ตอนที่ 232 ไอ้บ้าหยางโป

หยางหลางรีบกลับมาพร้อมกับยื่นกระเป๋ามาให้พ่อของเขา “ได้มาแค่สามร้อยน่ะพ่อ ตอนที่หลานเยว่ออกไปเธอหยิบไวน์ออกไปขวดนึงด้วย”

พ่อของเขาได้ยินแบบนั้นก็โยนแก้วน้ำในมือลง “บ้าเอ้ย!”

หยางหลางได้ยินแบบนั้นก็เกิดอาการตกใจเช่นเดียวกัน แถมท่าทางของเขาในเวลานี้ก็แตกต่างกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง “พ่อ…ตอนนี้เราไม่มีเงินแล้ว เราจะทำยังไงกันต่อดี?”

“ชิ!” พ่อหยางเปล่งเสียงสบถออกมา “หมอนั่นจ่ายค่าโรงพยาบาลล่วงหน้าเอาไว้แล้วเจ็ดวัน ภายในเจ็ดวันนี้พวกเรากว่าจะได้เงินจำนวนมากคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นหลังจากนี้เราต้องหาเงิน!”

 

หยางหลางถาม “หายังไงบล่ะพ่อ?”

“แกรู้รึเปล่าว่าร้านขายวัตถุโบราณที่หยางโปไปทำงานอยู่ที่ไหน?”

“รู้ครับ ผมเคยไปกับหยวนซานครั้งนึง”

พ่อของเขาพยักหน้า “คืนนี้แกไปซื้อวัตถุโบราณมาสักชิ้น แต่จำเอาไว้นะว่าต้องซื้อของถูกๆเท่านั้นให้ดีก็หาพวกของที่คล้ายกันกับพวกหยกโบราณ พรุ่งนี้เราจะใช้ประโยชน์จากมัน”

หยางหลางค้างไปทันที “มัน…..”

“ไม่ต้องถามมาก! รอให้ถึงวันพรุ่งนี้เดี๋ยวแกก็รู้เอง!” พ่อหยางพูด

….

 

หลังจากหยางโปเจรจากันจบแล้วก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี ทุกคนจึงออกไปหาอะไรกินด้วยกัน

ในเวลานั้นเองจู่ๆหลิวเหลียงอวี้ก็โทรมาหาหยางโปจนทำให้เขาอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้

“เถ้าแก่หยาง ร้านสืออี๋ถางจะเปิดเมื่อไหร่เนี่ย? นี่ก็หลายวันแล้วนะที่ไม่ได้เปิดร้านน่ะ” อีกฝ่ายพูด

ช่วงนี้หยางโปออกมาข้างนอกตลอดจนไม่มีเวลาทำงาน และแน่นอนว่าเป็นเพราะในร้านของเขาก็แทบจะไม่มีของเหลืออยู่ในร้านแล้วด้วยเขาจึงไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ต้องเปิดอยู่แล้วสิ แต่แค่ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อยน่ะก็เลยไม่มีเวลากลับไปเปิดร้าน”

“นี่ว่าแต่นายรู้จักพ่อลูกคู่นึงไหม เป็นชายผมขาวอายุมากหน่อย ดั้งโด่งๆ ปากกว้างๆ ส่วนลูกชายเขาก็ดูหน้าตาคล้ายๆพอของเขา” หลิวเหลียงอวี้ถาม

 

หยางโปชะงัก “ถ้าทายไม่ผิดคงจะเป็นพ่อกับพี่ชายของผม”

อีกฝ่ายหัวเราะหึหึ “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง นายรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเขากำลังมาวางแผงลอยอยู่หน้าประตูร้านของนายนะ!”

หยางโปตกใจ “ตั้งแผงลอย? พวกเขามาตั้งแผงลอยหน้าร้านผมได้ยังไงเนี่ย?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เมื่อตอนเช้าฉันได้ยินคนเดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตูร้านนายแถมคนเยอะมากเลยนะ ตอนแรกฉันคิดว่ามีขโมยซะอีก ก็เลยรีบวิ่งไปดูแต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเอาเครื่องหยกมาวางขายแถมยังวางโทรโข่งแล้วตะโกนไปทั่วเลยด้วย” หลิวเหลียงอวี้พูด

 

หยางโปได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแอบบ่นพ่อลูกคู่นั้นที่ทำแบบนี้ “แล้วพวกเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นที่ผิดปกติใช่ไหม?”

หลิวเหลียงอวี้หัวเราะหึหึ “ทำเรื่องออกนอกเส้นทางรึเปล่าฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่คนที่ไปยืนล้อมพวกเขาเยอะมาก เดี๋ยวฉันจะเปิดสปีคเกอร์ให้นายฟังเอาเองก็แล้วกัน”

พูดจบหลิวเหลียงอวี้ก็เปิดสปีคเกอร์ให้หยางโปฟังทันที

ทันใดนั้นหยางโปก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังเข้ามาในสาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนมากที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นเสียงจากโทรโข่งก็ดังขึ้น

 

“เถ้าแก่หยางโปเจ้าของร้านสืออี้ถางบ้านั่นเสียพนันจนเป็นหนี้ตั้ง 350 ล้านหยวน ตอนนี้หนีไปพร้อมกับกิ๊กของมันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอาเครื่องหยกพวกนี้มาขายออก ราคาเดิมของมันคือแปดหมื่น หนึ่งแสนแล้วก็สองแสน ตอนนี้ฉันจะขายมันออกไปแค่สองหมื่นหยวนเท่านั้น! ไอ้บ้าหยางโปนั่นไม่ใช่มนุษย์ พวกเราอุตส่าห์เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยคิดจะให้เงินค่าเลี้ยงดูสักเหรียญเดียว นอกจากจะไม่ให้แล้วยังมาขูดรีดเงินฉันอีก!”

