ทางที่จิ้งจอกม่วงบอกนั้นล้วนเป็นเขา สำหรับพวกไม่เหินกระบี่แล้ว เส้นทางภูเขาเดินทางยากมาก แต่ทิวทัศน์ในเขางดงาม มีหมอกบางเป็นระยะ บางทีก็มีกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าทำให้รู้สึกสดชื่นเบิกบาน ลืมความเหนื่อยล้าทั้งหมดไปสิ้น ภาพทิวทัศน์นี้เสวียนจีรู้สึกคุ้นเคยมาก แต่เล็กนางเติบโตแต่ในเขาแรกอรุณ มองเขาสูงชันหมื่นจ้างจนคุ้นตา เขาเตี้ยๆ แถบนี้ไม่ควรค่าแก่การชม
แต่อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้กลับค่อนข้างจะทนไม่ไหว พวกเขาล้วนเติบโตจากริมทะเล แม้กล่าวว่ามีวิชาติดตัว ไม่ถึงกับลื่นร่วงจากผาสูงตาย แต่เดินขึ้นมาก็ทำให้ขาอ่อนแรงเหมือนกัน อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีเดินอยู่ข้างหน้าคนเดียว มองผาสูงไม่ยี่หระ ก้าวเดินอย่างมีความสุข อดเรียกนางไม่ได้ “อย่าเดินเร็วไป ระวังลื่น”
เขาเองไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่หันกลับไปเรียกจงหมิ่นเหยียน “หมิ่นเหยียน เจ้าตามหลังเสวียนจีไป ระวังหน่อย”
จงหมิ่นเหยียนเอาแต่ตะลึงมองไปทั่ว ต้องเรียกอยู่หลายคำ เขาจึงได้สติลูบเหงื่อบนใบหน้า ไม่ส่งเสียงสักคำ หากเดินไปด้านหลังเสวียนจี เขาดูเหนื่อยมาก เหมือนในใจมีเรื่องคิดหนัก ขอบตาดำคล้ำ เมื่อคืนน่าจะนอนหลับไม่ดีนัก
อวี่ซือเฟิ่งมองรั่วอวี้ เขากับจงหมิ่นเหยียนนอนห้องเดียวกัน ควรรู้ว่าเกิดอันใด รั่วอวี้ยิ้มบาง กล่าวเบาๆ ว่า “น่าจะคิดแต่เรื่องไปเขาปู้โจวซานกระมัง ทั้งคืนพลิกไปพลิกมา ไม่ได้นอนเท่าไร”
สุดท้ายแม้แต่เสวียนจีก็ยังพบว่าเขาผิดปกติ เดิมคิดถามว่าเกิดอันใด แต่พอมาคิดถึงเมื่อคืนตอนเขาพูดอยู่หน้าประตู ไม่รู้ทำไมถึงกับรู้สึกเหมือนถามไม่ออกอยู่สักหน่อย ตั้งแต่เมื่อก่อนมาก็ไม่รู้ทำไมว่าอยู่ร่วมกับเขาแล้วจึงเหมือนแปลกแยก เข้าใกล้ไม่ได้ หลบเลี่ยงก็ไม่ได้ ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น
เดินทีเดียวข้ามเขาสองลูก มาถึงหน้าทะเลสาบกว้างผืนใหญ่ จิ้งจอกม่วงทำท่าทางเป็นผู้นำขบวนที่แสนเคร่งเครียด กล่าวเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง “หยุด พวกเราพักที่นี่สักครู่”
ทุกคนเร่งเดินทางมา แม้แต่น้ำก็ไม่ได้แตะสักอึก แทบอยากให้นางสั่งพัก รั่วอวี้ถือถุงน้ำเดินออกไปตักน้ำในทะเลสาบก่อนแล้ว จงหมิ่นเหยียนไม่พูดสักคำก็ล้มแผ่ลงบนพื้นหญ้ายกมือบังตา ไม่นานก็ถึงกับหลับไป
เขาเป็นอะไรกันแน่ เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ไม่รู้คิดถึงอะไร ทั้งสองสีหน้าหม่นลง ผู้ใดก็ถามไม่ออก
เจ้าหมอนี่วันนี้เหมือนผิดปกติไปสักหน่อย ปกติตลอดทางก็จะมีเสียงเฮฮา วันนี้ราวกับเงียบงันเกินไปสักหน่อย จิ้งจอกม่วงโดดลงจากอ้อมกอดเสวียนจีตรงไปยังหน้าจงหมิ่นเหยียน ดมใบหน้าเขา ยังใช้อุ้งเท้าผลักมือเขาออก จงหมิ่นเหยียนงึมงำอันใดสักคำ ก่อนจะพลิกตัวหลับต่อ สองตาเขาหลุบลึก แม้แต่นอนก็ยังขมวดคิ้วแน่น เห็นชัดว่ามีเรื่องอะไรในใจ
