจตราอะไรอยู่ ทว่ามองไม่เห็นคนบนพื้นหิมะ
คนที่แต่งกายเช่นเดียวกันกลุ่มหนึ่งขึ้นมาจากฝั่งหนึ่งของเส้นทางภูเขา ทุกคนหิ้วตะกร้าหนึ่งใบไว้ในมือ คนที่ตรวจตราบนภูเขาเดินเข้าไป เมื่อลองนับจำนวนก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดนับวันคนยิ่งน้อยลง”
“หาไม่ได้ง่ายๆ น่ะสิ” คนที่ขึ้นมาจากเชิงเขาเอ่ยว่า “ทารกที่ถูกทิ้ง เด็กที่พิการ เด็กที่ถูกลักพาตัว รวมทั้งลูกภรรยาน้อยในตระกูลใหญ่โตที่ถูกภรรยาเอกทิ้ง เท่าที่หามาได้ก็หามาหมดแล้ว เด็กบางส่วนที่ครอบครัวยากจนเลี้ยงไม่ไหวก็จ่ายเงินเอากลับมาแล้ว ต้าฮวงมีสภาพแวดล้อมเลวร้าย ให้กำเนิดได้ไม่มาก แล้วจะทนให้พวกเราเสาะหาเป็นกลุ่มๆ เช่นนี้ได้ที่ใดเล่า”
“หาไม่ได้ก็ลองไปหาที่แคว้นเล็กทุกแห่งบริเวณนี้” คนที่ตรวจตราบนภูเขารับตะกร้าใบหนึ่งมา ในตะกร้านั้นมีทารกคนหนึ่ง อายุประมาณครึ่งสัปดาห์ได้ ใบหน้าน้อยๆ หนาวเหน็บจนแดงก่ำ ไม่รู้เหตุใดถึงไม่ร้องไห้ ดวงตาสีดำขลับจ้องใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ท่าทางดูท่าน่ารักน่าชัง
ทว่าชายผู้นั้นกลับมองอย่างเย็นชาราวกับมองก้อนหิน เขาถอดเสื้อผ้าของทารกทิ้งในไม่กี่ครั้ง ก่อนจะฉวยโอกาสโยนลงไปในพื้นหิมะ
เสียงร้องไห้ยังไม่ทันดังขึ้นก็ถูกหิมะปกคลุม หิมะผืนนั้นจมลงไปเกือบฉื่อ หิมะผืนข้างๆ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ผู้ตรวจตราคนนั้นก็หวดแส้ลงไปเสียงดัง เพียะ!
“อย่าขยับมั่วซั่ว!”
เสียงทุ้มต่ำดังเพียะ เกล็ดหิมะสาดกระเซ็น บนพื้นหิมะปรากฏรอยคราบเลือดเป็นทางยาวรำไร ไม่นานก็ถูกหิมะหนาที่พุ่งมารอบด้านปกคลุมอีกครั้ง
พื้นหิมะผืนนั้นเงียบสงบลงแล้ว
ผู้คนรอบข้างคล้ายไม่ได้เห็นฉากนี้ แต่ละคนถอดเสื้อผ้าของทารกในตะกร้าของตน ก่อนจะโยนเข้าไปในพื้นหิมะอย่างรวดเร็ว
ทารกบางคนเปล่งเสียงร้องไห้ดังกังวาน บางคนร้องอ้อแอ้จากนั้นก็เงียบเสียงลง บางคนเปล่งเสียงไม่ออกด้วยซ้ำ
ผู้ตรวจตราที่เอ่ยวาจาเป็นคนแรกนั้นฟังอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยว่า “นับวันยิ่งด้อยกว่าเดิม!”
