ตอนที่ 810 ความสุขมาถึงกะทันหัน

Elixir Supplier

“เบื้องบนให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ทางนี้ก็ต้องลงมือเหมือนกัน” ซุนเจิ้งหรงพูด “มันอาจเกี่ยวพันคนจํานวนมากเลยล่ะ”

“อืม เรื่องนั้นก็เข้าใจได้” หวังเย้าพูด

ความจริง สําหรับเรื่องนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน ก็สามารถนําพาผลกระทบที่ร้ายแรงตามมาด้วยเสมอ

“ผมไม่ใช่คนนอกสําหรับเรื่องนี้เช่นกัน” ซุนเจิ้งหรงพูด “บริษัทของเราก็ทําธุรกิจบางอย่างร่วมกับบริษัทจากญี่ปุ่น ต้องขอบคุณเชียนเชิงที่ทําให้พวกเราสามารถยกเลิกการทําธุรกิจกับพวกเขาได้ทันเวลา”

“แล้วมันยังจะส่งผลกระทบกับคุณรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม

“อาจมีบ้าง แต่ก็ไม่มาก” ซุนเจิ้งหรงพูด

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา พวกเขาได้รับข่าวทันท่วงทีและหนีออกมาได้ทันอย่างที่เขาพูดไป ถึงพวกเขาจะได้รับผลกระทบ มันก็คงไม่แย่เท่าไหร่พวกเขายังต้องให้ความช่วยเหลือ และชดเชยสําหรับเรื่องนี้ส่วนหนึ่งด้วยถ้าพวกเขารู้ตัวช้าและคิดจะหนีตอนนี้ ผลลัพธ์คงต่างออกไปถึงพวกเขาจะมีเส้นสายที่คอยช่วยเหลือมันก็คงสายเกินไปสําหรับบางเรื่องเร็วขึ้นหนึ่งวันและช้าไปหนึ่งวัน ผลลัพธ์ของทั้งสองนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“ถ้าต้องการความช่วยเหลือ บอกผมได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด

“โอ้ แน่นอนครับ” ซุนเจิ้งหรงพูด

บางคนเช่นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาอาจไม่พบเจอได้ง่ายๆในชีวิตหนึ่งประโยคจากเขามีน้ำหนักมากล้น

หลังจากมื้ออาหาร หวังเย้ากับจงหลิวชวนก็เดินทางกลับเหลียนชาน ซุนหยุนเชิงพูดซ้ำว่าเขาจะเดินทางไปที่หมู่บ้านให้เร็วที่สุดและรับการสั่งสอนจากหวังเย้า

ในวิลล่าที่ถูกทิ้งร้าง จางเหว่ยจุดบุหรี่ เขาไม่ได้สูบบุหรี่มานานนับสิบปีเพราะสุขภาพของเขาความจริงเขาเป็นคนสูบบุหรี่จัดคนหนึ่ง

ชายในวัยประมาณสามสิบปรากฏตัวในวิลล่า เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ดูทรุดโทรมของจางเหว่ยเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า“พี่ ทําไมถึงสูบบุหรี่ล่ะ?”

“อยู่ๆฉันก็อยากสูบขึ้นมาน่ะ” เขาพ่นควันบุหรี่เป็นวงแหวน

“ไม่ใช่ว่าพี่เคยพูดว่า การสูบบุหรี่จะส่งผลกระทบกับร่างกายและไปกระตุ้นพิษในร่างกายของพี่หรอกเหรอ?” เขาถาม

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันอยู่กับความกลัวในทุกๆวัน”จางเหว่ยพูด “นี่กินไม่ได้นั่นดื่มไม่ได้ ฉันแตะผู้หญิงไม่ได้ฉันใช้ชีวิตไม่ต่างจากพระรูปหนึ่ง…พอคิดดูแล้วมันโคตรน่าเบื่อ!”