“ข้าว่า…” จิ้งจอกม่วงนั่งลงข้างศีรษะเขา แกว่งหางไปมาท่าทางเป็นการเป็นงานเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนวานเกิดอะไรที่ข้าไม่รู้หรือไม่”
ทั้งสองตรงหน้าส่ายหน้าพร้อมกัน ท่าทางเหมือนโดนใส่ความ
จิ้งจอกม่วงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง อย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่กว่า ยามนี้ย่อมวางท่าทางผู้ใหญ่กว่า ทำสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเด็กน้อยเช่นพวกเจ้าเล่นบ้าอะไรกัน แต่ใกล้ถึงเขาปู้โจวซานแล้ว หากคิดช่วยคนออกมา ยามนี้ก็ควรจะร่วมใจเป็นหนึ่ง อย่ามีปัญหากัน เข้าใจไหม…”
รั่วอวี้ยกน้ำกลับมาพอดี ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า “จิ้งจอกม่วงมีความเป็นอาวุโสอยู่หลายส่วนเหมือนกันนะเนี่ย”
“นั่นแน่นอน!” จิ้งจอกม่วงท่าทางได้ใจ “ข้าเป็นเซียนจิ้งจอกพันปีผู้ยิ่งใหญ่ ต่อหน้าข้าพวกเจ้าก็แค่เด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อาวุโสเช่นข้าย่อมต้องดูแลสักหน่อย”
รั่วอวี้ส่งน้ำให้คนอื่นๆ กล่าวว่า “น่าจะใกล้ถึงเขาปู้โจวซานแล้ว เป้าหมายอยู่เบื้องหน้า ล้วนเคร่งเครียดกันกระมัง ดังนั้นจึงไม่อยากพูดจา คงกังวลว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากกระมัง”
จิ้งจอกม่วงก้มหน้าดื่มน้ำ ทำเอาหนวดและหน้าอกเปียกชื้นไปหมด พลางงึมงำว่า “ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่า…อย่าว่าแต่พวกเจ้า หากว่ากันตามจริง ข้าเองก็ใช่ว่าเป็นคู่ต่อสู้…”
เสวียนจีมองรอบๆ นอกจากภูเขาก็เป็นภูเขา ยาวติดต่อกันไปเป็นเทือกเขายาว ราวกับจะยืดยาวไปจนสุดขอบฟ้า อดถามไม่ได้ว่า “จิ้งจอกม่วง เขาปู้โจวซานยังอีกไกลไหม อยู่ท่ามกลางเขาเหล่านี้หรือ”
จิ้งจอกม่วงส่ายหน้า ท่าทางกินปูนร้อนท้อง สะบัดหางไปมากล่าวว่า “จะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร! สรุปพวกเจ้าตามข้ามาก็พอ! สองวันนี้ก็คงจะถึงแล้ว”
เสียงเพิ่งกล่าวจบ หางก็เกร็งขมวดแน่น ถูกคนคว้าไว้แน่น นางส่งเสียงร้องดังรีบก้มหน้ามอง ที่แท้หางนางสะบัดไปโดนหน้าจงหมิ่นเหยียน ในฝันเขาไม่ทันได้สติก็คว้าหางนางไว้แน่น
“เจ้าโจรชั่ว! ปล่อย!” นางโมโหกำลังจะใช้อุ้งเท้าตะกุยใบหน้าเขา ไม่ทันฟังเขาที่อยู่ๆ ก็งึมงำออกมาคำหนึ่ง คำที่เอ่ยจากปากเขานั้นนุ่มนวลอ่อนละมุน ทำเอานางอดนิ่งงันไปไม่ได้
“เจ้าปล่อยข้า!” จิ้งจอกม่วงตบอุ้งเท้าหนึ่งลงบนหน้าผากเขา จงหมิ่นเหยียนเจ็บตกใจตื่นขึ้น พลิกตัวขึ้นนั่ง ร้อนใจกล่าวว่า “หลิงหลง! หลิง…”
“หลิงบ้าเจ้าสิ อา!” จิ้งจอกม่วงตะปบอีกที “มองไม่ออกว่าเจ้าหนุ่มนี่เจ้าชู้ไม่น้อย! หลายใจนะ! นอนพอหรือยัง? รีบลุก!”
