ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 26 สายพิณจังหวะเร่งเร้า (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีลากซือเฟิ่งวิ่งไปทั่วหมู่บ้าน เห็นของที่ไม่เคยกินก็รีบเข้าไปซื้อมาชิมสักหน่อย กินจนสุดท้ายเดินแทบไม่ไหว ได้แต่นั่งลงพักข้างทาง

 

 

ยามนี้ตะวันใกล้ลับฟ้าแล้ว ท้องฟ้าไกลออกไปถูกแสงสายัณห์ทาทาบทอประกายราวเปลวเพลิง เมฆขาวก้อนใหญ่ม้วนตัวอยู่บนเทือกเขาทิ้งตัวยาวออกไป แสงสายัณห์อาบส่อง ใบหน้าทั้งสองเปล่งประกายแสงสีเหลืองแดงงดงาม

 

 

เสวียนจียังกำลังกัดเนื้อม้าซีอี๊วในมือที่ยังไม่หมด กินจนปากเลอะไปด้วยซีอิ๊ว นางมองอวี่ซือเฟิ่งที่เพ่งมองออกไปไกล ที่นั่นเริ่มมืดลงเล็กน้อยแล้ว ภูเขาซ้อนทับสลับชั้นราวกับยืดยาวไปจรดสุดขอบฟ้า ทำเอาคนอดคิดไม่ได้ว่าด้านหลังเขาไร้ขอบเขตสิ้นสุดจะเป็นภาพเช่นไร

 

 

“เจ้ามองอะไรอยู่?” ในที่สุดนางก็กินเนื้อม้าชิ้นนั้นหมดแล้ว พยายามควักผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อมาเช็ดหน้า

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเพียงยิ้มเล็กน้อยไม่กล่าวอันใด สายตาเขาแฝงแววอาลัยอาวรณ์และเจ็บปวดใจ มองอยู่เป็นนานก่อนจะค่อยๆ ลูบจมูกหันกลับมาหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนข้าชอบไปยืนบนหอระฆังสูงของตำหนักหลีเจ๋อ มองไปยังหมู่ขุนเขาที่ไกลออกไป คิดเดาไปว่าหลังเขาเหล่านั้นจะเป็นภาพเช่นไร ในที่สุดตอนนี้ก็รู้ ที่แท้ก็เป็นหมู่บ้านงดงามแห่งหนึ่ง”

 

 

เสวียนจีลุกขึ้นยืนยกมือป้องเหนือคิ้วมองตามเขาไปกล่าวว่า “ที่แท้หลังเขาเหล่านั้นก็คือตำหนักหลีเจ๋อ! เป็นที่ที่ซือเฟิ่งเติบโตมากระมัง?”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ก็ไม่นับว่าเป็นที่ที่ข้าเติบโตมาแต่เล็ก…บ้านเกิดข้า…ไกลมาก ไกลมากๆ”

 

 

“ไกลเท่าไร?”

 

 

“…ไกลจนออกมาก็กลับไปไม่ได้แล้ว”

 

 

ได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจ เสวียนจีจ้องมองเขานิ่งงันราวกับคิดไม่ออกว่า ‘พอออกมาก็กลับไปไม่ได้’ นั้นไกลเพียงใด

 

 

“เช่นนั้น…ชั่วชีวิตข้าก็ไม่อาจไปชมบ้านเกิดซือเฟิ่งได้? ครอบครัวเจ้าไม่คิดถึงเจ้าหรือ”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยกมุมปากยิ้มบางจนทำให้คนรู้สึกทั้งหนาวเหน็บและสลดหดหู่

 

 

“อืม เสวียนจี เจ้าไม่อาจไปได้ตลอดนิรันดร์ สำหรับครอบครัวข้า…ล้วนตายกันไปนานมากแล้ว มีเพียงข้าที่อยู่ต่อมาตัวคนเดียวโดดเดี่ยว”

 

 

ที่แท้เป็นเด็กน่าสงสาร เสวียนจีมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยแววรักใคร่ทะนุถนอม ยกมือลูบศีรษะเขาราวกับปลอบใจลูกแมวตัวน้อยที่บาดเจ็บตัวหนึ่ง

 

 

“ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวได้อย่างไร” นางกล่าวเบาๆ “พวกเราทุกคนล้วนเป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

ราวกับเขาไม่ค่อยถนัดรับมืออารมณ์เช่นนี้ จึงออกท่าทางเงอะงะเล็กน้อย กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะแสงงดงามเกินไปของแสงสายัณห์หรือไม่ จึงทำให้เขาดูผอมบางกว่าปกติ ลมภูเขาพัดมา ร่างกายเขามีกลิ่นทะเลสดใสทำให้คนรู้สึกสบาย

 

 