“อย่างน้อย พี่ก็มีชีวิตรอดมาได้ตั้งสิบกว่าปีนี่” เขาพูด

“ใช่อาเหล่ย นายจะทํายังไงถ้ารู้ว่าตัวเองกําลังจะตาย?” จางเหว่ยถาม

“เอ่อ…” เขาก้มหน้าและใช้ความคิด “ผมอยากทําทุกอย่างที่ผมต้องการ

“ใช่ไหมล่ะ? ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” จางเหว่ยพูด “ดูฉันสิฉันเป็นคนโสดอายุสี่สิบกว่าแม้แต่ลูกก็ไม่มีสักคนเงินที่ฉันหาได้เทียบกับสิ่งภายนอกไม่ได้เลยฉันไม่ได้เอามาด้วยตอนเกิดหรือเอาไปด้วยตอนตายได้ฉันมีเรื่องที่ฉันอยากทําแต่ไม่เคยได้ทําตรงกันข้ามฉันกลับทําหลายสิ่งที่ฉันไม่ได้อยากจะทําฉันไม่อยากมีชีวิตต่อไปแบบนี้อีกแล้ว”

เพียงข้ามคืน เขากลับคิดอะไรได้หลายอย่าง

“ถ้าเป็นคนดีได้ ใครอยากจะเป็นคนไม่ดีกันล่ะ?” จางเหว่ยถอนหายใจ “ค่ำนี้นายว่างเปล่า?ไปกินข้าวด้วยกันดีไหม?”

“ได้ผม ผมหาร้านเอง” เขาพูด “พี่อยากกินอะไร?”

“หม้อไฟ แล้วเอาแบบที่เผ็ดๆ” จางเหว่ยพูด “มามีช่วงเวลาที่ดีกันเถอะ!”

“ไม่มีปัญหาครับ” เขาพูด

“เรื่องที่ฉันขอให้นายจัดการเป็นยังไงบ้าง?” จางเหว่ยถาม

“ทุกอย่างถูกเผาหมดแล้ว” เขาพูด

“ดี ดีแล้วที่เผามัน” จางเหว่ยพูดแล้วหัวเราะ

“พี่ใหญ่ มีอะไรอีกไหมครับ?” เขาถาม

“ไม่ ไม่มีแล้ว” จางเหว่ยพูด

“ให้ผมอยู่คุยกับพี่ต่ออีกสักหน่อยดีไหม?” เขามองออกว่าท่าทีของจางเหว่ยนั้นผิดปกติ

“ได้ คุยกับฉัน” จางเหว่ยตอบ

ชั่วโมงต่อมา เขาได้พูดคุยมากกว่าที่เขาเคยพูดมาตลอดทั้งปี เขาเก็บทุกอย่างเอาไว้มานานเกินไปคําพูดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจเขาแต่เขากลับบอกใครไม่ได้เขาต้องอดทนอยู่เพียงล่าพังตอนนี้เขาใช้คนที่อยู่ข้างเขาเป็นผู้ฟังให้เขาและชายคนนี้ก็ยินดีรับฟังดังนั้นจางเหว่ยจึงพูดตั้งแต่เรื่องที่เขาเคยทําในวัยเด็ก,ความผิดพลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา,และเรื่องที่ซุกซ่อนในใจเขาที่ไม่เคยได้บอกใคร

ด้านนอกวิลล่า คนสองคนกําลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด

“น่าตกใจจริงๆ มันเป็นเขา”เจี้ยจื้อจายพูด

“อาเหล่ย” หูเหมยพูด

“คิดไม่ถึงจริงๆว่าคนที่ไม่ค่อยโผล่หัวมาบ่อยๆ หรือสําคัญอะไร และแทบจะไม่มีตัวตนกลับกลายเป็นคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดไปได้” เจี้ยจื้อจายพูด“อยากกินหม้อไฟในเวลาแบบนี้น่าสนใจจริงๆ”

“นายเชื่อเรื่องที่เขาทําลายทุกอย่างไปแล้วรึเปล่า?” หูเหมยถาม หูเหมยถามน้ำเสียงของเธอฟังดูไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด

คืนก่อน เมื่อเขาออกมาจากวิลล่า เจี้ยจื้อจายได้แอบติดเครื่องดักฟังซ่อนเอาไว้ในมุมหนึ่งพวกเขาได้ยินคําพูดส่วนใหญ่ที่พูดอยู่ภายในวิลล่าหลังนั้น

“เมื่อคนกําลังจะตาย ค่าพูดของเขากลับกลายเป็นดี ฉันคิดว่าเป็นเรื่องจริง”เจี้ยจื้อจายดูดบุหรี่

เขาไม่คิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ พวกเขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อจัดการกับชายคนนี้และหลักฐานที่เขามีอยู่ สุดท้ายจางเหว่ยกลับไม่เคยคิดจะเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นออกไป มันน่าประหลาดใจจริงๆ

“คิดไม่ถึง ประธานจางของเราจะมีข้อมูลมากมายขนาดนี้” เจียจื้อจายพูด

“แล้วเราจะทํายังไงกันต่อ?” หูเหมยถาม “เราจะอยู่ฟังต่อไหม?”

“ฟังและดูว่าอาเหล่ยจะไปที่ไหน” เลี้ยจื้อจายพูด “พวกเขาอยากกินหม้อไฟ แต่ตอนนี้ประธานจางคืออาชญากรที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในเมืองเต๋!”

พวกเขาติดตามอาเหล่ยที่ออกไปหาร้านหม้อไฟที่อยู่ไม่ไกลและทําการจองโต๊ะ ทั้งสองเฝ้ารออยู่ภายในรถ หลังจากนั้นไม่นานจางเหว่ยก็มาถึงแต่ภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไป อย่างสิ้นเชิง

“เขาเปลี่ยนใบหน้าเหรอ?” หูเหมยถาม

“เขาถูกตามล่าตัวไปทั่วทั้งเมือง” เจี้ยจื้อจายพูด “ถ้าเขาไม่เปลี่ยนใบหน้า ก็นับว่าเขาหาเรื่องตายแล้ว!”

ทั้งสองเข้าไปในร้านหม้อไฟ พวกเขาสั่งอาหารมาหลายจานและเหล้าอย่างดีอีกหนึ่งขวดแทนที่จะกล่อมไม่ให้เขาดื่ม อาเหล่ยกลับเป็นฝ่ายเทเหล้าให้เขาก่อน

“เฮ้อ ฉันไม่ได้ดื่มมาตั้งหลายปี!” จางเหว่ยถอนหายใจ

“มาครับ ผมขอดื่มให้พี่!” อาเหล่ยชูแก้วขึ้น

“มา” จางเหว่ยจิบเหล้า “กินอะไรสักหน่อยสิ”

เนื้อแกะสไลด์บางๆถูกจุ่มลงไปในหม้อไฟร้อนๆ มันมีรสชาติสดใหม่และอร่อย

“โฮ้ ดูพวกเขากินกันอย่างมีความสุขนั่นสิ” เจี้ยจื้อจายพูด “คืนนี้พวกเรากินหม้อไฟกันดีไหม?”

“แล้วพวกเขาล่ะ?” หูเหมยถาม

“ไม่จําเป็นต้องจับตาดูอีกแล้ว” เลี้ยจื้อจายพูด “พวกเขากําลังกินกันอยู่ แอบมองพวกเขาอยู่แบบนี้มันทรมาน ไปกันเถอะ”

หูเหมยหัวเราะและติดเครื่องรถ พวกเขาขับออกไปและมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง พวกเขาไปที่ร้านหม้อไฟร้านดังและสั่งอาหารมาหลายจาน