จงหมิ่นเหยียนยังงุนงงเล็กน้อย มองไปรอบๆ จึงเริ่มคิดได้ว่าตนอยู่ระหว่างเดินทาง จึงรีบถอนหายใจยาวก่อนจะลูบใบหน้าสองสามที
“ดื่มน้ำหน่อย” รั่วอวี้ส่งถุงน้ำให้เขา “เมื่อคืนหลับไม่สนิทหรือ หรือไม่วันนี้อย่าเพิ่งเร่งเดินทาง เจ้ารักษากำลังกายให้ดีก่อน พวกเราค่อยเดินทาง”
“ไม่! ไม่ต้อง!” จงหมิ่นเหยียนดื่มน้ำอึกใหญ่ ขมวดคิ้วแน่น ปาดน้ำที่หยดเลอะมุมปากออกกล่าวว่า “รีบช่วยหลิงหลงกลับมา”
จิ้งจอกม่วงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเยียบเย็นขึ้น ก็ไม่รู้นางส่งเสียงงึมงำอันใด อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไปกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นเหยียน เจ้ามีความในใจ?”
จงหมิ่นเหยียนสะดุ้งเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแววตาเขาราวกับน้ำในหน้าหนาวพันปี เยียบเย็นยะเยือก เห็นชัดว่าปฏิเสธที่เขาคิดจะถามต่อ อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ยังคงไม่ยอมปล่อย กล่าวอีกว่า “หากมีความลำบากใจอะไรก็พูดออกมา ทุกคนย่อมช่วยเหลือ”
“ข้าไม่เป็นไร” จงหมิ่นเหยียนโยนถุงน้ำกลับไป ลุกขึ้นกล่าวว่า “ไปกันเถอะ! พักผ่อนพอแล้ว!”
เขาไม่หันมามองแม้แต่น้อย
****
แม้ว่าจิ้งจอกม่วงบอกว่าอีกสองวันจะถึงเขาปู้โจวซาน แต่ทุกคนค้นพบในเวลาไม่นานว่านางหลอก เทือกเขาต่อกันเดินต่อกันมาถึงห้าหกวัน เดินจนสุดท้ายจงหมิ่นเหยียนขี้เกียจถามนางอีกว่าจะถึงที่หมายเมื่อไร เส้นทางบนเขานี้ราวกับยาวไกลไม่สิ้นสุด ข้ามลูกหนึ่งก็มีอีกลูกหนึ่ง หมื่นลี้ไร้เงาบ้านเรือนผู้คน
มองเห็นจันทร์เสี้ยวค่อยๆ กลมใกล้จะเต็มดวงแล้ว จิ้งจอกม่วงเคยบอกว่าเต็มดวงเมื่อใดไม่อาจเข้าเขาปู้โจวซานได้ ในใจทุกคนเริ่มร้อนใจอย่างยิ่ง แต่จิ้งจอกม่วงไม่พูด พวกเขาเองก็ไม่อาจถาม
ใกล้ที่หมายเรื่อยๆ แล้ว อารมณ์ทุกคนก็ยิ่งเริ่มร้อนใจ ค่อยๆ สะสมจนก่อเกิดความหงุดหงิดโต้เถียงกันขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงพยายามระงับอารมณ์คุกรุ่นของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ทำลายน้ำใจกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเชิงเทือกเขาสูง จิ้งจอกม่วงค่อยๆ กล่าวช้าๆ ว่า “ใกล้ถึงเขาปู้โจวซานแล้ว”
ไม่มีคนสนใจนาง
“นี่ ข้าบอกว่าจะถึงเขาปู้โจวซานตอนนี้แล้ว!”