“ได้เวลากลับแล้ว จิ้งจอกม่วงยังอยู่โรงเตี๊ยม” เขาปัดผมดำที่ถูกลมพัดมากองอยู่ด้านหน้าออก หันไปยิ้มเล็กน้อย ในแววตามีประกายแวววิบวับราวกับอัญมณีสีดำ

 

 

เสวียนจีอดกอดแขนเขาไว้ไม่ได้ ถูกเขาลากดึงให้เดินไปข้างหน้า ท่าทางนางราวกับแมวกินอิ่มแสนขี้เกียจตัวหนึ่ง

 

 

“ซือเฟิ่ง บ้านเกิดเจ้าเป็นอย่างไร”

 

 

เขาคิด “อืม สวยมาก”

 

 

“คนเยอะไหม”

 

 

“เยอะมาก”

 

 

“อย่างนั้นวันหน้าเจ้า…จะกลับไปเยี่ยมไหม”

 

 

 ชายหนุ่มข้างๆ พลันนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง หันมายิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้บอกแล้วหรือว่า พอออกมาก็กลับไปไม่ได้แล้ว? ชั่วชีวิตข้ากลับไปไม่ได้แล้ว”

 

 

ไม่รู้ทำไมเสวียนจีพลันรู้สึกเจ็บปวดใจ ค่ำคืนกำลังคืบคลานเข้ามา หมอกหนาและเสียงลมพัดนำความเย็นสายหนึ่งกระทบกาย นางกอดแขนเขาแน่น ไม่กล่าววาจาใดอีก

 

 

ตอนกลับถึงโรงเตี๊ยม จิ้งจอกม่วงกำลังหมอบเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าอยู่หน้าหน้าต่างท่าทางจริงจัง ปากก็บ่นอะไรงึมงำอยู่ ไม่รู้พูดอะไร

 

 

เสวียนจีนำของกินกลับมาให้นางไม่น้อย ยกมากองลงบนโต๊ะ เผยรอยยิ้มบางเรียกนาง “จิ้งจอกม่วง! เนื้อม้าซีอิ๊วพวกนี้กับขนมงานี่อร่อยมากๆ! ข้าซื้อมาให้เจ้าเยอะเลย รีบมากินสิ!”

 

 

นางกำลังท่องบ่นอยู่ อยู่ๆ ถูกขัดจังหวะ รู้สึกไม่พอใจอยู่สักหน่อย แกว่งหางเดินเข้ามาหรี่ตามองไปยังอาหารบนโต๊ะ ดมฟุดฟิดทำเอาน้ำลายสอ สุดท้ายไม่อาจปั้นหน้าบึ้งต่อ นางกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะคาบเนื้อม้าชิ้นหนึ่งเคี้ยวกรุบ

 

 

อยู่ๆ ประตูก็ถูกคนผลักออก ที่แท้พวกจงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้ก็กลับมาแล้ว ทั้งสองน่าจะแอบหนีไปดื่มสุรากันมา กลิ่นสุราหึ่ง พอจงหมิ่นเหยียนเข้ามาก็ถามเสียงดังว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ดูเสร็จหรือยัง พวกเราจะออกเดินทางกันได้เมื่อไรแน่”

 

 

จิ้งจอกม่วงกลืนเนื้อม้าลงไป กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คืนพรุ่งนี้เป็นคืนจันทร์แรม ช่วงเวลาจันทร์แรมถึงจันทร์เพ็ญ เป็นเวลาเดินทางไปเขาปู้โจวซานที่ดีที่สุด พรุ่งนี้ก็เดินทางได้เลย”

 

 

“อ๋า จริงสิ?!” ใบหน้าจงหมิ่นเหยียนในยามนั้นทอประกายดีใจยากระงับ

 

 

จิ้งจอกม่วงถลึงตาใส่เขา กล่าวอีกว่า “เขาปู้โจวซานนับว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ กายสามัญเปรอะเปื้อนฝุ่นดินเช่นพวกเจ้าเช่นนี้ไปไม่ได้ ไปถึงเชิงเขาแล้วก็ต้องทำความสะอาดสักหน่อย ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่! จะได้ไม่ทำให้สถานที่นั่นถูกเด็กน้อยเช่นพวกเจ้าทำแปดเปื้อน”

 

 

ทุกคนได้ยินว่าพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเขาปู้โจวซานก็ดีใจมาก แม้แต่จงหมิ่นเหยียนก็ไม่เอาเรื่องวาจาจิกกัดของนาง ลูบศีรษะปุกปุยนางยิ้มกล่าวว่า “รู้แล้วน่า! ก็หวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ!”