“อยากดื่มด้วยไหม?” หูเหมยถาม

“ดื่มสิ” เจี้ยจื้อจายพูด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย

“นี่คือตอนจบแล้วใช่ไหม?” หูเหมยถาม

“ใช่ แต่ทําไมฉันถึงรู้สึกว่า มันเริ่มต้นอย่างเคร่งเครียด แต่กลับจบลวกๆแบบนี้ได้นะ?” เจี้ยจื้อจายพูด

“แล้วนายอยากให้มันจบแบบไหนล่ะ?” หูเหมยกลอกตาใส่เขา

“ประกายจากดาบ, กระสุนปืนราวกับห่าฝน, การต่อสู่สักยก” เจี้ยจื้อจายพูด

เขาเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และถึงขั้นเตรียมตัวที่จะได้รับบาดเจ็บหนักหรือกระทั่งเสียชีวิต มัน น่าประหลาดใจที่เรื่องกลับจบลงแบบสงบและเรียบง่ายแทน

“ทําไมชีวิตถึงทําให้เราต้องประหลาดใจอยู่ตลอดนะ?” เจี้ยจื้อจายถามแล้วยกเหล้าขึ้นจิบ

“มันน่าประหลาดใจจริงๆนั่นแหละ!” หูเหมยพูด

ประโยคที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คงจะเป็น “ความสุขมาถึงอย่างกะทันหันและพวกเขาก็ตั้งตัวแทบไม่ทัน!”

“นั่นเป็นเรื่องดี” หูเหมยพูด “ดื่ม”

หลังจากดื่มเหล้า เจี้ยจื้อจายก็พูดว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันยังไม่วางใจง่ายๆหรอก”

“นายกังวลเรื่องอะไร?” หูเหมยถาม

“ใครจะไปรู้ ว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือหลอกกันแน่?” เจี้ยจื้อจายพูด

“มันน่าจะเป็นเรื่องจริงนะ” หูเหมยพูด

“เธอรู้ได้ยังไง?” เจี้ยจื้อจายพูด

“สัญชาตญาณของผู้หญิงยังไงล่ะ” หูเหมยตอบ

“เอาอีกแล้ว!” เจี้ยจื้อจายหัวเราะและดื่มเหล้าจนหมดแก้ว

เขาก็รู้สึกได้ว่า คําพูดของจางเหว่ยมีความเป็นไปได้มาก แต่เมื่อคิดถึงการกระทําที่ผ่านมาของผู้ชายคนนั้น เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา

“เอาล่ะ แม้แต่ตอนกินนายก็ยังจะคิดมากอยู่อีก”หูเหมยพูด “ทําไมนายไม่เรียนรู้จากประธานจางแล้วผ่อนคลายให้มากกว่านี้บ้าง”

“เขากําลังจะตาย” เจียจือจายพูด “บอกตามตรง เพราะคําพูดของเขาทําให้ฉันเบาใจไปได้มากเลยล่ะ

หวังเย้ายืนเงียบๆอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขาไม่อยู่แค่วันเดียวเท่านั้น แต่เขาลูกนี้กลับโตนมาอีกหลายเซนติเมตร มันเป็นเหมือนวัยรุ่นที่กําลังโตแล้วความสูงก็พุ่งพรวดในเวลาสั้นๆมันเติบโตขึ้นมากจนดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“มันเป็นเพราะค่ายกลหรือเพราะสาเหตุอื่น?”เขาถาม“ซานเซียน นายคิดว่าภูเขาเปลี่ยนไปเผล่า?

โฮ่งโฮ่ง!

“ใช่ๆ ฉันรู้แล้ว” หวังเย้าพูด

เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์โผล่พ้น แต่อากาศกลับเย็นลง

หวังเฝ้ารออยู่บนเนินเขาตงชาน หลังจากนั้นสักพัก จงหลิวชวนก็เดินขึ้นมาจากตีนเขา

“อุ่นร่างกายแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ครับ อุ่นร่างกายเรียบร้อยแล้ว” จงหลิวชวนตอบ