ตอนที่ 231 เจราจาต่อรอง

ตอนค่ำหยางโปพาทั้งสองคนไปเลี้ยงอาหารค่ำพร้อมกับมอบหน้าที่ในการสร้างชั้นสองให้กับลัวยาวหัวเป็นคนจัดการและแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ตอบรับกลับมาด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก การที่มอบให้เขาดูแลเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาและไม่มีใครกล้าที่จะฟันราคาของเขาอย่างแน่นอน

ในตอนกลางคืนหลังจากที่หยางโปกลับมาถึงโรงแรมแล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนที่จะพบว่าหยางหลางโทรหาเขาสิบกว่าสายแถมยังส่งข้อความมาหลายสิบบันทึกพร้อมกับพิมพ์ถามว่า “อยู่ไหม?”

หยางโปยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในเมื่อถามว่าอยู่ไหมถ้างั้นก็ขอไม่อยู่ก็แล้วกันนะ อีกอย่างเขาเองก็รู้สึกได้ว่าหยางหลางมาหาเขาจะต้องไม่ใช่เรื่องอื่นนอกจากจะคะยั้นคะยอให้เขาซื้อบ้านให้แน่ๆ

 

วันรุ่งขึ้นหลูตงซิ่งก็รีบมาปักกิ่งทันที เป็นเพราะเจ้าอ้วนหลิวเองก็อยู่หยางโปเองก็ไม่กล้าที่จะไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนเขาจึงโทรไปหาหลูตงซิ่งเพื่อบอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าหลูตงซิ่งและเจ้าอ้วนหลิวจะสนิทกันแถมยังเชื่อใจเจ้าอ้วนหลิวด้วยจึงทำให้หยางโปพาเขาไปด้วยกัน

หลังจากที่มาถึงห้องรับแขกของโรงแรมแล้ว หยางโป ลัวย่าวหัว เจ้าอ้วนหลิวและหลูตงซิ่งก็นัดมาเจอกัน

ลัวย่าวหัวเข้ามาด้านในห้องพร้อมกับยิ้ม “ผมรอตั้งนานแหน่ะ”

หลูตงซิ่งที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาหันมามองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับผายมือเพื่อให้พวกเขานั่งลง “โทษทีนะพอดีฉันมีเรื่องยุ่งๆน่ะ ไม่มีเวลาว่างปลีกตัวออกมาเลย อีกอย่างฉันต้องจัดการเคลียเรื่องให้เรียบร้อย นี่ก็เพิ่งจะมีเวลาว่างเนี่ยแหละ “

 

หยางโปยิ้ม “เถ้าแก่หลูธุรกิจใหญ่โต การที่จะไม่มีเวลาว่างก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะครับ”

หลูตงซิ่งกำหมัดข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างกุมเอาไว้ “ต้องขอบคุณหยางโปที่เข้าใจนะ ไม่เหมือนใครบางคนที่ขาข้างหนึ่งเข้าสู่สนามธุรกิจแถมกำลังจะต้องยุ่งวุ่นวายเหมือนกันแล้วแท้ๆ แต่กลับมาหัวเราะคนทำธุรกิจแบบฉัน หึหึ”

พูดจบหลูตงซิ่งก็หัวเราะออกมา

ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าเจื่อนออกมา “อีกไม่นานก็จะเข้าสู่สนามธุรกิจแล้วผมเองก็เครียดเหมือนกัน นี่ถ้าหยางโปไม่ช่วย หลังจากนี้ผมคงต้องไปเรียนรู้กับบรรพบุรุษอีกเยอะเลย”

หลูตงซิ่ง “ฮ่าๆ ก็จริงอย่างที่นายว่า”

 

หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งลงแล้วก็เริ่มรินน้ำชาใส่แก้วของตัวเอง

เจ้าอ้วนหลิวหันไปพยักหน้าให้หลูตงซิ่ง “เถ้าแก่หลู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

หลูตงซิ่งพยักหน้า “โลกนี้มันช่างกลมจริงๆเลยนะ ไปที่ไหนก็เจอแต่คนรู้จักทั้งนั้นเลย นี่พวกเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”

