ตอนที่ 809 ปล่อยเสือกลับภูเขา

Elixir Supplier

“ผิวหนังของคุณถูกเคลือบไว้ด้วยยา” หวังเย้าพูด

จางเหว่ยไม่ได้พูดอะไร แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเขาคิดคนคนนี้มาจากที่ไห นกัน?

หวังเย้าสามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดายจนถึงจุดที่เขาสูญเสียความสามารถในการต่อต้านครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกไร้กําลังก็คือเมื่อ 15 ปีที่แล้วเขาไม่คิดเลยว่าเขาต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้อีกครั้ง

เหมือนกับแม่น้ําแยงซีที่ที่คลื่นลูกใหม่ตามหลังคลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่ไล่ทันคนรุ่นเก่า

“เมื่อแช่ตัวในยาสมุนไพรฤทธิ์ของยาสมุนไพรจะซึมเข้าไปในผิวและกล้ามเนื้อทําให้คนคนนั้นไร้เทียมทานและแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา”หวังเย้าพูดนิ่งๆ“ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการรวมฤทธิ์ยาเข้ากับอวัยวะภายในน่าเสียดายที่คุณทําไม่สําเร็จถ้าไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ต้องทรมานเพราะพิษแบบนี้”

ร่างกายของจางเหว่ยสั่นไหวเล็กน้อยค่าพูดของชายคนนี้ตรงทุกจุด

“ไปกันเถอะ” หวังเย้าปล่อยมือเขาและหมุนตัวเดินจากไป

“หา?” เจี้ยจื้อจายยังคงลังเล

เขายืนจ้องจางเหว่ยที่มีท่าทีเหม่อลอยนี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตหลังจากทิ้งโอกาสนี้ไปพวกเขาคงหาโอกาสไม่ได้อีกแล้วมีดของเขาส่องประกาย

“นายคิดจะทําอะไร?” จงหลิวชวนจับมือของเขาเอาไว้

“มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากนะ” เจี้ยจื้อจายพูด

“นายไม่ได้ยินที่อาจารย์บอกเหรอ?” จงหลิวชวนถาม

“เขาใจอ่อนเกินไป! นี่มันไม่ต่างจากปล่อยเสือเข้าป่า!” เจี้ยจื้อจายพูด

คําพูดส่งออกมาจากส่วนลึกในจิตใจเขา เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหวังเย้าจางเหว่ยอาจเป็นคนที่กําลังจะตาย เขาไม่ได้เป็นอันตรายสําหรับหวังเย้าหวังเย้าสามารถควบคุมเขาได้ด้วยมือเดียวแต่สําหรับเขากับจงหลิวชวนนั้นกลายเป็นคนละเรื่องกันจางเหว่ยไม่เพียงมีข้อมูลแบลกเมลพวกเขาอยู่ในมือแต่เขายังมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นเขาไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถต่อกรด้วยได้ง่ายๆ

“ไปได้แล้ว” หวังเย้าพูดอีกครั้ง

หลังจากได้ยินคําพูดนั้นเจี้ยจื้อจายก็ถอนหายใจและเดินตามไปด้วยท่าที่ลังเลหลังจากเดินออกมาจากวิลล่าแล้วเขาก็อดปนออกมาไม่ได้ “เชียนเชิงอาจต้องเสียใจกับความผิดพลาดที่ทําในวันนี้”

“เขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน” หวังเย้าพูด

“ที่เขามีจะทําให้พวกเราตายได้เลยนะ” เจี้ยจื้อจายพูด

“ถึงคุณจะฆ่าเขา คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าข้อมูลนั้นจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา?”หวังเย้าหยุดเดินและถาม “คุณแค่ต้องการจับเขาและทรมานเขาจนพอใจแค่นั้นเหรอ?”

“ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดว่าการปล่อยเขาเป็นเรื่องที่เหมาะสมเหมือนกัน”เจียจื้อจายพูด“นี่เป็นกา รปล่อยเสือกลับภูเขา ปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปก็มีแต่จะนําปัญหามาให้

หวังเย้ายิ้มและพูดว่า“เมื่อกี้เขาโกหก”

“เขาโกหกเรื่องอะไร?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ก็เรื่องที่เขาบอกว่าถ้าเขาตายข้อมูลทั้งหมดจะถูกเปิดเผยออกไปน่ะสิ”หวังเย้าพูด“เขาไม่ได้คิดจะทําหรอก”

“เชียนเชิงแน่ใจเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ผมมั่นใจมากกว่า 60%” หวังเย้าพูด

“ยังไงเขาก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาอยู่ดีระเบิดที่ยังไม่ได้ปลดสลักออก”เจี้ยจื้อจายพูด

เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว และต้องกังวลว่าระเบิดลูกนี้จะระเบิดขึ้นและส่งผลกับชีวิตของเขาเมื่อไหร่

หลังจากพวกเขาขึ้นนั่งบนรถแล้ว หูเหมยก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

“เขาอยู่ที่นั่นจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพูดแล้วจุดบุหรี่สูบ

“เรียบร้อยแล้วเหรอ?” หูเหมยถาม

“อ้อ ไม่หรอก หมอหวังปล่อยเขาไปน่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด

“ปล่อยเขาไป?” หูเหมยตกตะลึงและถาม “หมอปล่อยเขาไปได้ยังไงกัน?”

“เขามีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว” จงหลิวชวนตอบ

“เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเหรอ? เขาป่วยเหรอ?” หูเหมยถาม

“เขาถูกพิษ” จงหลิวชวนพูด

“แบบนั้นก็เข้าใจได้” หูเหมยพูด “เขามาที่บริษัททีไร เขาก็จะอยู่แต่ในห้องทํางานของตัวเองครั้งหนึ่งมีคนได้กลิ่นเลือดจากห้องของเขาด้วยกลายเป็นว่าเขาถูกพิษนี่เอง!ฉันเคยคิดว่าเขาเพิ่งไปฆ่าใครมาซะอีก”
“เฮ้อ!” เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ เขาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเห็นท่าทางของเขา หูเหมยก็ไม่ได้ถามมากไปกว่านี้อีก เธอขับรถออกไปและส่งหวังเย้ากับจงหลิวชวนที่โรงแรมที่พวกเขาพักอยู่

เมื่อพวกเขาลงจากรถและเข้าโรงแรมไปแล้ว หูเหมยก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า“เป็นอะไรไป?”

เจี้ยจื้อจายชกลิ้นชักหน้าที่นั่งคนขับและกระชากมันออกมา “จ เฮ้อกลับบ้านแล้งค่อยคุยกัน!”

หูเหมยมองเขา ก่อนจะขับออกไป ไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงบ้านของพวกเขา

หลังเข้ามาในบ้านแล้ว เจี้ยจื้อจายก็จุดบุหรี่ เขาหยิบเหล้าออกมาหนึ่งขวดมาเปิดแล้วดื่มจากปากขวด

“เป็นอะไรไป?” หูเหมยถาม

“เขาปล่อยจางเหว่ยไปน่ะสิ! เขากําลังปล่อยเสื้อกลับภูเขา!” เจี้ยจื้อจายโมโหมาก

“เขาพูดเรื่องนี้ในรถแล้วนี่” หูเหมยพูด “ทําไมล่ะ?”

“มันเป็นเพราะเขาเห็นว่า จางเหว่ยได้รับพิษและอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” เจี้ยจื้อจายพูด“นั่นก็แค่ความเมตตาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น!”

เขากระแทกขวดเหล้ากับโต๊ะดังปัง

“เขาควบคุมจางเหว่ยได้รึเปล่า?” หูเหมยถาม

“ง่ายมากเลยล่ะ แทบไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ํา” เจี้ยจื้อจายพุด “แค่เขาลงมือจางเหว่ยก็ต่อต้านไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!”

“แล้วหมอหวังทําร้ายเขารึเปล่า?” หูเหมยถาม

“ถ้าเขาจัดการจางเหว่ยจนบาดเจ็บสาหัสล่ะก็ ถึงหมอหวังจะไม่ลงมือ พวกเราก็สามารถกลับไปฆ่าเขาได้เอง”หูเหมยพูด “เราสามารถจัดการจบทุกอย่างเองได้!”

“ไม่หรอก เขาใช้วิธีการเดียวกับที่ใช้จัดการฉัน” เจี่ยจือจายพูด “เพียงแค่โบกมือมันก็เหมือนมีภูเขาทั้งลูกทับตัวฉันอยู่ ฉันต่อต้านไม่ได้แต่มันก็ไม่ทําร้ายร่างกายฉัน”

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่” หูเหมยพูด

“แน่อยู่แล้ว ความคิดของเขาไม่เหมือนกับพวกเรา” เจียจื้อจายพูด “ถึงยังไงก็ไม่มีใครที่มีข้อมูลเอาไว้แบลูกเมลเขาอยู่ในมือ”

หูเหมยเงียบไปก่อนจะพูดว่า “เขาไม่มี แต่จงหลิงชวนมี ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหมอหวังเหรอ?”

“มีแค่ปีศาจเท่านั้นที่จะรู้ความคิดของเขาได้ใ” เจี้ยจื้อจายหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มไปสองอีก

ในโรงแรม หวังเย้าแล้วจงหลิวชวนก่าลังคุยกันอยู่

“คุณเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้รึเปล่า?”

