เทพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ก็เป็นเทพแห่งความตาย…พระศิวะ

 

 

ท่านเป็นทั้งมหาเทพผู้สร้างและมหาเทพแห่งการทำลาย เป็นเทพผู้อำนวยพรประทานการเก็บเกี่ยว เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เทพแห่งคีตาและการร่ายรำและเป็นมหาเทพของโยคี ท่านเป็นผู้กำหนดการเกิดการตายของมนุษย์และการสืบทอดเผ่าพันธุ์

 

 

ในศาสนาอื่น การใช้คนเป็นเครื่องสังเวยเพื่อบวงสรวงการเกิดใหม่ ผู้สังเวยจะมอบชีวิตให้ผู้อื่นหรือถวายชีวิตเพื่ออำนวยพรแก่ผู้อื่น ศาสนาฮินดูยอมรับคตินี้ เพราะศาสนานี้ถือว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องเป็นไปอยู่แล้ว และเซ่นสรวงโดยผ่านพระศิวะและเจ้าแม่กาลี

 

 

หากว่ากันตามคตินี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าไม่อยากจะรู้ต่อไปว่ากลิ่นหอมศพคืออะไร

 

 

แต่..เวลานี้มิใช่เวลาของการใช้อารมณ์ตามความรู้สึก

 

 

ดังนั้นนางจึงถามต่อ “จากนั้นเล่า ถ้าพวกเจ้าทุกคนมีกลิ่นหอมชนิดนี้บนตัว มิใช่กลายเป็นใครๆ ก็จดจำได้ว่าเป็นคนของเจินเหยียนกงหรอกหรือ”

 

 

หยวนเจ๋อเอื้อมมือกดผมที่ปรกหน้าผากไว้ กล่าวราบเรียบว่า “การสกัดกลิ่นหอมศพเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากและต้องมีผู้สังเวย ใช้วัสดุปริมาณมหาศาล สกัดได้ยากมากและล้ำค่าประมาณมิได้ แต่เมื่อสกัดสำเร็จก็จะทำให้ทุกชีวิตในรัศมีสิบลี้ล้วนมีกลิ่นนี้ติดตัว ต่างกันที่มากหรือน้อยเท่านั้น สาวกทั่วไปซึ่งมีไม่กี่คนถ้าได้ติดกลิ่นนี้ก็ถือเป็นเกียรติแล้ว และกลิ่นนี้แม้หลายปีก็ไม่จางหายไป เดินไปที่ใดได้กลิ่นนี้ก็จะรู้ว่าเป็นสาวกของเจินเหยียนกง เป็นคนของเจินเหยียนกงหนึ่งวันก็คือคนของเจินเหยียนกงมาตลอดชีวิต”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วขบคิดอย่างรวดเร็ว แม้จะพูดจนดูดี แต่ในความเป็นจริงกลิ่นหอมชนิดนี้ใช้สำหรับควบคุมศิษย์ในสำนักมากกว่า

 

 

“ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่ว่าศิษย์ของสำนักไปถึงที่ใด ขอเพียงบนตัวมีกลิ่นหอมนี้ ถ้าฝึกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไวต่อกลิ่น ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหนยังคงติดตามตัวกลับมาได้ใช่ไหม”

 

 

“ถูกต้อง กลิ่นหอมนี้คนทั่วไปดมไม่ออก แต่เจินเหยียนกงเลี้ยงสัตว์และนกชนิดพิเศษไว้เพื่อติดต่อกับคนของสำนัก” หยวนเจ๋อหยุดลงแล้วพูดต่อ “แต่นั่นเป็นวิธีติดต่อกับคนของวัดที่ธรรมดาที่สุด กลิ่นหอมนี้เมื่อเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง จะทำให้ผู้คนอยู่ในสภาพจิตหลอน ถูกควบคุมได้ง่าย ถ้าเป็นคนจิตอ่อนจะกลายเป็นหุ่นเชิด ส่วนในเจินเหยียนกงยิ่งเป็นคนตำแหน่งสูง ความไวต่อกลิ่นจะยิ่งมากขึ้นและกลิ่นหอมบนตัวจะยิ่งรุนแรง”

 

 