ยังคงไม่มีคนสนใจนาง
จิ้งจอกม่วงโมโหกระโดดลงพื้นหันกลับไปถลึงตาใส่พวกเขา ทั้งสี่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ท่าทางหมดแรงไร้ความตื่นเต้น เห็นชัดว่าตลอดทางมาที่นางเอาแต่พูดไม่รู้กี่ครั้งว่า ‘ใกล้ถึงเขาปู้โจวซาน’ จนกลายเป็นนิสัยหลอกลวงของนาง
จิ้งจอกม่วงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง “ความหมายข้าก็คือ ก่อนยามจื่อคืนนี้ พวกเราก็ขึ้นยอดเขากัน ยอดเขามีแท่นบูชาเทพ หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย คืนนี้ก็จะถึงเขาปู้โจวซาน”
ในที่สุดก็มีคนตอบนางเสียงหนึ่ง “อ้อ” ยังคงเป็นเสวียนจีที่ทนเห็นนางถูกหมางเมินไม่ได้ ใจดีตอบขึ้นเสียงหนึ่ง
จิ้งจอกม่วงสะบัดหางเร่งร้อนใจ ส่งเสียงดังว่า “ฟังข้านะ! ข้ารู้ว่าก่อนหน้าเอาแต่หลอกพวกเจ้า แต่ครั้งนี้จริงแท้ ตกลงไหม?! อย่างไรพวกเจ้าควรรีบอาศัยช่วงฟ้ายังไม่มืดหารือว่าหลังจากถึงเขาปู้โจวซานจะทำอย่างไร ดีไหม”
ทั้งสี่จึงได้เชื่อว่าที่นางว่ามาเป็นจริง รั่วอวี้กล่าวอย่างแปลกใจคนแรกว่า “เขาปู้โจวซานกับแท่นบูชาเทพเกี่ยวอันใดกัน ไปที่นั่นทำไมกัน”
จิ้งจอกม่วงเห็นพวกเขาเริ่มสนใจนาง จึงได้ทำท่าทางได้ใจกระโดดกลับเข้าอ้อมกอดเสวียนจี กล่าวว่า “หากพวกเราเดินกันไปเช่นนี้ ทั้งชาติก็ไม่ถึงเขาปู้โจวซาน เพราะเขานั่นไม่ใช่โลกมนุษย์ ปกติมีพลังเทพบดบังไว้ มีเพียงช่วงวันจันทร์แรมถึงจันทร์เพ็ญ จึงจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์ ตอนจันทร์เพ็ญประตูแดนปรภพก็จะเปิดเพื่อรวบวิญญาณภูตผีเข้าไป ดังนั้นในช่วงเวลานั้นไปเขาปู้โจวซานจะเหมาะที่สุด เซินซูและอวี้ลวี่ไม่มีเวลามาสนใจพวกเราตอนเขาปู้โจวซานปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์”
มิน่านางจึงได้เอาแต่ถ่วงเวลาเช่นนี้ ที่แท้ก็เพื่อรอคืนจันทร์เพ็ญ! ถูกนางลากไปมาเสียหลายวัน! จงหมิ่นเหยียนยามนั้นจึงแค่นเสียงฮึ ด้วยนิสัยเขาย่อมต้องด่าสักยก ทุกคนล้วนเตรียมหาทางหลบปากปล่องภูเขาไฟ ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับไม่กล่าวอันใด หันหน้าเดินขึ้นเขาไป
หลายวันนี้เขาผิดปกติไปจริงๆ เสวียนจีอึ้งมองตามแผ่นหลังเขาไป ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว คนที่ควรดีใจสุดก็ควรเป็นเขาถึงจะถูก เหตุใดยังคงมีเรื่องราวในใจหนักอึ้งกัน?
หันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่ง เขายังคงเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม มองจ้องดวงตาดำขลับของเสวียนจีที่จ้องมองตน เขายิ้มเล็กน้อย บุ้ยใบ้ทำมือทำไม้ว่าให้นางขึ้นเขา
เสวียนจีพยักหน้าหงึกๆ ก้าวกระโดดเร่งขึ้นเขาก่อนฟ้ามืด