หยางโปนั่งฟังแต่ละคนสนทนาไปพลางจิบชาในมือไปพลาง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวัตถุประสงค์ที่มารวมตัวกันครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เขาคิดว่ามันคงจะไม่ใช่แค่การมานั่งคุยเพื่อคลายเครียดแน่ๆ ตอนแรกเขาเองก็ถามลัวย่าวหัวแล้วแต่ลัวย่าวหัวไม่ได้บอกอะไร เขาจึงทำได้แค่เงียบและรอดูต่อไปด้วยตนเอง

 

หลังจากคุยกันครู่นึงแล้ว หลูตรงซิ่งก็วางแก้วในมือลงก่อนที่จะไอกระแอ่มออกมาจนทำให้ทุกคนหันไปมองเขา ดูเหมือนว่าคงจะถึงเวลาที่จะเข้าเรื่องจริงๆแล้วสินะ

“ที่เรียกมาเจอกันครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก คือเพื่อนของฉันเขามีงานอยู่งานนึงอยากให้ฉันไปช่วย ฉันเดาว่าพวกนายคงอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อาจจะอยากไปดูในงาน ฉันก็เลยเรียกทุกคนให้มาน่ะ” หลูตงซิ่งพูด

หยางโปได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงงานอะไรกันแน่ ในขณะที่ลัวย่าวหัวเองก็มองไปที่หลูตงซิ่งด้วยความแปลกใจ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนหลินจะพอเดาได้ว่ามันหมายความว่ายังไง

 

หลูตงซิ่งเองก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคนคงจะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เขาจึงยิ้มออกมาก่อนที่จะใช้หยดน้ำที่อยู่ในก้นแก้วเขียนบนโต๊ะว่า “ปล้นหลุมฝังศพ”

หยางโปชะงักไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องนี้เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นงานที่เกี่ยวกับการประเมินวัตถุโบราณหรือไม่ก็อาจจะไปซื้อวัตถุโบราณที่ไหนสักแห่ง แต่งานในครั้งนี้กลับกลายเป็นงานที่เกี่ยวกับหลุมฝังศพ!

หยางโปเริ่มเกิดอาการลังเลขึ้นมา อันที่จริงเขาเองก็เป็นคนที่ขี้ขลาดในระดับหนึ่งเหมือนกัน ครั้งก่อนที่เขากล้าเข้าไปขโมยของในสุสานของหงซิ่วก็เป็นเพราะเขาคำนวนดูแล้วว่าผลประโยชน์จากสุสานหงซิ่วจะตอบแทนเขาได้มากพอ ถ้าหากเป็นหลุมศพธรรมดาแล้วมีความเสี่ยงสูงแถมผลประโยชน์ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกลังเลเป็นอย่างมาก

 

ลัวย่าวหัวพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาคิดอะไรให้มากมาย “โอเคครับ ผมเองก็อยากรู้เรื่องพวกนี้มากเหมือนกัน ถ้าได้เข้าร่วมคงจะดีมากเลย”

เจ้าอ้วนหลิวเองก็เช่นกัน เป็นเพราะเขารู้เรื่องนี้ก่อนแล้วแถมไหนๆเขาก็มาแล้วแถมยังเป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าร่วม ถ้าหากไม่ได้เข้าไปเขาเกรงว่าคงจะไม่สามารถกลับไปอย่างสบายใจได้ เขาจึงรีบพยักหน้าตอบรับกลับไปในทันที

สายตาของทุกคนในเวลานี้มาหยุดที่หยางโปอีกครั้ง ลัวย่าวหัวเองก็พอจะดูออกว่าหยางโปเองก็ลังเล เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “เรื่องเล็กแค่นี้นายจะคิดอะไรอยู่อีกเนี่ย? นายไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรับประกันความปลอดภัยให้นายได้”

 

หยางโปยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่นึกถึงพ่อของลัวย่าวหัว “อันที่จริงฉันกะว่าจะกลับจินหลิงน่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงต้องไปกับพวกนายก่อนแล้วสิ”

ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา

….

หยางหลางโทรหาหยางโปสิบกว่าสายแล้วแถมยังส่งข้อความไปนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับสายของเขาหรือตอบข้อความกลับมาเลยสักนิด จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา

พ่อหยางเองก็ด่าไปพลางสาปแช่งไปพลาง ในเวลาเดียวกันนั้นก็หันไปหาหยางหลางพร้อมกับพูด “ในเมื่อมันไม่กลับมาพวกเราก็นั่งเฉยๆกันแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ตอนนี้แกมีเงินอยู่เท่าไหร่?”