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ฟังจนเข้าใจแล้ว พูดตามภาษาทั่วไปคือ นี่เป็นกลิ่นหอมมอมเมาชนิดรุนแรงที่ใช้ในการควบคุมประสาทส่วนกลางของมนุษย์

 

 

เห็นได้ชัดว่าระดับสูงของเจินเหยียนกงใช้กลิ่นหอมปีศาจนี้ในการควบคุมลูกน้องของตน และยามจำเป็น กลิ่นหอมนี้ยังสามารถบงการให้คนจิตอ่อนทำอะไรก็ได้

 

 

“แล้วหากมีคนคิดไม่ซื่อจะใช้กลิ่นหอมนี้บงการองค์จักรพรรดิให้ผลัดเปลี่ยนรัชกาลเล่า” นางพลันถามอย่างเย็นชา

 

 

หยวนเจ๋อหัวร่อเบาๆ ตอบอย่างรวบรัดว่า “ท่านว่าอย่างไรล่ะ”

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋เงียบงัน “ไม่ ไม่ต้องถามแล้ว ย่อมเป็นไปได้แน่”

 

 

นางพลันนึกขึ้นได้ หยวนเจ๋อเป็นพุทธะมีชีวิตกลับชาติ กลิ่นหอมบนตัวเขาย่อมรุนแรงที่สุด และมีโอกาสมากที่สุดในการใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ

 

 

ตระกูลตู้กุมอำนาจการปกครองแต่ผู้เดียวนานถึงห้ารัชกาล หรือจะเพราะเหตุนี้

 

 

ถึงอย่างไรต่อให้เป็นจักรพรรดิสายเลือดตระกูลตู้ ขอเพียงเป็นราชันย่อมไม่มีใครยอมให้ถูกผู้คนบงการไปตลอดชีวิต!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หน้าเผือดลงเล็กน้อย พริบตานั้นรู้สึกหนาวเย็น

 

 

หากมีใครครอบครองกลิ่นหอมชนิดนี้ไว้ ย่อมทำตามใจชอบได้มิใช่หรือ

 

 

หยวนเจ๋อราวกับมีนัยน์ตาหลังศีรษะ รู้ว่านางคิดอะไรจึงพลันกล่าวเนือยๆ ว่า “สรรพสิ่งในโลกนี้เกื้อหนุนและข่มกันในตัว เรื่องได้เสียมิใช่ง่ายเช่นนี้ แม้กลิ่นหอมศพพอติดแล้วจะหายยาก แต่การจะรับรู้และปลดปล่อยตามใจชอบ ก็มิใช่ใครๆ ก็ทำได้ ระหว่างนั้นต้องผ่านพิธีกรรมการมอบกลิ่นหอมที่แสนทารุณ คนที่ประสบความสำเร็จน้อยยิ่งกว่าน้อย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เจ้ามิใช่ทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติหรอกหรือ มิใช่มีเพียงทารกศักดิ์สิทธิ์จึงจะเข้าพิธีมอบกลิ่นหอมได้หรอกหรือ”

 

 

หยวนเจ๋อแลดูสายน้ำที่มืดมิด ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไม่ผิด มีเพียงทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิดจึงจะเข้าพิธีมอบกลิ่นหอมได้ แต่ ‘ทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติ’ มีหลายร้อยคน มีเพียงคนที่สำเร็จเท่านั้นจึงจะเป็นทารกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วพลันเกิดสังหรณ์ไม่สู้ดี “พิธีมอบกลิ่นหอมก็คือพิธีนั่งเตียงมิใช่หรือ แล้วเด็กที่ล้มเหลวเล่าไปไหน”

 

 

ทารกศักดิ์สิทธิ์กลับชาติกลายเป็นพุทธะมีชีวิต ย่อมต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนมากมาย ในจำนวนนี้ที่สำคัญที่สุดคือนักบวชหรือลามะนำเด็กที่เวลาตกฟากตรงกับเวลาที่พุทธะมีชีวิตมรณภาพไปยังที่ที่พุทธะยังมีชีวิตอยู่ หากสามารถท่องพระสูตรที่สืบทอดกันมาได้ ก็จะเป็นทารกศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง!