หยางโปได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็แทบจะกระอักเลือดออกมา คำพูดพวกนี้มันน่าเกียจเกินไปจริงๆ อันที่จริงเขาเองก็เคยได้ยินคำพูดเกินจริงเวลาต้องการจะขายของออกจากปากของพวกคนขายแพงลอย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกพ่อและพี่ชายของตัวเองใช้เอาเป็นเครื่องมือเพื่อขายของแบบนี้!

 

ในเวลานั้นหลิวเหลียงอวี้ก็ปิดสปีคเกอร์ก่อนที่จะถามหยางโปว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”

หยางโปเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่การที่พ่อและพี่ชายของเขามาพูดให้เขาเสียๆหายๆแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกโกรธมากจริงๆ

“พี่หลิว ขอบคุณมากนะที่มาบอก หลังจากนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเอง” หยางโปพูด

อีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก “โอเค ถ้านายจัดการเองได้ก็โอเค”

หยางโปเดินออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกระเบียงและเขาเองก็ไม่รู้ว่าทางฝั่งจินหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อวานหยางหลางโทรหาเขาหลายสายมากและมีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่ยังไงเขาก็ไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งหยางโปก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ได้…ยังไงก็ปล่อยให้หยางหลางกับพ่อวางแผงลอยหน้าร้านของเขาไม่ได้เด็ดขาด

 

หลังจากโทรรายงานแล้ว หยางโปก็เดินกลับเข้าไปด้านใน เขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาเสียเวลาอะไรมากมายนัก บางทีอาจจะวุ่นวายแค่วันสองวัน หลังจากนั้นก็อาจจะสงบลงแล้ว

“รัฐมนตรีชุย!”

หยางโปที่กำลังเปิดประตู จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากไกลๆ หยางโปจึงรีบหันไปก่อนที่จะเห็นชายวัยกลางคนหน้าแดงก่ำที่กำลังมองมา

ชายวัยกลางคนมองมาที่หยางโปก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “โทษทีนะเพื่อน ฉันจำคนผิดน่ะ”

หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้อง

ในเวลานั้นเองทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะกินกันเกือบเสร็จหมดแล้ว หลังจากที่เห็นหยางโปเดินเข้ามาหลูตงซิ่งก็ถามขึ้นมาว่า “นายจะกินอะไรเพิ่มอีกไหม?”

 

หยางโปที่ตอนแรกรู้สึกหิวมาก แต่หลังจากที่ได้รับสายจากหลิวเหลียงอวี้แล้วเขาก็ไม่อยากกินอะไรขึ้นมาในทันที เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป

“โอเค ถ้างั้นพวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า” หลูตงซิ่งพูด

หยางโปพยักหน้าพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมก่อนที่จะเดินออกไป

ในเวลานั้นเองชายวัยกลางคนก็กลับมาที่โต๊ะด้วยท่าทางมึนงงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ถึงแม้ว่าเขาจะเดินไปอ้วกมาแล้วแต่เขาก็ยังยกแก้วพร้อมกับหันไปทางผู้ชายที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานพร้อมกับพูด “รัฐมนตรีชุย ผมขอดื่มให้กับท่านเป็นการขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ การทำงานของพวกเราเป็นไปอย่างยากลำบากมากจริงๆ การที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านยิ่งทำให้ความยากในการทำงานของพวกเราลดน้อยลง แก้วนี้ผมจะดื่มหมดแก้วให้กับท่านเพื่อเป็นการขอบคุณจากใจครับ! “

 

พูดจบเขาก็ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว

ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอายุราวๆห้าสิบปียิ้มพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ “เลขานุการจี้ก็พูดเกินไปแล้ว”

ชายวัยกลางคนยกแก้วในมือขึ้นมาก่อนที่จะกินจนหมดแก้ว หลังจากหมดแก้วแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “วันนี้รู้สึกมึนหัวจนตาลายเหมือนกัน เมื่อกี้ตอนออกไปห้องน้ำเห็นคนยืนอยู่ข้างทางเดินเห็นจากด้านข้างรูปร่างเหมือนท่านรัฐมนตรีชุยเลย ผมสีดำขลับเหมือนกันด้วย ผมเองก็เผลอตะโกนเรียกไป แต่พอเห็นหน้าจริงๆที่ยังดูเป็นเด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ แต่เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนท่านมากเลยนะครับ เหมือนจนน่าประหลาดใจจริงๆ”

ชายวัยกลางคนพูดปนขำแต่รัฐมันตรีชุยกลับชะงักไปพร้อมกับจ้องอีกฝ่าย “เลขานุการจี้…คุณแน่ใจเหรอครับว่าด้านนอกมีคนหน้าตาเหมือนกับผมจริงๆ?”

 

“เหมือนมากเลยครับ เหมือนกันอย่างกับแกะเลยด้วย ถ้าไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีชุย…เอ่อะ…” ชายวัยกลางคนชะงักไปก่อนที่จะตบปากตัวเอง “ขอโทษครับรัฐมนตรีชุย ผมพูดผิดไปแล้ว”

ชุยซื่อหยวนไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่ยังคงถามต่อว่า “เมื่อกี้ที่คุณพูดคือเรื่องจริงใช่ไหม? มีคนหน้าคล้ายผมจริงๆใช่ไหม? รีบพาผมไปหาคนๆนั้นหน่อย!”

ชายวัยกลางคนชะงักไปก่อนที่จะรีบพยักหน้า “คะ…ครับครับ!”