คนที่ส่งทารกขึ้นมาจากเชิงเขาก็ก้มหน้าคล้ายกระทำความผิด รู้ว่ารางวัลที่จะได้รับจากงานหนักเที่ยวนี้ก็มีจำกัดแล้ว
ผู้ตรวจตราโบกมือให้เขา “ลงไปรับรางวัลเถิด ครานี้อาจจะเปลี่ยนหน้าที่ให้เจ้า”
คนที่ส่งทารกขึ้นเขาเดินออกไปแล้ว ผู้ตรวจตราดูเวลาแล้วเอ่ยว่า “อีกครึ่งชั่วยามค่อยขุดออกมา”
“ขอรับ”
ผู้ตรวจตราถือแส้เดินตรวจตราต่อไป เขากับสหายเดินในพื้นหิมะ แผ่วเบาไม่ทิ้งร่องรอย พอเห็นพื้นหิมะที่ใต้ฝ่าเท้ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย ก็หวดแส้ลงไปดังเพียะ
พื้นหิมะสงบเงียบลงแล้ว เขาเดินไปถึงสุดปลายพื้นหิมะ ทางนั้นคือหน้าผาผืนหนึ่ง
“กลุ่มก่อนหน้าได้เวลาแล้ว” เขาเอ่ย
ลูกน้องคุ้ยกองหิมะ ลากร่างที่แข็งทื่อบางส่วนออกมา ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุสามหรือสี่ปี ร่างที่ใส่เสื้อผ้าบางๆ แข็งทื่อเขียวคล้ำ หนาวตายใต้หิมะแล้ว
เขาใช้แส้พลิกไปมาโดยละเอียดราวกับเขี่ยเนื้อหมู บางครั้งพบว่าคนหนึ่งยังมีลมหายใจ ก็เอ่ยว่า “ส่งไปหลังเขา”
ตรวจเด็กหนึ่งกลุ่มเสร็จก็มีเพียงสองคนที่ยังมีชีวิต เขาถอนใจออกมา ส่ายหน้าแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า “ด้อยลงทุกปี”
จัดการกลุ่มนี้เสร็จ เขาก็ลงไปข้างล่างอีกหน่อย ถัดจากเส้นทางภูเขาช่วงหนึ่งมีน้ำตกน้อยแห่งหนึ่ง เด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบสิบกว่าคนนั่งอยู่ใต้น้ำตก น้ำไหลที่เจือด้วยผลึกน้ำแข็งเล็กละเอียดนับมิถ้วนก็พุ่งลงบนศีรษะพวกเขาโดยไร้สิ่งกีดขวางเช่นนั้น
เด็กๆ เขียวคล้ำไปทั้งตัว ทั่วทั้งร่างสั่นระริก พยายามนั่งขัดสมาธิบนหินกลมที่หนาวเย็น ต้องทนต่อน้ำเย็นที่กระแทกเหนือศีรษะอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังไม่อาจลื่นตกหินกลม บนหินล้วนเป็นเศษน้ำแข็ง รอบด้านโค้งมนยิ่งนัก
ผลึกน้ำแข็งในน้ำตกเกิดขึ้นตามโอกาส เล็กบ้างใหญ่บ้าง แหลมคมบ้าง กลมทื่อบ้าง ผลึกเล็กและผลึกกลมทื่อกระแทกบนศีรษะเพียงเป็นรอยนูน หากเจอผลึกใหญ่และผลึกแหลมคม ก็อาจจบลงด้วยการแทงทะลุกลางกะโหลก
ที่นี่ ไม่เพียงต้องการความสามารถ ซ้ำยังต้องการโชคด้วย
ยามที่ผู้ตรวจตรามาถึง ผลึกน้ำแข็งใหญ่แท่งหนึ่งก็กำลังไหลลงมาตามน้ำตก ร่วงใส่ศีรษะของเด็กคนหนึ่ง เด็กคนนั้นร้องโอ๊ยออกมา หยาดโลหิตสาดกระเซ็นบนศีรษะ เรือนร่างเอนเอียง ลื่นตกหินกลม
ยามที่ตกลงไปเขาก็ยื่นแขนน้อยที่หนาวจนเขียวคล้ำออกมาอย่างสิ้นหวัง คล้ายกำลังอ้อนวอนให้มือสักคู่ช่วยเหลือ