 

 

จิ้งจอกม่วงไม่กล่าวอันใด ไปครั้งนี้นางไม่คิดมีชีวิตกลับมา ไม่ว่าคนหรือปีศาจ หากแม้ความตายก็ไม่กลัวแล้ว ก็ไม่มีอันใดให้กล่าวอีกแล้วจริงๆ

 

 

เสวียนจีอาบน้ำเสร็จก็กำลังเดินให้ผมแห้งอยู่ตรงทางเดิน จงหมิ่นเหยียนยกกาสุราออกจากในห้องมาคนเดียว ทั้งสองพบกันล้วนไม่รู้จะกล่าวอันใด

 

 

สุดท้ายยังคงเป็นจงหมิ่นเหยียนหัวเราะ เริ่มพูดก่อนว่า “เป็นห่วงเรื่องไปเขาปู้โจวซานหรือ”

 

 

เสวียนจีพยักหน้าหงึก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ถิงหนูบอกว่า…ที่นั่นอันตรายมาก”

 

 

เขาแหงนหน้ากระดกกาสุราดื่มสุรานมไปอึกหนึ่ง รสชาติสุรานี่แม้ว่าแปลก ดื่มมากไปก็ถึงกับส่งฤทธิ์สุราแรงต่อเนื่อง ทำเอาในท้องราวกับมีไฟแผดเผา

 

 

“เจ้ากังวลว่าจะตาย หรือกังวลว่าช่วยหลิงหลงกับศิษย์พี่รองออกมาไม่ได้” เขายิ้มท่าทางเหมือนเย้าแหย่

 

 

“ล้วนใช่” นางสูดลมหายใจลึก “ข้าไม่คิดตาย ขอเพียงไม่ตาย ก็ย่อมมีโอกาสช่วยพวกเขา แต่หากครั้งนี้ช่วยออกมาไม่ได้ ข้าก็คงเสียใจมาก”

 

 

จงหมิ่นเหยียนยกกาสุราขึ้นเงียบๆ เป็นนานอยู่ๆ กล่าวว่า “ข้าไม่คิดมากเพียงนั้น ข้าเพียงแค่ทุ่มด้วยชีวิต”

 

 

เสวียนจีเงยหน้ามองเขา รู้สึกเพียงสองตาเขามีประกายไฟรุนแรง เสี้ยวจันทร์บนท้องฟ้าส่องประกายทาบทับใบหน้าเขา มองดูมีความบ้าคลั่งที่ต่างจากอวี่ซือเฟิ่ง ในลำคอนางพลันวูบวาบ มือที่จับราวระเบียงอยู่กำแน่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ข้าก็จะสู้สุดชีวิต”

 

 

เขาราวกับไม่ได้ยิน หรี่ตามองเสวียนจีหันหลังกลับห้องไป กล่าวว่า “พักผ่อนให้เร็วหน่อยแล้วกัน ข้าไปนอนละ”

 

 

ประตูปิดลง ได้ยินเพียงเขากล่าวอยู่นอกประตูว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลอันใดทั้งนั้น เหมือนเมื่อก่อนก็พอ”

 

 

เสวียนจีล้มตัวลงนอนบนเตียงอึ้งไป มีความรู้สึกเหนื่อยล้าเกิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลอยู่นาน ในที่สุดก็ทอดถอนใจยาว ปล่อยลมหายใจที่อัดแน่นออกมา

 

 

จงหมิ่นเหยียนอยู่ตรงทางเดิน ดื่มสุรานมจนหมด รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย เดินโงนเงนไปมาเตรียมกลับห้องตนเอง ได้ยินเสียง ‘ปึก’ ตรงหน้าต่างข้างทางเดิน ราวกับมีคนใช้อะไรปามาเบาๆ

 

 

เขามองตามไปไม่เห็นคน ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ ผู้ใดจะรู้ว่าเดินไปได้ครู่หนึ่งก็มีของปามาอีก ครั้งนี้มาถึงสองเสียง เขาตะลึงไปครู่หนึ่งก็มีมาอีกสองเสียง

 

 

ด้านล่างนั้นมีคน! เขาผลักหน้าต่างตรงทางเดินออก เห็นด้านล่างมีเงาดำแวบไป เร็วราวสายฟ้าแลบ เห็นท่าทางเคลื่อนไหวคนผู้นั้นแล้วน่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร จงหมิ่นเหยียนเริ่มสงสัย โยนกาสุราทิ้งกระโดดไล่ตามลงไปทันที

 

 

พักใหญ่ ทางเดินก็มีประตูอีกบานค่อยๆ เปิดออก รั่วอวี้ค่อยๆ เดินมาผลักหน้าต่างบานนั้นมองลงไป

 

 

จันทร์เสี้ยวงามแสงหม่นส่องร่างเขาให้ทอดยาวไปกับพื้น

 

 

เขากอดอกยืนอยู่ตรงหน้าต่างเป็นนาน