 

 

ที่เจินเหยียนกงทำพิธีมอบกลิ่นหอมกันอย่างไร

 

 

และการมอบกลิ่นหอมชั่วร้ายเช่นนี้ เป็นพุทธะมีชีวิตอะไรกัน

 

 

หยวนเจ๋อกล่าวอย่างสงบ “การเลือกเด็กเป็นผู้รับมอบกลิ่นหอม เพียงเพราะเด็กอายุน้อย กล้ามเนื้อและผิวพรรณยังเยาว์ ร่างกายสะอาด กลิ่นหอมติดได้ง่าย การมอบกลิ่นหอมกับการนั่งเตียงนั้นเหมือนกัน แต่สำหรับเจินเหยียนกงแล้ว เด็กศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งวจนะได้ย่อมเทียบกับทารกศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรับมอบกลิ่นศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นธรรมดา ส่วนเด็กที่ล้มเหลว…”

 

 

เขาเงยหน้ามองฟากฟ้าที่มืดมิด เนิ่นนานจึงกล่าวเสียงเบาพิกล “วิญญาณของเด็กที่ล้มเหลว ย่อมถูกเทพยดากลืนกินอย่างเป็นเกียรติน่ะสิ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขา มิทราบเพราะเหตุใดจึงรับรู้ได้ถึงความอาดูรพิกลอย่างหนึ่ง

 

 

นางแทบไม่อาจขบคิดความหมายที่ลึกซึ้งของการนี้ ได้แต่ถามตามความรู้สึกว่า “พิธีมอบกลิ่นหอมมอบกันอย่างไร”

 

 

หยวนเจ๋อชะงักแล้วพลันหันหน้ามา ลมแม่น้ำพัดเอาผมสีเงินยวงเต็มศีรษะปลิวไสว แทบจะปิดบังใบหน้างดงามของเขาไว้หมด มุมปากเขาโค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “พิธีมอบกลิ่นหอมยาวนานหลายปี อาตมาคิดว่าประสกเสี่ยวไป๋ท่านคงไม่อยากจะรู้จริงๆ หรอก”

 

 

เห็นรอยยิ้มเบาบางของเขา ชิวเยี่ยไป๋กลับรู้สึกไม่สบายในลำคอชั่วพริบตา ราวกับมีอะไรคาไว้ กลืนไม่ลงและคายไม่ออก ครู่ใหญ่นางจึงพลันกล่าวว่า “อืมอย่างนั้นไว้ค่อยเล่าก็แล้วกัน”

 

 

นางมิรู้เพราะเหตุใด ยามนี้ตนเองไม่อยากรู้แล้ว อาจเพราะวันนี้เขาตอบทุกคำถาม ข่าวสารที่ให้กับนางมากเกินไป ท่วมท้นเกินไป และทั้งหมดนี้เหนือความคาดคิดของนาง ทำให้นางต้องการเวลาในการเรียบเรียง และวันนี้นางก็วุ่นวายทั้งวัน เสื่อมเสียพลังไปมากโขและเหน็ดเหนื่อยเกินไป หรืออาจเพราะกำลังจะลงเรือแล้ว

 

 

สรุปแล้วนางรู้สึกละเหี่ยใจ พอแค่นี้ก่อนเถิด

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หันกายกลับเข้าห้องโดยสาร เพียงกล่าวง่ายๆ ว่า “ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังการต้านทานพิษร้ายของเจินเหยียนกงหรือไม่ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ จงอย่ายืนตากลมตรงนี้ ส่วนเรื่องเจ้าจะติดตามพวกเราต่อไปหรือจะกลับเจินเหยียนกงหรือกลับวังหลวง เจ้าตัดสินใจเอง และข้าก็ต้องหารือกับผู้อื่นอีกครั้ง”

 

 

พูดจบนางก็เดินจากไป แต่ที่ด้านหลังหยวนเจ๋อที่หันหลังให้นางกลับพลันกล่าวเสียงอ้อยสร้อยว่า “อาจไม่เหลวไหล”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “อะไรไม่เหลวไหล”

 

 

หยวนเจ๋อตอบอย่างนุ่มนวล “คำถามที่สองของท่าน”