ทว่าไม่มีใครช่วยเขา เหล่าสหายกัดฟันกรอดกำลังต่อสู้กับโชคชะตาของตน ผู้ตรวจตรากอดอกอย่างเย็นชา สายตาดั่งเห็นกวางที่อ่อนแอตัวหนึ่งถูกธนูแห่งโชคชะตายิงทะลุ
ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องการอยู่รอด
นี่คือกฎเหล็กของภูเขาหิมะ
ร่างน้อยอ่อนแอของเด็กคนนั้นคว่ำลงไป พัดสู่กระแสน้ำแข็งไหลเชี่ยว ใต้น้ำตกก็คือร่องน้ำแห่งหนึ่ง เด็กที่ตกลงไปจะถูกน้ำพัดสู่ถ้ำมืดในภูเขา เน่าเปื่อยในน้ำลึก ไม่เห็นแสงอาทิตย์ชั่วนิรันดร์
กระแสน้ำแข็งเป็นสีชมพูชั่วขณะ จากนั้นก็กลับมาใสแจ๋วอีกครั้ง น้ำนี้ไหลไม่มีที่สิ้นสุด โลหิตมากกว่านี้ก็ย้อมให้แดงไม่ได้
เด็กที่เหลือเห็นจุดจบของสหายกับตา ส่วนใหญ่ไร้ซึ่งสีหน้า นั่งนิ่งต่อไป
หากนั่งไม่นิ่ง รายถัดไปก็คือตนเอง
ผู้ตรวจตราเดินหน้าต่อไป
ข้างหน้าคือถ้ำมืดช่วงหนึ่ง พอเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่แตกต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิง…ร้อนผะผ่าว คล้ายข้างในจุดเตาหลอมนับมิถ้วน
ทนอยู่ใต้น้ำตกธารน้ำแข็งสามวันแล้วมาถึงที่นี่กะทันหัน ภายใต้ความร้อนและความเย็นปะทะกัน คนที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอก็จะล้มลงไปโดยพลัน
คนที่ไม่ล้มลงไปจะได้เข้าสู่ถ้ำน้อยในถ้ำมืด สองฝั่งถ้ำมืดล้วนเป็นถ้ำน้อยเช่นนี้ ทุกถ้ำเรืองแสงสีแดงสลัว ดั่งไฟชำระดั่งไฟใต้ดิน เห็นแล้วพาให้คนเกิดความหวาดกลัวในใจ
ทว่าพวกเขาลังเลไม่ได้ จะต้องเดินเข้าไปโดยพลัน
เดินเข้าไปในถ้ำมืดนั้นก็มีอะไรซ่อนอยู่เช่นกัน บางแห่งเป็นถ้ำไฟสวรรค์จริงๆ พอเข้าไปก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน บางแห่งกลับเป็นถ้ำหินเลือดที่ฝึกฝนร่างกายได้ แม้ต้องทุกข์ทรมาน แต่ได้ประโยชน์ไม่น้อย ซ้ำยังมีถ้ำวรยุทธ์ธาตุไฟที่มีระดับสูงกว่าถ้ำอื่น ฝึกร่างกายได้ บำรุงปราณได้ เรียนรู้พลังภายในขั้นสูงบนผนังถ้ำได้
เดินเข้าไปในถ้ำที่แตกต่างกันก็เป็นจุดจบที่แตกต่างกัน ที่นี่ไม่ต้องการความโชคดี ทว่าต้องการสติปัญญา
ช่วงแรกที่เข้าถ้ำก็จะมีเบาะแสกับความนัยบางส่วนชี้นำการเลือกถ้ำน้อย ทว่าจะไม่มีคนบอกเจ้า อาศัยเพียงสติปัญญากับความเฉลียวฉลาดของตัวเจ้าเองค้นพบถ้ำน้อยนั้น
เด็กหลายคนผ่านพ้นการหายใจเช่นเต่าในพื้นหิมะ ผ่านพ้นน้ำตกธารน้ำแข็ง เข้าสู่ในถ้ำนี้ รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่ได้เจอนานแล้ว หากเชื่อผู้นำทางว่า ‘ทุกถ้ำมีสิ่งดีทั้งนั้น’ รีบหาถ้ำผิงไฟ ก็จะเอาชีวิตไปทิ้งเช่นนี้
มีเพียงเด็กที่ทั้งรอบคอบทั้งระมัดระวังทั้งเฉลียวฉลาดที่สุดถึงจะผ่านด่านนี้ได้