 

หยางหลางชะงักไปก่อนที่จะควักกระเป๋าตังในกระเป๋าออกมาก่อนที่จะพบว่ามันมีเพียงเหรียญเล็กๆอยู่ในกระเป๋าเท่านั้น

พ่อหยางส่งเสียงหึออกมาจากลำคอก่อนที่จะหันไปหาแม่ “ตอนนี้เรามีเงินเหลือยู่เท่าไหร่?”

แม่หยางแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาก่อนที่จะชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว

“สองหมื่น?” พ่อหยางถาม

แม่หยางส่ายหน้า

“สองพัน?” พ่อหยางยังคงถามอีกครั้ง

 

แม่หยางก็ยังคงส่ายหน้า

พ่อหยางหน้าเปลี่ยนสี “ทำไมถึงเหลือเงินแค่สองร้อย?”

“ตอนนี้เหลือแค่ยี่สิบแล้ว ตอนที่เราไปช่วยเสี่ยวหลางไว้ก็จ่ายไปตั้งสามพันกว่าหยวน ตอนนี้เราไม่มีเงินเหลือแล้ว” แม่หยางพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ

“ใจดำ!” พ่อหยางตะโกนด่าขึ้นมาก่อนที่จะหันไปหาหยางหลาง “ไอ้ลูกบ้านี่ แกไม่คิดจะเก็บเงินเอาไว้เลยรึไง?”

หยางหลาง “ใครจะไปคิดล่ะพ่อว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้”

พูดจบเขาก็ตบหัวตัวเองก่อนที่จะหันไปหาพ่อของเขา “พ่อผมคิดอะไรออกแล้ว! ที่โรงแรมผมยังมีเงินมัดจำอีกห้าร้อยหยวน”

 

“โรงแรม? แกนอนโรงแรมเหรอ? โรงแรมอะไร?” พ่อหยางถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจปนโมโห

หยางหลางชะงักไปก่อนที่จะแอบเขกหัวตัวเอง พลางด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าพูดออกไปเลย

ทว่าพ่อหยางกลับพอจะเดาอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากด่าออกมาว่า “ไอ้ลูกบ้าเอ้ย! นี่แกคงไปนอนโรงแรมห้าดาวมาสินะ! รีบไปเอาเงินมัดจำออกมาสิ! มีเท่าไหร่ก็ไปเอาออกมาให้หมดเลย!”

หยางหลางรีบตอบรับกลับไปก่อนที่จะวิ่งออกไปเพื่อที่จะไปเอาเงินมัดจำกลับมา ตอนที่เขาวิ่งออกไปก็เผลอสะดุดขาตัวเองจนหน้าคะมำลงกับพื้น แต่เขาก็รีบลุกขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจสายตาใคร

 

ฟางหยีเห็นฉากนั้นพอดีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หลังจากที่กลับมาถึงห้องพักของพยาบาลแล้วก็พบว่าเสี่ยวซวนกำลังพักเที่ยงอยู่เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดแซวขึ้นมาว่า “เสี่ยวซวน ทำไมช่วงนี้เธอไม่ไปดูแลลุงหยางแล้วล่ะ?”

เสี่ยวซวนส่ายหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ฟางหยีเองก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่กลับพูดพร้อมกับยิ้มออกมา “นี่เธอคงไม่รู้สินะว่าเมื่อกี้ฉันเห็นลูกชายคนโตของลุงหยางวิ่งออกไปข้างนอกแล้วเผลอสะดุดขาตัวเองหน้าคะมำด้วยแหละ โคตรตลกเลย ฉันได้ยินเรื่องของพวกเขามาด้วยนะว่าลูกชายคนโตบ้านนี้ไม่เอาถ่านเลย แถมยังปล่อยให้ลูกชายคนเล็กเป็นคนหาเงินคนเดียว ช่างเป็นครอบครัวที่พิลึกกึกกือชะมัด”

เสี่ยวซวนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงมองไปด้านหน้าด้วยความเหม่อลอย ในเวลานี้ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรในใจอยู่