โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.317 – เจอเหลียงกัน

 

แน่นอน ว่ามันใช่แค่เฉพาะเรื่องหวาดระแวง แต่ฉินเฟิงยังจับประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ได้อีกด้วย

 

–ในตอนทำลายตระกูลซิน ฉินเฟิงแม้แข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสามารถต้านทานการบดขยี้จากสามตระกูลที่เหลือได้

 

ดังนั้นทางสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเฉิงหยางจึงไม่เห็นฉินเฟิงอยู่ในสายตา และไม่คิดแบ่งผลประโยชน์ใดๆให้แก่เขาเลย

 

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าฉินเฟิงอ่อนแอและโดดเดี่ยว คิดกระทั่งว่าฉินเฟิงย่อมรู้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง

 

แต่ปัจจุบัน คนที่ ‘รู้ถึงขีดจำกัด’ กลับกลายเป็นสามตระกูลใหญ่ซะเอง

 

“ผู้ว่าการฉิน คุณคิดว่าอย่างไร?” เฉิงโจวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

“อืม สำหรับประเด็นนี้ นายไปพูดกับซูซิงฝูเองก็แล้วกัน ส่วนฉันยังมีบางอย่างที่ต้องทำ เอาไว้ฉันจะไปฟังข้อสรุปจากซูซิงฝูในภายหลังเอง”

 

เมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ เฉิงโจวก็ไม่กล้าโน้มน้าวเขาอีกต่อไป

 

“เข้าใจแล้ว ถ้าผู้ว่าการฉินไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่เป็นไร”

 

แล้วสายสนทนาก็วางไป

 

ฉินเฟิงสะบัดมือปิดอุปกรณ์สื่อสาร พาไป๋หลีขึ้นรถไปด้วยกัน เขาออกจากโถงทดสอบผู้ใช้พลัง เหล่าฝูงชนที่คอยมุงดู เฝ้ามองเขาจนละสายตาไป

 

ภายในรถ ฉินเฟิงขบคิดถึงปัญหาที่ยังค้างคาในเมืองนี้ ก่อนตัดสินใจติดต่อหาคนๆหนึ่ง

 

“ผู้ว่าการฉิน ฉันกำลังคิดจะโทรหาคุณพอดี ได้ยินมาว่าคุณมาเมืองเฉิงหยางใช่ไหม? คงเป็นเรื่องขอรับรองตราผู้ใช้พลังเลเวล D ล่ะสิ”

 

ร่างที่ปรากฏขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสาร คือไป่เทียนหยาง

 

“ดวงตาของเทศมนตรีไป่ช่างเฉียบแหลม ใช่แล้ว ผมมาเพราะเรื่องนั้นจริงๆ แต่ว่า … ตอนนี้ผมยังมีอีกเรื่องหนึ่งในใจ และต้องการขออนุญาตจากคุณก่อน”

 

“โอ้? เรื่องอะไรล่ะ?”

 

“พอดีว่าก่อนหน้านี้ผมได้พบเบาะแสบางอย่าง เป็นเรื่องของเหลียงกัน รองนายพล กองพลที่1 ประจำหน่วยลาดตระเวนภายนอก มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรมืด ผมอยากจะไปสอบถามบางเรื่องกับเขา แต่ผมกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะตอบโต้ขัดขืน และเกิดผลพวงไม่ดีบางอย่างตามมา ดังนั้นเลยโทรมาขออนุญาตคุณก่อน”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” ไป่เทียนหยางยิ้ม แต่ในดวงตาของเขากลับฉายแววหนักอึ้ง เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉินเฟิงเอ่ยเป็นความจริงหรือไม่ “ผู้ว่าการฉิน คุณมีหลักฐานรึเปล่า? ”

 

ฉินเฟิงส่งรูปรอยสักของคนจากองค์กรมืดที่ตนเคยสังหารในตำแหน่งใกล้ๆกับเมืองฟูเฉิง และรอยสักของเหลียงกันให้แก่ไป่เทียนหยาง เริ่มอธิบายให้เขาฟัง

 

“ผู้ว่าการฉิน เรื่องนี้เป็นปัญหาจริงๆ เพราะยังไงซะ เขาก็เป็นถึงรองนายพลของกองทัพเรา” ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนที่รับใช้ทางกองทัพในเมืองเฉิงหยาง ล้วนเคยได้รับการฝึกฝนจากไป่เทียนหยาง

 

ในทำนองเดียวกัน หากจู่ๆมีคนหนึ่งมาบอกกับฉินเฟิงว่า : ผู้บัญชาการทหารวังเฉิน แห่งสถานชุมชนเฟิงหลีของเขามีปัญหาบางอย่าง และต้องการตรวจสอบ โดนร้องขอมาแบบนี้ ต่อให้เป็นฉินเฟิงก็ยังเกิดความลังเล

 

“วางใจเถอะท่านเทศมนตรี ผมแค่จะถามคำถามเขาไม่กี่คำเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทำร้ายเอาชีวิต แต่ผมหวังว่าคุณจะไม่ติดต่อหาเขาหลังจากที่พวกเราวางสายไป มิฉะนั้นคงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น!” ฉินเฟิงเตือน

 

“คุณคิดว่าเหลียงกันเป็น ‘งู’ จริงๆน่ะหรือ?” ไป่เทียนหยางพูดติดตลก อย่างไรก็ตาม ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง

 

“เทศมนตรีไป่ ถือว่าผมติดหนี้คุณครั้งหนึ่งแล้ว” ฉินเฟิงกล่าวดึงดัน อย่างไรก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ได้ๆ ถ้าเหลียงกันมีปัญหาจริงๆ และเป็นการดำรงอยู่ที่อันตราย ฉันก็ขอฝากให้ผู้ว่าการฉินดูแลด้วยก็แล้วกัน” ไป่เทียนหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ทั้งสองสนทนากันอีกนิดหน่อย แล้ววางสายไป

 

รถหรูที่กำลังขับไปตามท้องถนน จู่ๆก็หักเลี้ยวไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างกระทันหัน

 

เหลียงกันเป็นรองนายพลหน่วยลาดตระเวนภายนอก เลยเป็นธรรมดาที่เขาจะประจำการอยู่นอกเมือง —ตำแหน่งของเหลียงกันในปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง

 

ฉินเฟิงขับรถออกจากเมืองเฉิงหยาง ก่อนจะลงจากรถ

 

บนถนนเบื้องหน้าเขา เต็มไปด้วยป้อมมากมาย แต่ละป้อมล้วนมีมือปืนประจำการอยู่ และหอคอยใหญ่ที่อยู่ถัดออกไป คือห้องบัญชาการหน่วยลาดตระเวนภายนอกของฝั่งตะวันตก

 

มือปืนหลายคนมุ่งความสนใจไปยังพาหนะที่มาเยือน เฝ้ารอจนรถหยุดวิ่ง ฉินเฟิงกับไป๋หลีที่ก้าวออกมา ตกเป็นเป้าของพลซุ่มยิงนับไม่ถ้วน

 

“เอ๋? นั่นผู้ว่าการฉินไม่ใช่หรอ! คนที่เพิ่งมีข่าวว่าสามารถขึ้นเป็นเลเวล D ได้เมื่อกี้นี้ไง”

 

“แล้วทำไมผู้ว่าการฉินถึงมาจอดรถที่นี่?”

 

“พวกเราควรจะหยุดเขาดีไหม?”

 

“หยุดงั้นหรอ? นายไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึไง จำไม่ได้หรอว่าตระกูลซินพบจุดจบอย่างไร?”

 

“ใช่ พวกเราเลิกพูดเรื่องจะหยุดเขาเถอะ บางทีเขาอาจมาทำธุระอะไรบางอย่างก็ได้”

 

ฉินเฟิงกับไป๋หลีเดินเข้าไปยังป้อมปราการเล็กๆ

 

พลังสมาธิของฉินเฟิงตรึงลงบนตลอดทั้งป้อมปราการ และพบว่ามีผู้ใช้พลังเลเวล E คนเดียว

 

อีกฝ่ายอยู่บนชั้นสาม

 

ก๊อก ก๊อก! ฉินเฟิงเคาะประตูอย่างสุภาพ

 

“เข้ามาได้”

 

เสียงจากข้างในดังขึ้น ฉินเฟิงผลักประตูเข้าไป

 

“มีธุระอะไร … ” เหลียงกันเงยหน้าขึ้น และก้มลงดังเดิม คล้ายเพียงชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจ

 

แต่ในตอนนั้นเอง เหลียงกันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าผู้มาเยือนคือฉินเฟิง

 

เหลียงกันผุดลุกขึ้นทันใด พุ่งโฉบไปทางหน้าต่างในพริบตา

 

เจ้าตัวต้องการจะหลบหนี!

 

อย่างไรก็ตาม ท่าร่างของเขา มันจะไปรวดเร็วกว่าท่าร่างของฉินเฟิงได้อย่างไร?

 

ฉินเฟิงเพียงขยับเท้า ก็สามารถเคลื่อนกายมาขวางหน้าเหลียงกันได้อย่างง่ายดาย

 

เหลียงกันหันหลังกลับเตรียมหนีไปอีกทาง แต่ไป๋หลีก็มาหยุดเขาไว้เสียก่อน

 

เมื่อถูกตรึงทั้งหน้าหลัง เหลียงกันตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

ช่องว่างระหว่างผู้ใช้พลังเลเวล E กับ D มันต่างกันมากเกินไป เหลียงกันมิอาจขัดขืนได้เลย

 

นับประสาอะไร กับฉินเฟิงและไป๋หลีที่ไม่ใช่เลเวล D ระดับสามัญ

 

“รองนายพลเหลียง พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ทำไมคุณถึงดูร้อนรนจัง?” ฉินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แต่น้ำเสียงของเขากลับหนักแน่น

 

ดวงตาของเหลียงกันหมองลง

 

“ฉินเฟิง อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกทำอะไรลงไป!”

 

“เหอ? ผมจะทำอะไรงั้นหรือ?” ฉินเฟิงถามอย่างสงสัย

 

“อย่าแสร้งไม่รู้เรื่องเลย แกอยู่ในเลเวล D แล้ว แต่จู่ๆก็บุกเข้ามาหาฉันที่เป็นแค่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E นี่กะจะหาเรื่องกันชัดๆ”

 

“ถูกเผง ผมขึ้นไปเหยียบเลเวล D แล้ว ดังนั้นถึงกล้ามาเจอคุณไง”

 

ในช่วงงานสวนล่าใบไม้ผลิ เฉินหมิงได้เอ่ยชื่อของเหลียงกันออกมา เดิมฉินเฟิงคิดจะบุกมาหาเหลียงกันในทันที

 

แต่ช่วงเวลานั้น แม้ฉินเฟิงจะมีความสามารถมากพอที่จะสังหารเลเวล E แต่เขาไม่อยากเสี่ยงเกินไป

 

เนื่องจากสถานะของเหลียงกัน คือรองนายพลเมืองเฉิงหยาง

 

เฝ้ารอจนกระทั่งถึงวันนี้ ฉินเฟิงสามารถไปเหยียบเลเวล D ได้สำเร็จ หากเทียบกับในชีวิตก่อน ถือว่าพัฒนาการไวกว่าเดิมหลายปี!

 

“เหลียงกัน บอกมาซะดีๆ ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังองค์กร Z และตอนนี้ยังมีห้องทดลองอื่นๆอยู่ที่ไหนอีกบ้าง สารภาพมาตามตรง ไม่งั้นคงจะรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”

 

“หึ ผู้ว่าการฉิน แกคิดจริงๆหรือว่าฉันจะยอมปริปากออกมา?” เหลียงกันเห็นได้ชัดว่าไม่ตั้งใจจะบอกฉินเฟิง

 

“งั้นก็ดี รองนายพลเหลียง คุณไม่ต้องตอบคำถามนี้ก็ได้ แต่ขอให้บอกผมมา ว่าคุณหนีผมทำไม? ทัศนคติที่คุณมีต่อผม มันแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าเรื่องที่ผมไปเยี่ยมเยือนสถานที่บางแห่ง จะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว?” ฉินเฟิงยิ้มจาง

 

เหลียงกันสัมผัสได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก แรงกดดันในเลเวล D ของฉินเฟิง รู้สึกว่าจะร้ายแรงยิ่งกว่าของไป่เทียนหยางซะอีก

 

เหลียงกันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เป็นธรรมดาที่จะเคยเข้าเยี่ยมชมห้องทดลองระดับสูง แกคิดว่าไอ้เจ้าหลิงหวูยี่ในสถานชุมชนเฟิงหลี จะไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อนเลยงั้นหรือ?”

 

คราวนี้เป็นฝ่ายฉินเฟิงที่ตกใจ ก่อนจะอดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ –ไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกเปิดโปงเพราะหลิงหวูยี่!

 

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะถูกเปิดโปงเร็วถึงขนาดนี้ แต่ทำไมคุณถึงต้องวิ่งหนีด้วยเล่า?” ฉินเฟิงเอ่ยถามคำเดิม