“ไม่มีอะไรที่ผมไม่เข้าใจครับ” จงหลิวชวนพูด “ความจริง ผมก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดชังเขาผมแค่กังวลถึงเรื่องที่มันอาจกระทบกับการใช้ชีวิตในอนาคตของผมก็เท่านั้น

“เมื่อคนกําลังจะตาย แม้แต่คําพูดของเขาก็กลายเป็นเรื่องดีได้” หวังเย้าพูด

บางคนก็คิดจะทําเรื่องดีหลังจากทําเรื่องเลวร้ายมาตลอดทั้งชีวิตโชคร้ายที่พวกเขามักจะพบว่ามันสายเกินไป

“คุณคิดว่า เขาจะรู้รึเปล่า?” หวังเย้าถาม

“ความจริง คุณก็ทําถูก” จงหลิวชวนพูด “ถึงเราจะฆ่าเขา เราก็หยุดเขาไม่ได้ถ้าเขาคิดจะเปิดเผยข้อมูลพวกนั้นออกไป”

“คุณยังลังเลอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม

“ผมลังเลอยู่บ้างจริงๆ” จงหลิวชวนพูด

หวังเฝ้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง มันจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นผมจะช่วยคุณเอง”

“บอกตามตรง ผมไม่ได้คิดจะรบกวนคุณในเรื่องนี้เลย” จงหลิวชวนพูด

ไม่ว่าหวังเย้าจะจัดการยังไง จงหลิวชวนก็ไม่คิดจะโทษเขา หวังเย้าจะไม่สนใจเลยก็ยังได้

“ไม่ต้องพูดเกรงใจกันแบบนี้หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมจะกลับพรุ่งนี้แล้วครับ” จงหลิวชวนพูด

“งั้นผมก็จะกลับด้วย” หวังเย้าพูด

คืนนั้นเงียบสงัด ภายในวิลล่าร้าง จางเหว่ยที่มองดูท้องฟ้าเงียบๆกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เขายังเด็กมาก!เขามีการบ่มเพาะสูงขนาดนั้นได้ยังไง?เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ

เช้าวันต่อมา หวังเป้าไปที่บ้านตระกูลซุน เขาทักทายซุนเจิ้งหรงและเชิญสองพ่อลูกทานอาหารกลางวันด้วยกัน เรื่องครั้งนี้ได้ตระกูลซุนช่วยเอาไว้มาก

“ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือนะครับ” หวังเข้าพูด

“ยินดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ความจริง ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องด้วย”

“เรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ผมอยากเรียนกังฟูกับเชียนเชิงครับ” ซุนหยุนเชิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิ ตราบใดที่คุณพยายามอย่างหนัก” หวังเข้าตอบ

“จริงเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงประหลาดใจกับค่าตอบที่เขาได้รับ

เขาแค่ลองถามโดยไม่คาดหวังก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะตกลง

“ผมจะไม่เป็นอาจารย์ของคุณ แต่ผมจะสอนกังฟูให้” หวังเย้าพูด

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงครับ?” ซุนหยุนเชิงพูด “แค่ผมได้ติดตามและเรียนจากเชียนเชิงก็นับได้ว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว!”

“ใช่ เขาต้องคํานับเขียนเชิงเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการด้วย” ซุนเจิ้งหรงพูดอยู่ข้างๆเขายังหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะพัฒนาขึ้นด้วย

“ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่” หวังเย้าพูด “แล้วคุณก็ยังงานอีกมาก ผมกลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาฝึกฝนมากเท่าไหร่นัก”

“ผมจะพยายามหาเวลาให้ได้” ซุนหยุนเชิงพูด

“เอาเถอะ แค่คุณมาที่หมู่บ้าน คุณก็มาเรียนได้ตลอดเวลา” หวังเย้าพูด “ถ้าผมไม่อยู่คุณก็ถามจากหลิวชวนได้”

“ครับ ผมคงต้องเปลี่ยนวิธีการเรียกเขาด้วย” ซุนหยุนเชิงหันไปพูดกับจงหลิวชวน “สวัสดีศิษย์พี่”

“สวัสดี ศิษย์น้อง” จงหลิวชวนเปลี่ยนการเรียกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ซุนเจิ้งหรงลุกขึ้นและพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่น่ายินดี เรามาชนแก้วกัน”

“ผมไม่กล้า นั่งเถอะครับ” หวังเย้าพูด

“ครั้งนี้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองเต่ไม่ใช่น้อยๆเลย”ซุนเจิ้งหรงพูด“ไม่ใช่แค่ทางจังหวัดเท่านั้นแต่เบื้องบนก็ยังถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองสําคัญเมืองหนึ่ง”